Sunday, September 25, 2011

THE SCHEDULE OF THE GIVING MOM PROGRAM

ขอเชิญร่วมงานเทศกาลศิลปกับสังคม ๒๕๕๔ ศิลปะนานาพันธุ์ ๔หนึ่งในงานก้าวไปสู่วาระครบรอบชาตกาล ๑๐๐ ปี ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์แม่เป็นผู้ให้ และเป็นผู้ถูกกระทำ…………………………………………..

วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
เวลา ๑๔.๐๐ น. การแสดงปาฐกถาทางศิลปวัฒนธรรมเรื่อง “อ้อมอกแห่งมารดา”โดย ผศ.ศรวณีย์ สุขุมวาท คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
•พิธีเชิดชูเกียรติและมอบรางวัลปีติศิลป์สันติธรรม นักศิลปวัฒนธรรมผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔
•พิธีเปิดงาน / การแสดงของแม่จำปา แสนพรม /การแสดงสินีนาฏ เกษประไพ พระจันทร์เสี้ยวการละคร
**ร่วมกิจกรรมฟรีเฉพาะวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔.............................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๔.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์การแสดงสด ประกอบด้วย
• การบรรเลงดนตรีสดประกอบการฉายภาพยนตร์เงียบ เรื่อง “บัญญัติ ๑๐ ประการ ๑๙๒๓” (๑๓๐ นาที)โดย คานธี อนันตกาญจน์ และ คณะ
• การแสดงเดี่ยว เรื่อง “MADA” (๓๐ นาที)โดย ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ กำกับฯ โดย ศรุต โกมลิทธิพงศ์ กลุ่มบีฟลอร์และ
• "การแสดงดนตรีสด" (๓๐ นาที)โดย เดือน จงมั่นคง และ เพื่อนๆบัตรราคา ๑๕๐ บาท (รวมทั้ง ๓ การแสดง).............................................................................................................

วันพุธที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๖.๓๐ น.--ณ ลานน้ำพุ
• อ่านบทกวี ชุด “กระซิบโลก, กล่อมดวงใจเจ้าไว้ในดวงตา”โดย กลุ่มเขียนข้าว ม.รามคำแหง / ชมรมอาสาพัฒนา มศวบัตรราคา -ตามจิตศรัทธา-.............................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๙.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท พิเศษ! จาก คณะละครสมมุติ แถมคูปอง มูลค่า ๑๐ บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อบัตรละครอีกหลายเรื่องในเทศกาล (เฉพาะละครเรื่องที่เข้าร่วมรายการ)บัตรสองเรื่องควบ "ชีวิตา" และ "สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่" ราคา ๓๖๐ บาท.............................................................................................................

วันศุกร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๙.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท พิเศษ! จาก คณะละครสมมุติ แถมคูปอง มูลค่า ๑๐ บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อบัตรละครอีกหลายเรื่องในเทศกาล (เฉพาะละครเรื่องที่เข้าร่วมรายการ) บัตรสองเรื่องควบ "ชีวิตา" และ "สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่" ราคา ๓๖๐ บาท.............................................................................................................

วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๓.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๑๔.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๑๙.๐๐ น.--ณ ห้องบีฟลอร์• การแสดงเดี่ยว เรื่อง “MADA” (๓๐ นาที)โดย ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ กำกับฯ โดย ศรุต โกมลิทธิพงศ์ กลุ่มบีฟลอร์บัตรราคา ..... บาท
เวลา ๑๘.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท พิเศษ! จาก คณะละครสมมุติ แถมคูปอง มูลค่า ๑๐ บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อบัตรละครอีกหลายเรื่องในเทศกาล (เฉพาะละครเรื่องที่เข้าร่วมรายการ) บัตรสองเรื่องควบ "ชีวิตา" และ "สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่" ราคา ๓๖๐ บาท.............................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๓.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๑๔.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๑๙.๐๐ น.--ณ ห้องบีฟลอร์• การแสดงเดี่ยว เรื่อง “MADA” (๓๐ นาที)โดย ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ กำกับฯ โดย ศรุต โกมลิทธิพงศ์ กลุ่มบีฟลอร์บัตรราคา ..... บาท
เวลา ๑๘.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• การแสดงนวัตกรรมละครหุ่น เรื่อง “ชีวิตา : สนามประลองยุทธ์ แห่งชีวิตต่อชีวิต” (๓๐-๔๕ นาที)โดย อ.จิรยุทธ สินธุพันธุ์บัตรราคา ๒๐๐ บาท
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์• ละครเวทีหรรษา ฮาพอได้คิด เรื่อง “สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่” (๗๐ นาที)โดย คณะละครสมมุติบัตรราคา ๒๐๐ บาท พิเศษ! จาก คณะละครสมมุติ แถมคูปอง มูลค่า ๑๐ บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดเมื่อซื้อบัตรละครอีกหลายเรื่องในเทศกาล (เฉพาะละครเรื่องที่เข้าร่วมรายการ) บัตรสองเรื่องควบ "ชีวิตา" และ "สวีตตี้ อีหล่า บ๊าโบ่" ราคา ๓๖๐ บาท.............................................................................................................

วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ Crescent Moon Space
• การแสดงเรื่อง “อัสลาม...” จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่บทและกำกับการแสดง โดย ฟารีดา จิราพันธุ์ พระจันทร์เสี้ยวการละครบัตรราคา ๒๕๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ... บาท.............................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๙.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ Crescent Moon Space• การแสดงเรื่อง “อัสลาม...” แรงบันดาลใจจาก เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่บทและกำกับการแสดง โดย ฟารีดา จิราพันธุ์ พระจันทร์เสี้ยวการละครบัตรราคา ๒๕๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ... บาท.............................................................................................................

วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๙.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ Crescent Moon Space
• การแสดงเรื่อง “อัสลาม...” แรงบันดาลใจจาก เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่บทและกำกับการแสดง โดย ฟารีดา จิราพันธุ์ พระจันทร์เสี้ยวการละครบัตรราคา ๒๕๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ... บาท.............................................................................................................

วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๔.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๑๗.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงละครใบ้ ชุด "..."โดย เบบี้ไมม์บัตรราคา ๓๐๐ บาท
เวลา ๑๙.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ Crescent Moon Space
• การแสดงเรื่อง “อัสลาม...” แรงบันดาลใจจาก เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่บทและกำกับการแสดง โดย ฟารีดา จิราพันธุ์ พระจันทร์เสี้ยวการละครบัตรราคา ๒๕๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ... บาท.............................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๑๔.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๑๗.๐๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• การแสดงละครใบ้ ชุด "..."โดย เบบี้ไมม์บัตรราคา ๓๐๐ บาท
เวลา ๑๙.๓๐ น.--ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์
• ละครเวทีเพื่อทุกคน เรื่อง “แค้น” จากบทละครเพื่อประชาชน ของ วีระประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ (๙๐ นาที)โดย กลุ่มละครกุหลาบแดง (ศิษย์เก่าการเอกการแสดง มศว รุ่น ๑๔ กุหลาบแดง)บัตรราคา ๒๐๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ๑๗๐ บาท (แสดงบัตร ๑ ใบ ต่อ ๑ สิทธิ์)
เวลา ๒๐.๐๐ น.--ณ Crescent Moon Space
• การแสดงเรื่อง “อัสลาม...” แรงบันดาลใจจาก เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่บทและกำกับการแสดง โดย ฟารีดา จิราพันธุ์ พระจันทร์เสี้ยวการละครบัตรราคา ๒๕๐ บาท นักเรียน-นักศึกษา ... บาท

Saturday, September 24, 2011

INCENDIES (2010, Denis Villeneuve, Canada, A+++++++++++++++)

สิ่งที่เราชอบในหนังเรื่องนี้รวมถึง

1.ตอนแรกนึกว่ามันจะจบแบบ THE JOY LUCK CLUB ที่น้องสาวกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันในสงคราม ได้มาเจอกันอย่างมีความสุขในตอนจบ แต่ปรากฏว่า INCENDIES ไม่จบแบบนั้น

เราชอบ THE JOY LUCK CLUB ในระดับ A++++++++++ นะ แต่ถ้าหาก INCENDIES เลือกจะจบแบบ THE JOY LUCK CLUB มันก็อาจจะ predictable ไปหน่อย

2.ดูแล้วนึกถึงข่าวจริงๆที่เคยอ่านเจอเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ที่ชาวบอสเนียบางคนอพยพไปอยู่ออสเตรเลียเพื่อหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่อยู่มาวันนึง ชาวบอสเนียที่รอดชีวิตบางคนไปจ่ายตลาดในออสเตรเลีย แล้วก็เจอชาวเซอร์เบียที่เป็นอาชญากรสงครามทำลอยหน้าเฉิบๆอยู่ในออสเตรเลียด้วยเหมือนกัน แบบว่าคนกลุ่มนี้หนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปจนสุดขอบโลกแล้ว แต่ก็ยังต้องมาปะทะกับอาชญากรสงครามอีกอยู่ดี

3.จริงๆแล้วหลายๆอย่างใน INCENDIES มันทำให้นึกถึงหนังหลายๆเรื่องที่เคยดูมานะ แต่พอมันมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันในเรื่องนี้แล้วมันสุดตีนมากๆ ส่วนที่ทำให้นึกถึงหนังเรื่องอื่นๆก็มีเช่น

3.1 การตามหาครอบครัวที่พลัดพรากในสงครามเหมือน THE JOY LUCK CLUB

3.2 ครูสอนพิเศษที่หวังฆ่านายจ้างตัวเอง เหมือน GARAGE OLIMPO (1999, Marco Bechis)

3.3 ฉากรถบัส ทำให้นึกถึง A FOREIGN HOME (1996, Damir Lukacevic)

3.4 การเดินทางในยุคปัจจุบัน ทำให้นึกถึง I WANT TO SEE (2008, Joana Hadjitthomas + Khalil Joreige)

3.5 การ transfer ความเจ็บปวดจากสงครามจากคนรุ่นพ่อแม่ไปสู่คนรุ่นลูก ทำให้นึกถึง ARARAT (Atom Egoyan)






Friday, September 23, 2011

INVINCIBLE EAST: ONLY ME IN 10,000 YEARS (ตงฟางปู๋ป้าย...หมื่นปีมีข้าคนเดียว) (2011, Apirak Chaipanha, A+)

--Though I can't say the whole of this play touches me deeply, I still give A+ to this play because I like some moments near the end of this play very much. My favorite moments start from the moment when Pu (Athapol Anunthavorasakul) talks to Aom (Saowanee Wongjinda) about the real reason why he stages his play INVINCIBLE EAST.

The acting of Athapol in that moment is superb. I felt as if there is an aura of seriousness, or of something deeply felt, or some deep feelings, coming out of his body. Suddenly his character turns into a real human being in my point of view.

Starting from that moment, the play seems to shift its tone. I feel as if the early part of the play is just a comedic, moderately entertaining thing. The early part of the play is full of "moderately interesting characters" in my opinion. They seem to be the kind of characters you can easily find in any averagely good plays/TV series/films.

But in the latter part of the play, I feel as if the characters veer towards real human beings. I started to care for these characters. The characters seem to have real flesh and blood, real feelings and emotions in the latter part. The tone of the play becomes dramatic and serious. I like this tone very much.

What I like the most in this play is some uncomfortable, awkward moments between characters near the end. It's when these characters open their hearts and say some ugly truths. These moments thrill me a lot. And it reminds me of some great moments in SECRETS AND LIES (1995, Mike Leigh).

--Another thing that I like very much is that Pu, which I think is the protagonist of the play, is an unlikeable character. I mean it is safer to make a play or a film in which the main character is "likeable", or the main character with whom the audience can easily identify. But Pu is very unlikeable in my point of view. And having an unlikeable character as the protagonist will surely disturb some audience. But I think it is a little bit bold for the play to present an unlikeable protagonist like this.

I think Pu is unlikeable because what he does is very bad. I mean if he is a good guy, he should have told his girlfriend straightforwardly that he is gay whenever he learns this truth about himself. He shouldn't have tried to tell his girlfriend indirectly like this. But though Pu is not a good guy, he is still a human being. And I like a play or a film which shows us the flaws of human beings like this.

One thing that I think is very funny in the play is the moment when Pu tells his girlfriend that he "has become the Invincible East". This character can't even say that he "is gay". He dares not pronounce the word "gay", and chooses to use the word "the Invincible East" instead. This character is really a deeply flawed human being.

--I also like the self-reflexiveness of this play. This is a play-within-a-play, and some parts of the play make me wonder if they are inspired by some real things happening in the Thai theatre circle or not.

In conclusion:

1.I give A+++++ to 10% of this play. It's the awkward, uncomfortable moments between the characters when some truths are revealed. I think these moments are as powerful as SECRETS AND LIES.

2.I give A+ to 20% of this play. It's the romantic relationship between Bomb (Watcharayut Suradet) and Aom. This subplot really satisfies my sexual fantasy. I think it is as sexually satisfying as some subplots in some French miniseries, such as THE SOB OF THE ANGELS (2008, Jacques Otmezguine) and 3 WOMEN...ONE SUMMER NIGHT (2005, Sébastien Grall). These miniseries have some handsome young men falling in love with some middle-aged female characters. It is the kind of fantasy that I like very much.

However, though the subplot of Bomb and Aom satisfies my sexual fantasy, it does not touch me deeply, and it is not totally convincing. Maybe it is just because it is the subplot, not the main plot.

If possible, I hope someone makes the sequel of INVINCIBLE EAST: ONLY ME IN 10,000 YEARS by focusing on the romantic relationship between Bomb and Aom. And I wish this imaginary play not only satisfies my sexual fantasy, but also turns out to be as convincing, powerful, and heartbreaking as COFFEE LOVE (2009, Sakchai Kiatpunyaopas), which concerns the love of a fat woman and a handsome man, or as the films LE PETIT AMOUR (1988, Agnès Varda) and MOURIR D'AIMER (2009, Josée Dayan), each of which presents the romantic relationship between a 15-year-old boy and a 40-year-old woman.

3.I give A- to 70% of this play, which I think is moderately entertaining.


--Another thing that I think is interesting in this play is that the whole story of the play seems to take place in a very short period of time (if I remember it correctly). Though the story happens in a short period of time, it still makes us understand some important things in the lives of the characters, such as the ten-year relationship between Pu and Mik, Mik's fear of being a spinster, and the trauma of Aom.

This time-constraint technique reminds me of what Fred Kelemen said. If I remember it correctly, he said something like, "If you want to present the whole life of a character or the whole war, you don't have to show the audience many stages in the life of that character or the war, you can show only one day in the life of that character or one day in that war. That one day can contain the essence of the whole life of that character. The audience may see only "one day" in the life of that character, but the audience will understand the whole life of that character."

Because I like this time-constraint technique very much, I decided to make the list below:

My favorite films/plays of which the stories, or most of the stories, concern only a short period of time

(in alphabetical order)

1.BEFORE SUNRISE (1995, Richard Linklater)

2.CLÉO FROM 5 TO 7 (1961, Agnès Varda)

3.FAREWELL: BERTOLT BRECHT'S LAST SUMMER (2000, Jan Schütte)

4.FATE (1994, Fred Kelemen)

5.INVINCIBLE EAST: ONLY ME IN 10,000 YEARS

6.LOVE, NOT YET: TO BE A MUM, TO BE A WIFE (2011, Anuchit Mualprom)

7.A MIDSUMMER NIGHT'S DREAM (ไม่เป็นเรื่อง) (2006, Patruja Kanjanakosol, play)

8.MY NIGHT AT MAUD'S (1969, Eric Rohmer)

9.NEVER LET ME GO (2011, Ninart Boonpothong, play)

10.NIGHTFALL (1999, Fred Kelemen)

11.ZOETROPE (2011, Rouzbeh Rashidi)






Wednesday, September 21, 2011

MARATHON FILM FESTIVAL GAME PART 3

You can find MARATHON FILM FESTIVAL GAME PART 1 here (in Thai):
http://celinejulie.blogspot.com/2011/08/marathon-2011-game.html

MARATHON FILM FESTIVAL GAME PART 2
http://celinejulie.blogspot.com/2011/09/marathon-film-festival-game-part-2.html

This game is inspired by Graiwoot Chulphongsathorn.

The questions below mostly concern Thai films which were shown in the Marathon Film Festival from 1997 to 2011, but also concern foreign films and Thai films shown outside the festival.

The word "film" here includes all kinds of moving images.

Answer these questions and your life will be better:

14. To what extent are these films "sci-fi films"?

14.1 BAD-GOOD, 2013 (เรวดี, 2013) (2010, Viroj Suttisima, 13 min)

14.2 CRYSTALLIZATION TIME (วาเลตกผลึก) (2011, Kisda Phongphaew, 21 min)

14.3 DEAR, CENTAURI (เซนเทอรี่ ที่รัก) (2011, Tatitanatit Permpongdumrongkul, 15 min)

14.4 THE FANCIFULNESS OF THE UNIVERSE (ความฟุ้งของจักรวาล) (2010, Krit Twinwawit, 40 min)

14.5 INVADER (ผู้บุกรุก) (2011, Wachara Kanha, 90 min)

14.6 KISS THE MACHINE (2005, Prinn Vadhanavira + R-na Rattanaphan, 25 min)

14.7 THE LIGHT HOUSE (แสงสุริยะ) (2011, Teeranit Siangsanoh, 43:13 min)

14.8 MAY-KYN: THE DAMN REAL NICE GUY (เมฆิน: คนจริง สวรรค์ต้องกราบ!) (2009, Palakorn Kleungfak, 12 min)

14.9 NEED 3 STORY: HAUNTED HOUSE (อยากเห็นผี 3 story ตอน บ้านสยอง) (2010, Jinna Rujisenee, 50 min)

14.10 REARRANGE (2006, Rutt Jumpamule, animation, 10 min)

14.11 REFLEX (สะท้อน) (2011, Siriwan Cha-aimpong, 7:43 min)

14.12 THE ROOM (2011, Pesang Sangsuwan, 18 min)

14.13 THE SONG (2006, Suporn Decharin, animation)

14.14 TREE (ต้นไม้) (2010, Pat Boonnitipat, 14 min)
http://vimeo.com/18445458

14.15 V (2010, Thee Boonkreangkai, 23.25 min)


15.Discuss the importance of sound in the following films:

15.1 ANAT(T)A (2006, Akritchalerm Kalayanamitr + Koichi Shimizu), which presents interactive sound

15.2 AT LEAST/MODERATELY/TREMENDOUSLY (อย่างน้อย/อย่างกลาง/อย่างมาก) (2011, Tritos Termarbsri, 90 min), in which the characters can control the soundtrack of the film

15.3 EMPLOYEES LEAVING THE LUMIERE FACTORY (พิพิธภัณฑ์แห่งแสง) (2010, Chaloemkiat Saeyong, 31 min), in which the ambient sound, or the room tone, becomes extremely important

15.4 GAZE AND HEAR (สายตา รับฟัง) (2010, Nontawat Numbenchapol, 10 min), which has extremely powerful soundtrack

15.5 FRIENDS (เพื่อน) (2010, Pichanund Laohapornsvan, 63 min), which presents intentionally unrealistic voices of some animals and a krasue (a kind of Thai female ghost)

15.6 GRANDMA CHA WANTS TO GET SURREAL (ยายชาอยากเซอร์เรียล) (2009, Saowapak Suriyawongpaisal, 21 min), which presents unreasonable sound, such as the sound of cat fighting while the cats are not in sight

15.7 HOME COMPUTER (2011, Teeranit Siangsanoh, 19 min), which presents extremely discordant sound

15.8 SHE TALKS, WHAT THEY WHISPER (2008, Wiwat Lertwiwatwongsa), which uses interesting sound bites

15.9 SING (2011, Sa Sakawee, 10 min), in which the dubbing is the most important aspect of the film

15.10 WHISPERING GHOSTS (ถ้อยคำที่ถูกสาป) (2008, Taiki Sakpisit, 13 min), which has extremely powerful soundtrack
http://vimeo.com/12233517


16.PRASART (1975, Piak Poster) is a Bergmanesque film concerning three women who may or may not be insane. The film stars Piatip Kumwong, Mayurachat Muenprasittiwate, and Tasawan Seneewong na Ayudhaya.

If PRASART is going to be remade into a radically different film in 2012, which filmmakers in this group would you like to remake PRASART? And why?

16.1 Anocha Suwichakornpong (GRACELAND)

16.2 Araya Rasdjarmrearnsook (THE NINE DAY PREGNANCY OF A SINGLE, MIDDLE-AGED ASSOCIATE PROFESSOR)

16.3 Janenarong Sirimaha (THERE WILL BE DRAMA)
http://www.youtube.com/watch?v=YChMR5WXNNE

16.4 Pawara Chatchawanprecha (AWKWARD ANCIENT TALE)

16.5 Pimpaka Towira (ONE NIGHT HUSBAND)

16.6 Proudmary Songmuang (MY FORTRESS OF HAPPINESS)

16.7 Ratchapoom Boonbunchachoke (CHUTIMA)

16.8 Sununta Naksompop (A SELF-MADE LADY)

16.9 Suphisara Kittikunarak (THOM)

16.10 Wasunan Hutawach (DAW)


17.Emily Dickinson wrote the following poem:

" I felt a funeral in my brain,
And mourners, to and fro,
Kept treading, treading, till it seemed
That sense was breaking through.

And when they all were seated,
A service like a drum
Kept beating, beating, till I thought
My mind was going numb.

And then I heard them lift a box,
And creak across my soul
With those same boots of lead,
Then space began to toll

As all the heavens were a bell,
And Being but an ear,
And I and silence some strange race,
Wrecked, solitary, here.

And then a plank in reason, broke,
And I dropped down and down--
And hit a world at every plunge,
And finished knowing--then--"

Which filmmakers in the group above (Anocha, Araya, Janenarong, Pawara, Pimpaka, Proudmary, Ratchapoom, Sununta, Suphisara, Wasunan) would you like to adapt this poem into a film? And why?


18.Emily Dickinson wrote the following poem:

" My Life had stood - a Loaded Gun -
In Corners - till a Day
The Owner passed - identified -
And carried Me away -

And now We roam in Sovereign Woods -
And now We hunt the Doe -
And every time I speak for Him -
The Mountains straight reply -

And do I smile, such cordial light
Upon the Valley glow -
It is as a Vesuvian face
Had let its pleasure through -

And when at Night - Our good Day done -
I guard My Master's Head -
'Tis better than the Eider-Duck's
Deep Pillow - to have shared -

To foe of His - I'm deadly foe -
None stir the second time -
On whom I lay a Yellow Eye -
Or an emphatic Thumb -

Though I than He - may longer live
He longer must - than I -
For I have but the power to kill,
Without--the power to die--"

Which filmmakers in the group below would you like to adapt this poem into a film? And why?

18.1 Angsumalee Senachai (LADYNIGHT)

18.2 Kulnatee Tantipisanu (DEAD PLAN)

18.3 Nisarat Komsup (PSYCHOSIS)

18.4 Pakwan Suksomthin (NEW GENERATION)

18.5 Patha Thongpan (MIDNIGHT RAINBOW)

18.6 Permpol Choei-aroon (MUANG NAI MORK)

18.7 Rashane Limtrakul (RAGING PHOENIX)

18.8 Rungkarn Kaewsuwan (LITTLE LIFE)

18.9 Supol Wichienchai (HUNT)
http://www.youtube.com/watch?v=nqYqJgpcXts

18.10 Thamonwon Thamsongporn (LADY HERO)

(To be continued)



Tuesday, September 20, 2011

RIP KRONG KANGKENGDANG (1928-2011)

Krong Kangkengdang, who starred in more than 200 Thai films, passed away a few days ago. He had been dead for a few days before someone found his corpse in his house.

The photo is from my favorite TV series—A SELF-MADE LADY (around 1992). Krong is the man on the left. Namngern Boonnuck is in the middle. Tulip Naksompop is on the right. Namngern Boonnuck also stars in one of my most favorite films this year—FORGET ME NOT (2010, Naphat Chaithiangthum, 30 min).




Sunday, September 11, 2011

WILD HEART (2011, Nimit Kinunti, B+)

You can watch this film here (no English subtitles):
http://www.youtube.com/watch?v=vBSAX6pzVik

สิ่งที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้

1.การถ่าย long take ในฉาก 4 ฉากในหนัง ซึ่งได้แก่

1.1 ฉากเปิด ซึ่งเราชอบมากๆ เราว่ามันเหมาะเป็นฉากเปิดมากๆ แถมเป็นการถ่ายแบบ long shot ด้วย นอกจากนี้ เราก็ชอบการปรากฏของเสียงปืนโดยที่ไม่เห็นตัวต้นเสียง และการตัดมาเป็นภาพเท็ดดี้แบร์ในทันที เราชอบฉากเปิดในระดับ A+ เลยล่ะ

1.2 ฉากสนทนาริมลำธาร กล้องไม่ตัดภาพเลย 2 นาทีกว่า ชอบสุดๆ

1.3 ฉากต่อมา ที่เจอลูกในป่า กล้องไม่ตัดภาพเลย 1 นาทีครึ่ง ก็ชอบมากๆ ชอบการแพนกล้องในฉากนี้ด้วย

1.4 ฉากสนทนาตอนท้ายเรื่อง

2. ชอบการแพนกล้องในช่วงต้นของนาทีที่ 3 มากๆ ที่แทนสายตาของพระเอก โดยที่กล้องแพนไปเจอลูกสาว แล้วก็แพนต่อไปจนเจอเพื่อนร่วมงาน แล้วก็แพนกลับมาอีกทีพบว่าลูกสาวหายไปแล้ว เราว่าการแพนกล้องในฉากนี้กับฉากเจอลูกสาวกลางป่ามันทรงพลังดี

3.การที่หนังจบลงโดยที่พระเอกไม่เจอตัวลูกสาวหรือศพลูกสาว มันให้อารมณ์ "ไม่คลี่คลาย" ดี

4. ประโยคที่สะเทือนใจเรามากที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือประโยคที่ว่า พระเอกทำงานมานานแล้ว ได้ยินเสียงปืนตลอด แต่ "จับใครไม่ได้เลย" เราชอบที่ในหนังเรื่องนี้ คนดูเองก็ได้ยินเสียงปืนตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน และก็ไม่เห็นตัวผู้ยิงด้วย เราว่า "เสียงปืน" ในหนังเรื่องนี้มันสื่อถึงอิทธิพลมืดได้ดีจริงๆ


ส่วนที่ไม่ค่อยเข้าทางเราในหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่รู้สึกประทับใจกับ "เนื้อเรื่อง" และ "บทสนทนา" ในหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่เป็นเพราะตัวเราเองไม่ได้มีความสนใจกับเรื่องพวกนี้และไม่ได้อินอะไรกับเรื่องพวกนี้น่ะ ซึ่งส่วนที่เราไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเป็นการส่วนตัวในหนังเรื่องนี้ก็มีเช่น

1. เรื่องของการสูญเสียลูกสาว และการที่พระเอกตัดสินใจทำงานต่อไปเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับลูกสาว

2.การที่ลูกสาวดูน่ารัก, บริสุทธิ์ สดใสมากๆ (การที่เราไม่ชอบอะไรแบบนี้มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวจริงๆ ฮ่าๆๆ)

3.บทสนทนาตรงฉากคุยกันที่ริมลำธาร ที่เพื่อนพระเอกถามพระเอกว่า "หัวใจยังเต้นจังหวะเดิมอยู่หรือเปล่า"

4.ในฉากที่คุยกันตอนท้ายเรื่อง เพื่อนพระเอกไม่ยอมตอบคำถามพระเอกในทันที เพราะต้องการฟังเสียงนกร้องก่อน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว มันทำให้เราไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครตัวนั้นไปโดยปริยาย เพราะเราไม่เข้าใจว่า เสียงนกร้องตรงนั้นมันพิเศษอย่างไร มันแตกต่างจากเสียงนกร้องที่น่าจะได้ยินอยู่ทุกวันอย่างไร มันมีเสียงของนกพันธุ์พิเศษหรือพันธุ์ที่หายากอยู่ในนั้นหรือเปล่า เพราะถ้าหากมันเป็นเพียงแค่เสียงนกร้องที่เจ้าหน้าที่อุทยานน่าจะได้ยินอยู่ทุกวัน เราก็คงจะไม่ทำแบบเพื่อนพระเอกในฉากนั้น

สรุปว่าสิ่งที่เราชอบสุดๆใน WILD HEART ก็คือการถ่ายภาพจ้ะ แต่เราไม่ได้มีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกสะเทือนใจเป็นการส่วนตัวกับ "เนื้อเรื่อง" ของหนังเรื่องนี้จ้ะ




Thursday, September 08, 2011

FAKEBOOK (2011, Sirapatshara Neimphuang, A+)

You can watch this film here (no subtitle needed):
http://video.postjung.com/32613.html

หนังน่ารักดีครับ ผมดูแล้วผมก็รู้สึกอยากถามตัวเองเหมือนกันว่า เรากำลังหลงใหลหรืออยากได้บางสิ่งบางอย่าง (อย่างเช่นหนังสือหรือเศษกระดาษในภาพยนตร์เรื่องนี้) เพียงเพราะว่า คนบางคนให้ค่ากับสิ่งนั้นมากๆหรือเปล่า ทั้งๆที่สิ่งนั้นอาจจะไม่ได้มีคุณค่าอะไรจริงในตัวมันเอง

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกไปถึงกรณีเห่อคริสปี้ครีมกับโรตีบอยด้วยเหมือนกัน ความอยากได้ของเราถูกกระตุ้นด้วย "อาการของคนอื่นๆ" แทนที่จะถูกกระตุ้นด้วยคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นเอง

KING HU PROGRAM AT PRIDI BANOMYONG INSTITUTE

โครงการภาพยนตร์นานาชาติสถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ มูลนิธิไชยวนา ขอเชิญชมภาพยนตร์และฟังการเสวนา หัวข้อ กรณีศึกษา : ผลงานเอกภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ๗ เรื่องของ KINGHU บิดาแห่งภาพยนตร์จีนกำลังภายในยุคใหม่ ทุกเรื่องบรรยายอักษรไทย แปลบทใหม่ ๖ เรื่อง เพื่อการฉายในครั้งนี้โดยเฉพาะ / ฉายด้วยเครื่องโปรเจ็คเตอร์ ใน ห้องกระจกข้างลานน้ำพุ สถาบันปรีดี พนมยงค์

วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ / 2011 October ,Saturday 22เวลา ๑๒.๐๐ น. /Time 12.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายในเรื่องแรกที่จัดฉายในเทศกาลภาพยนตร์คานส์ ทำให้โลกตะวันตกหันมายอมรับCOME DRINK WITH ME 1966 หงษ์ทองคะนองศึก (MARTIAL ARTS) colour 92 minutesMANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE(จัดทำคำบรรยายไทยใหม่) Starring : CHENG PEI-PEI / YUEH HUA Director : KING HU Screenplay : KING HU and YE YANG..................................................................................................

เวลา ๑๔.๐๐ น. / Time 2.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายในต้นแบบ เต็มไปด้วยความจริงจัง ตัวเอกมีบุคลิกเฉพาะDRAGON INN 1967 ตะลุยแดนพยัคฆ์ (MARTIAL ARTS) ต้นฉบับยังไม่บูรณะฟิล์ม colour 110 minutesMANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLEStarring : SHANG GUAN LING-FENG / SHIH CHUN / BAI YING / HSU FENG / TSAO CHIEN Writter &Director : KING HU ......................................................................................................

เวลา ๑๖.๐๐ น. /Time 4.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายใน เน้นบทในโรงเตี๊ยมและนักแสดงหญิงชายหลายคนTHE FATE OF LEE KHAN 1973 พิฆาตทรชน (MARTIAL ARTS) colour107minutes MANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE (แปลบทและจัดทำคำบรรยายไทยใหม่)Starring : LILI HUA / HSU FENG / ROY CHIAO /ANGELA MAO YING / HELEN MA CHOI LON / BAI YING / Edit-Writter &Director : KING HU .......................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ / 2011 October ,Sunday 23เวลา ๑๒.๐๐ น. /Time 12.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่นิตยสาร TIME ยกย่องว่าดีที่สุดในรอบ ๑๐๐ ปีA TOUCH OF ZEN 1971 จอมยุทธ์หญิง (MARTIAL ARTS) colour 175 minutesMANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE (แปลบทและจัดทำคำบรรยายไทยใหม่) Starring : HSU FENG / SHIH CHUN / BAI YING / TIEN PENG / CHIHO HUNG / MIAO TIEN and ROY CHIAO Director : KING HU ........................................................................................................

เวลา ๑๕.๐๐ น. / Time 3.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่อุดมไปด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องด้วยภาพอันวิจิตรRAINING IN THE MOUNTAIN 1979 สายฝนโปรยปรายในภูเขา (MARTIAL ARTS) MANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE (แปลบทและจัดทำคำบรรยายไทยใหม่) colour 115 minutesStarring : HSU FENG / SUN YUEN / SHIH CHUN / TUNG LIN / CHEN HUI-LOU Writter &Director : KING HU .........................................................................................................

เวลา ๑๗.๐๐ น. / Time 5.00 p.m. การเสวนาหัวข้อ “มุมมองในภาพยนตร์ของ KING HU กับบริบทภาพยนตร์จีนกำลังภายใน”ผู้ร่วมเสวนา : วุฒิพล คิรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญการวิจารณ์ภาพยนตร์ / นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ นักแปลชาญชนะ หอมทรัพย์ นักเขียนนิตยสารไบโอสโคป / ผู้แทนหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ดำเนินรายการ : สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย.........................................................................................................

วันจันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ / 2011 October ,Monday 24เวลา ๑๒.๐๐ น. /Time 12.00 p.m. ภาพยนตร์จีนกำลังภายในเข้มข้นด้วยการต่อสู้ THE VALIANT ONES 1975 ผู้กล้าหาญแห่งฝั่งทะเลตะวันออก (MARTIAL ARTS) MANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE (แปลบทและจัดทำคำบรรยายไทยใหม่) ต้นฉบับยังไม่บูรณะฟิล์ม colour 107 minutes Starring :HSU FENG / BAI YING /ROY CHIAO /WUJI YUAN / SAMMO HUNG-KAM BO EDITER-WRITTEN & Director : KING HU ........................................................................................................

เวลา ๑๔.๐๐ น. / Time 2.00 p.m. ภาพยนตร์จีนเรื่องเล่าในหุบเขา ด้วยภาพอันงดงามLEGEND OF THE MOUNTAIN 1979 ตำนานขุนเขา (HORROR) colour 105 minutesMANDARIN DUBBED / THAI SUBTITLE(แปลบทและจัดทำคำบรรยายไทยใหม่) Starring : HSU FENG / SYLVIA CHANG / SHIH CHUN / TIEN FUNG / NG MING-CHOI / TUNG LAM / DIRECTOR-ARTDIRECTOR-EDITOR-PRESENTER : KING HU .........................................................................................................

ชมฟรี : Admission Free เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีทองหล่อ (ทางออกหมายเลข ๓) Tel : 0-2381-3860-1

Sunday, September 04, 2011

MARATHON FILM FESTIVAL GAME PART 2



You can find MARATHON FILM FESTIVAL GAME PART 1 here (in Thai):
http://celinejulie.blogspot.com/2011/08/marathon-2011-game.html

This game is inspired by Graiwoot Chulphongsathorn.

The questions below mostly concern Thai films which were shown in the Marathon Film Festival from 1997 to 2011, but also concern foreign films and Thai films shown outside the festival.

The word "film" here includes all kinds of moving images.

Answer these questions and your life will be better:

1.Discuss the evolution of Thai short films starting from THE MAGIC RING (แหวนวิเศษ) (1929, King Prajadhipok, 30 min) until THE ISLAND OF UTOPIA (2010, Pramote Sangsorn, 20 min)

2.Discuss how the word "auteur" can or cannot be applied to Weera Rakbankerd, who directed many films, including 2 SECOND IN BAD LOVE (2007), 4 MINUTE IN BROKEN SOUL (2007), MESSAGES ARE NOT TRUE STORY (2008) , COMPETITIVE STRATEGY (2010), and ONE (2011).

3.The word "auteur" is mostly used for directors. Discuss how the word "auteur" can be freely applied to such distinguished cinematographers as Anupong Posuwan, who has shot many Thai short films.

4.Discuss the development of the thematic and aesthetic strategies of these filmmakers:

4.1 Anucha Boonyawatana, starting from SCARLET DESIRE (2001, 24 min) until EROTIC FRAGMENT NO. 1, 2, 3 (2011, 5.30 min)

4.2 Bunjong Pisanthanakul, starting from OLD SKAR (แผลเก่า) (2000) until GUAN MUEN HO (2010)

4.3 Napat Treepalawisetkun, starting from A SERIES OF SALINEE EVENT (ปรากฏการณ์ เรื่องราว สาวสาลินี) (2007, 14 min) until THE WOMB IN AQUARIUM (มดลูกในตู้ปลา) (2010, 23 min)

4.4 Norachai Kajchapanont, starting from A LITTLE DREAM (ฝันไม่ไกล ต้องไปให้ถึง) (2006) until SOMWANT 2553 (2010, 30 min)

4.5 Patana Chirawong, starting from MILLENNIUM [IN GOD WE TRUST] (1999) until THE MISSING PIECE (2011, 84 min)

4.6 Sophon Sakdaphisit, starting from TIME (กาล_เวลา) (2001) until LADDALAND (2011)

4.7 Twatpong Tangsajjapoj, starting from ISLAND (2001) until STOP HERE (หยุด) (2011, 2.30 min)


5.Discuss the influence of Apichatpong Weerasethakul, or the lack thereof, in these films:

5.1 BLACK-AND-WHITE FILM (2001, Montree Saelo, 6 min)

5.2 SLEEPING BEAUTY (2005, Chulayarnnon Siriphol, 40 min)

5.3 FRAGRANCE OF THE WIND (2007, Chaiwat Wiansantia)
http://www.youtube.com/watch?v=qTDlZbNZQaM

5.4 NOW SHOWING (2009, Nithipong Thinthupthai)

5.5 A MOMENT IN A RAINFOREST (2010, Eakalak Maleetipawan)

5.6 6 TO 6 (เพลงชาติไทย) (2010, Aditya Assarat)

5.7 UNREAL FOREST (2010, Jakrawal Nilthamrong, 70 min)


6.Discuss the influence of Andrei Tarkovsky, or the lack thereof, in the films of these directors:

6.1 Lav Diaz

6.2 Prachaya Lampongchat

6.3 Punlop Horharin

6.4 Semih Kaplanoglu

6.5 Teeranit Siangsanoh


7.Some filmmakers star in their own films. Some filmmakers make films about themselves. Discuss how the films of these following directors benefit or suffer from the twin roles of the directors/actors:

7.1 Alwa Ritsila
http://vimeo.com/alwaritsila/videos/sort:date

7.2 Kanes Boonyapanachoti

7.3 Kidlat Tahimik

7.4 Nattaphan Boonlert

7.5 Phumraphee Sae-tang

7.6 The Professional Dry Cleaners
http://www.youtube.com/user/prodry

7.7 Wachara Kanha

7.8 Weerasak Suyala


8.Analyze the use of found footage or previously made moving images in these following films. How effective do you think the use of found footage in these films is?

8.1 REPEATING DRAMATIC (2008, Arpapun Plungsirisoontorn, 8 min), which uses a clip from the TV series THE GOLDEN SAND HOUSE (Choosuk Suteetum)
http://vimeo.com/4927185

8.2 CHAY, GAYVAH-RAR 'N' THE MACHUPICCHU (คำพิพากษาของซาตาน) (2010, Chaloemkiat Saeyong, 21 min), which uses TROPICAL MALADY

8.3 AT LEAST/MODERATELY/TREMENDOUSLY (อย่างน้อย/อย่างกลาง/อย่างมาก) (2011, Tritos Termarbsri, 90 min), which uses ETERNAL SUNSHINE OF THE SPOTLESS MIND (2004, Michel Gondry)

8.4 LAUGH AND CRY FOR VIVA (หัวเราะร่าน้ำตาร่วง) (2011, Sirapatshara Neimphuang, 28 min), which uses an old Thai film starring Jarunee Suksawat)

8.5 WATCHDOG (คลายปม) (2011, Wachara Kanha, 33 min)


9.Discuss how you think the following films benefit or suffer from the presentation of texts on the screen:

9.1 MY STORY (2000, Songpol Charnchaijak, 7 min)

9.2 BIRTH OF THE SEANÉMA (2004, Sasithorn Ariyavicha, 70 min)

9.3 TWO WORLDS IN ONE WORLD (ทวิภพในเอกภพ) (2004, Prap Boonpan, 18 min)

9.4 RESET (2008, Nok Paksnavin, 12 min)

9.5 HISTORY IN THE AIR (บุคคลที่ตกค้างอยู่ภายในความทรงจำ) (2009, Chaloemkiat Saeyong, 58 min)

9.6 WOMEN IN DEMOCRACY (ผู้หญิงที่ผัวหายในวันที่ 14 เมษายน) (2009, Authawut Boonyuang, 6 min)

9.7 DAN-SAMUR-DAO (แดนเสมอดาว) (2010, Sittidech Rohitasuk, 45 min)

9.8 DOK RUK RIM TAANG (ดอกรักริมทาง) (2011, Ormchai Bussabong, 3.50 min)

9.9 THE FRENCH CLASSROOM AND THE MYSTERIES OF FRANÇOIS (ห้องเรียนฝรั่งเศสกับปริศนาฟองซัว) (2011, Wachara Kanha, 33 min)

9.10 POISON 4: THE MOST BASIC ANSWER IS I LOVE FILM VERY MUCH (ยาพิษ 4: ถ้าคำตอบแบบเบสิกสุดก็คือผมรักภาพยนตร์มาก) (2011, Eakarach Monwat, 20.58 min)


10.Discuss the use of the Democracy Monument in these films:

10.1 BAT IN MAY (ค้างคาวเดือนพฤษภา) (1992, Hamer Salwala, 7 min)

10.2 THE XFREE (2000, Wasanta Samrong, 5 min)

10.3 RE-PRESENTATION (ผีมะขาม ไพร่ฟ้า ประชาธิปไตย ในคืนที่ลมพัดหวน)(2007, Chai Chaiyachit + Chisanucha Kongwailap, 30 min)

10.4 I'M FINE สบายดีค่ะ (2008, Tanwarin Sukkhapisit, 4 min)

10.5 OUR MONUMENT (อนุสาวรีย์แห่งความรัก) (2008, Phuttiphong Aroonpheng, 10 min)

10.6 H2-OH (น้ำ ผีนองสยองขวัญ) (2010, Ongarj Jiamjaroenpornkul)

10.7 RED MOVIE (แกะแดง) (2010, The Underground Office, 38 min)
http://www.youtube.com/watch?v=m4R8Xd2nUdA

10.8 THE SIX PRINCIPLES (สัญญาของผู้มาก่อนกาล) (2010, Abhichon Rattanabhayon, 30 min)
http://vimeo.com/18866840


11.Compare, contrast, and analyze the representation of working class people in these films:

11.1--THE CITY OF BEGGARS, THE RINGWORM ON CONCRETE (เมืองขอทาน ขี้กลากคอนกรีต) (1978, Permpol Choei-aroon)

11.2 --RUBBISH (โลกขยะ) (1997, Monchai Noikumsin, 25 min)

11.3--PINK HOME (บ้านสีชมพู) (2000, Suwan Huangsirisakul, 17 min)

11.4--APPRECIATION (หาบ) (2007, Tikampon Pupanna, 20 min)

11.5--MA-LAI (มาลัย) (2007, Weera Kempetch, 22 min)

11.6--GARBAGE COLLECTING (เก็บขยะขาย) (2010, Wachara Kanha, 19 min)

11.7--KOMTUAN (คมทวน) (2010, Pur Nimmol, 26 min)

11.8--POOR PEOPLE THE GREAT (2010, Boonsong Nakphoo, 76 min)

11.9--DISTINCTION (คล้าย) (2011, Tulapop Saenjaroen, 23 min)


12.Jean Cocteau said, "Film will only become an art when its materials are as inexpensive as pencil and paper."

Discuss how this quote of Cocteau can or cannot be applied to the following extremely low-budgeted films:

12.1 THE DEVIL RULES METROPOLIS (มารเกาะกุมนครหลวง) (2001, Manussak Dokmai), made for 80 baht.

12.2 THE SUICIDE OF SARA W. (2001, Matthias Glasner, Germany), made for 99 euros.

12.3 THE PEN (2008, Weerasak Suyala, 60 min)

12.4 THE WITCH (2009, Alwa Ritsila, 29 min)
http://vimeo.com/14085858

12.5 LOSE (สูญ) (2011, Wachara Kanha, 70 min)

12.6 SWING (ชิงช้า) (2011, Weerapong Wimuktalop, 30 min)


13.Alexander Kluge said, "Understanding a film completely is conceptual imperialism which colonizes its objects."
http://celinejulie.blogspot.com/2007/09/understanding-film-completely-is.html

Discuss how you think about the following films via this idea of Kluge:

13.1 THE LITTLE GIRL (1997, Nicole Greenwood + Pantipa Tanchookiat)

13.2 DISCOURSE, EARTH (พิภพบรรฑูรย์) (2001, Uthis Haemamool, 25 min)

13.3 ONE DAY (วันหนึ่ง...หนึ่งวัน) (2009, Kirati Nakintanon, 5 min)

13.4 DISAPPEAR (อำพราง) (2010, Tani Thitiprawat, 26 min)

13.5 QUOTATION MARK (อัญประกาศ) (2010, Tanakit Kitsanayunyong, 21 min)
http://vimeo.com/18300781

13.6 AIR COWBOY (โคบาลอากาศ) (2010, Tanatchai Bandasak, 3 min)

13.7 THE FESTIVAL OF DEMON SPIRIT (งานนักขัตฤกษ์ของภูตพราย) (2011, Sittiporn Racha)

13.8 NON-ZERO-SUM (2011, Mattia Sedda)

13.9 THREE KINGS (๓กษัตริย์) (2011, Taiki Sakpisit, 6 min)

13.10 WHY DO YOU JUMP? (โดด) (2011, Korn Kanogkekarin, 19 min)

(to be continued)





CELINE AND JULIE GO DANCING 46: SHADES OF MARBLE – Trentemoller



http://www.youtube.com/watch?v=Ya9gjwN_ctU&feature=related

Thanks to Graiwoot for telling me about this beautiful song. I think this song unintentionally reminds me of the film AMER (2009, Hélène Cattet + Bruno Forzani, A+). I mean I think this song would fit into the film.

MY LIFE AS A CINEPHILE

Below is what I copied from a letter to my new friend, who asked some questions about my life as a cinephile:

As for your list of favorite filmmakers, this is what I think about them:

1.Ozu: I have seen only four films of his and have some personal problems with them, because Ozu seems to portray "family members who like one another". .. my personal life prevents me from "feeling connected" to his films.

However, among the four films I saw, I like EARLY SPRING (1956) very much, because this film doesn't deal with the bond between parents and children.

2.Antonioni: I like him very much, especially THE ECLIPSE. I like how he deals with landscape and the emptiness inside the characters' souls.

3. Bergman: I like him very much. My most favorite of his is THE SILENCE.

4.Buñuel: I like him very much, too. My most favorites of his are BELLE DE JOUR, THE DISCREET CHARM OF THE BOURGEOISIE, and THE PHANTOM OF LIBERTY.

5.Almodovar. I like him a lot, but I'm not very crazy about him now, because my most favorite of his is PEPI, LUCI, BOM (1980).

6.Hiroshi Teshigahara: I have seen only WOMAN IN THE DUNES. I like it a lot, though if I were the hero in this film, I would kill the woman and myself instead of continue living in the dunes.

7.Masaki Kobayashi: I have seen only KWAIDAN (1964) and HARAKIRI (1962). I like them a lot.

8.Vittorio De Sica: I haven't seen any of his directorial works yet.

9.Jean-Pierre Melville: I like his films a lot, especially UN FLIC (1972).

10. Jean-Luc Godard: I worship him, though I don't always agree with everything he says. I find his films extremely fascinating. My most favorite of his is LA CHINOISE. I wrote about this film here:
http://www.imdb.com/title/tt0061473/reviews?start=2

11.François Truffaut: I don't feel connected to some of his films, but my most favorite of his is TWO ENGLISH GIRLS (1971).

12.Milos Forman: I have seen only 6 films of his. I think his films are good. I give A+ to almost most of them, but they don't excite me personally. As for his early films, I have seen only BLACK PETER (1964).

13.Bernardo Bertolucci: I have seen only 8 films of his. I think of him like Milos Forman. He makes great films that don't excite me personally. Maybe my most favorite of his is THE GRIM REAPER (1962), because it is very Pasolini-esque.

14. Eric Rohmer: One of my most favorite directors of all time. THE GREEN RAY makes me cry a bucketful of tears.

15.Robert Bresson: One of my most favorite directors of all time.

16.Victor Erice: I worship THE QUINCE TREE SUN (1992), but I don't feel personally connected to THE SPIRIT OF THE BEEHIVE (1973).

17.Akira Kurosawa: I think his films are great, but they don't excite me personally. I think I have seen only 13 of his films. My most favorite is IKIRU (1952).

18. Ang Lee: I like some of his films very much. My most favorite is, of course, BROKEBACK MOUNTAIN.

19.Zhang Yimou: My most favorite of his is NOT ONE LESS (1999).


As for myself:

1.I think I came to love films because I like handsome actors. When I was about 13 years old, I became so crazy for Tom Cruise that I decided to go to see a film in a theatre by myself for the first time. The first film that I saw alone is THE COLOR OF MONEY (1986, Martin Scorsese, A++++++++++). I like it very much. So I went to see many Hollywood films after that.

2.I enjoyed seeing Hollywood films and mainstream films for many years, then in early 1995, I watched THE GARDEN (1990, Derek Jarman), and it blew me away. It made me realize that non-mainstream films like this can give me such an intense pleasure.

3.My life changed completely in late 1995 when I decided to go to see a film at the Goethe Institute in Bangkok for the first time. The film shown there is CLASS ENEMY (1983, Peter Stein, West Germany, A+++++++++++++++). I worship it. It also made me realize that there are many great films in the world which are not famous. I had read film magazines since 1987, but from 1987 to early 1995 these film magazines had never mentioned that there's such a great film as CLASS ENEMY exists in this world. So I realized that from then on I should explore the world of film by myself, instead of relying on the famous quality of the films.

4.After seeing CLASS ENEMY, I think I have become a cinephile. I went to see many films at Alliance Française, Goethe Institute, and Duangkamol Filmhouse (a Thai cinematheque) in late 1990's and early 2000's. I have also seen many films in various film festivals in Bangkok until now.


As for my favorite filmmakers, they include:
(In alphabetical order)

1.Alexander Kluge

2.Apichatpong Weerasethakul

3.Bruce Baillie

4.Chaloemkiat Saeyong

5.Derek Jarman

6.Eric Rohmer

7.Herbert Achternbusch

8.Jacques Rivette

9.Jun Ichikawa

10.Lav Diaz


As for my favorite films, I have made a list of 100 of them here:
http://beyondthecanon.blogspot.com/2009/09/jit-phokaew.html


I haven't directed any films yet, but I have produced 11 films directed by Wachara Kanha. If you want to know the details, you can read it here:
http://celinejulie.blogspot.com/2011/06/films-produced-by-cinephile.html







Saturday, September 03, 2011

LOSE (2011, Watcharapol Saisongkroh, A/A-)


You can watch this film here (no English subtitles):
http://www.youtube.com/watch?v=8FpX_UdFbSk
http://www.youtube.com/watch?v=CsccKqc-Dgs

There are a few things I like in this film, including:

1.The acting of Thitipol Rojanarowan as Golf in the film. I think his acting is quite natural. He is a real talent to watch. Golf is a kind of guy who is not expressive. He doesn't express his feelings through violent actions, strong words, or burst of tears. He is quite reserved, thus it is difficult for any young actors to play this role successfully. But I think Thitipol does a very good job in conveying the happiness, disappointment, and sadness of Golf via his eyes and his face.

However, though Thitipol is successful in playing this role, somehow I feel the film or the script of the film doesn't use or exploit his talent as much as I wish it should do. :-)

I mean I like his character very much. It should have been easy for me to feel connected with this character, because I used to experience the same kind of things that Golf experiences, such as falling for someone who belongs to a friend, being hurt by a close friend, or feeling that friendship may end because of the romantic relationship of a friend; but somehow I don't feel totally involved with this character, and I'm not sure why.

I think I might have given this film A+++++, if the film could dig deep into the feelings of Golf, especially the hurt that he experiences from falling for his friend's girlfriend and from being wrongly accused by his best friend. I think Thitipol has the ability to express those hurt feelings and other things that may make Golf a well-rounded character or look like a real human being. It's up to the filmmaker and the scriptwriter to make the best use of Thitipol's talent.

2. The beautiful cinematography and the fluid camerawork. I think the cinematography in this film is quite beautiful and its beauty is not suffocating or too intentional. However, I think some close-up scenes are a little bit too close.

I think Watcharapol's skill as a cinematographer has advanced a lot from last year. He's still very young. If he can shoot a film like this now, I'm sure he will be a good cinematographer in the future.

3.I like it very much that the film is not overdramatic. I especially like the opening scene when we see the normal activities of students. Many scenes in the film look more realistic than I expected. I mean these scenes are not really realistic, but I had expected that many films made by Thai high-school students would look melodramatic, so I can say that LOSE is not as melodramatic as I expected.

4.I like the ending of the film, or the way the film ends. The film could have ended more melodramatically, but it doesn't end like that.

I also like it very much that Golf doesn't get the girl. Judging from the girl's behavior near the end of the film (taking something without informing the owner properly), I think Golf is lucky not having a girlfriend like that. Hahaha.

5. I like that the flashback scenes near the end of the film are not repetitive, because these flashback scenes are not the scenes we have seen before in the film. However, that means I don't like the flashback scene in the middle of the film when Golf tries to decide whether he should give his doll to Fon or not. I mean this flashback scene is repetitive and may be redundant. I understand that it makes the audience understand clearly what Golf is thinking about and why he decides like that. But I would have loved it much more if there was no flashback scene in that moment, and the camera just lingered on Golf's face for one minute while he is thinking. It's just my personal taste: I like films which show the faces of the characters while they are thinking, but don't tell us straightforwardly what they are thinking about, such as SECRET DEFENSE (1997, Jacques Rivette), ONLY HUMAN (2009, Rouzbeh Rashidi), or TIME WITHIN TIME (2009, Menno Otten).

In conclusion, I think LOSE is a good film that doesn't quite fit to my personal tastes, and I'm not sure why. Maybe the story of the film is not my style. The "non-melodramatic" tone of the film is a good thing, but the film would have been more powerful as a dramatic film or a realistic film if the filmmaker/scriptwriter could find a way to dig deeper into the human qualities of his characters. I think it's just because the filmmakers are too young now. I'm sure Watcharapol will find a way to make more powerful films in the future. LOSE makes me feel certain that Watcharapol will be a good cinematographer, and I hope that life experiences, both good and bad ones, that await him in the future will help him create stories which are more powerful and great films which show us the deep understanding of human beings. I will wait and see.