Wednesday, March 31, 2021

GODZILLA VS. SUPERMAN VS. FREDDY VS. BATMAN VS. SADAKO VS. PREDATOR VS. KONG VS. JASON VS. ALIEN VS. KAYAKO VS. JEANNE DIELMAN VS. NATHALIE GRANGER

 

อยากให้มีการสร้างหนังที่ผนวกรวมหลายจักรวาลเข้าด้วยกัน รายได้มอบให้แก่โรงภาพยนตร์เพื่อช่วยในการฝ่าวิกฤติโควิด

 

GODZILLA VS. SUPERMAN VS. FREDDY VS. BATMAN VS. SADAKO VS. PREDATOR VS. KONG VS. JASON VS. ALIEN VS. KAYAKO VS. JEANNE DIELMAN VS. NATHALIE GRANGER VS. “ฮันนี่ ศรีอีสอย ปะทะ หอย สีกะหมอย

 

งานนี้คุณเชียร์ใครคะ

 

(ตอนแรกกะจะโพสท์ในวัน APRIL FOOL’S DAY เพื่อหลอกว่ามีโครงการหนังเรื่องนี้จริงๆ แต่คิดว่าหลอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องหลอกดีกว่า 55555)

Saturday, March 27, 2021

RIP Bertrand Tavernier (1941-2021)

 

RIP Bertrand Tavernier (1941-2021)

 

ชอบเขาอย่างสุด  ๆ ถือเป็นหนึ่งในผู้กำกับคนโปรดมาก ๆ คนนึงเลย รู้สึกว่าหนังของเขามันมีความ humanism สูงมาก ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่รู้สึกว่าตัวละครในหนังของเขามันเป็นมนุษย์มาก ๆ และมันมีมุมมองบางอย่างต่อ “ชีวิตมนุษย์” ที่เข้าทางเรามาก ๆ

 

เราได้ดูหนังของเขาแค่ 13 เรื่อง แต่มีอยู่แค่ 2 เรื่องในจำนวนนี้ที่เราไม่ได้ดูในโรงใหญ่ ซึ่งก็คือ THE CLOCKMAKER OF ST. PAUL ที่เราดูทางทีวีช่อง TV5MONDE และ DEATH WATCH ที่เราดูในโรงเล็กในห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์ นอกนั้นอีก 11 เรื่องเราได้ดูในโรงใหญ่หมดเลย เพราะ Alliance Francaise ในกรุงเทพชอบเอาหนังของเขามาฉาย และก็มีบางเรื่องในจำนวนนี้ที่เราได้ดูในเทศกาลภาพยนตร์ในกรุงเทพ

 

หนังของเขาที่เราชื่นชอบที่สุด ก็คือ A WEEK’S VACATION ที่นำแสดงโดย Nathalie Baye หนังเล่าเรื่องของครูสาววัยกลางคนคนนึงที่ลาพักร้อน 1 สัปดาห์ และเธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในช่วง 1 สัปดาห์นั้น นอกจากการเดินทางไปเยี่ยมคนบางคน และคิดทบทวนชีวิตของตัวเอง และหนังก็จบลงโดยที่แทบไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นเลย (ถ้าหากเทียบกับหนังโดยทั่วไป) เหมือนหนังจับเอาช่วงโมงยามธรรมดาในชีวิตธรรมดาของคนธรรมดาออกมาถ่ายทอดได้อย่างงดงามสุด ๆ มากๆ

 

หนังของ Bertrand Tavernier ที่เคยดู เรียงตามลำดับความชอบ

 

1. A WEEK’S VACATION (1980)

2. LIFE AND NOTHING BUT (1989)

3. A SUNDAY IN THE COUNTRY (1984)

4. FRESH BAIT (1995)

5. IT ALL STARTS TODAY (1999)

6. THE CLOCKMAKER OF ST. PAUL (1974)

7. THE JUDGE AND THE ASSASSIN (1976)

8. CLEAN SLATE (1981)

9. CAPTAIN CONAN (1996)

10. HOLY LOLA (2004)

11. THE PRINCESS OF MONTPENSIER (2010)

12. DEATH WATCH (1980)

13. LA FILLE DE D’ARTAGNAN (REVENGE OF THE MUSKETEERS) (1994)

หนังเรื่องนี้ได้ commercial release ในไทยด้วย

Tuesday, March 23, 2021

KAGEMUSHA

 ขอส่งท้ายวันสตรีสากลด้วยหนัง 4 เรื่องที่นำเสนอตัวละครหญิงที่เราชื่นชอบสุด ๆ


MOTHER (1926, Vsevolod Pudovkin, Soviet Union)

THE PASSION OF JOAN OF ARC (1928, Carl Theodor Dreyer)

SOPHIE SCHOLL: THE FINAL DAYS (2005, Marc Rothemund, Germany)

OFFICIAL SECRETS (2019, Gavin Hood, UK)

-------

KAGEMUSHA (1980, Akira Kurosawa, Japan, A+30)

1.ตระการตา ประทับใจมาก ๆ แต่ก็เป็นเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Akira Kurosawa ในแง่ที่ว่า เรา "ทึ่ง" กับหนังอย่างรุนแรง แต่มันจะไม่สะเทือนใจเราอย่างรุนแรงเป็นการส่วนตัว  ถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับว่า หนังของเขาเป็นเหมือน "ค้อนยักษ์" ที่เหวี่ยงมาโดนเรา แต่หนังของ Mikio Naruse จะเป็นเหมือน "เข็มพิษ" ที่เล็กจิ๋ว แต่พอเราโดนซัดเข็มพิษเข้าใส่ เราก็ตายไปเลย

แต่คิดว่า Akira Kurosawa  ก็คงถนัดทำหนังแนวนี้นี่แหละ และการที่เขาได้ทำสิ่งที่ถนัด ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว

2."สี" สวยมาก ๆ

3.ฉากฝันก็งดงามมาก ๆ โดยเฉพาะ background ของฉาก

4.สนใจตัวละคร Nobunaga Oda (Daisuke Ryu) มาก ๆ เพราะเหมือนเราเคยได้ยินชื่อตัวละครตัวนี้บ่อย ๆ พอลองค้นดูก็เลยพบว่า

4.1 BAND OF NINJA (1967, Nagisa Oshima, A+30) เล่าเรื่องของกลุ่มนินจาที่ต่อต้าน Nobunaga Oda

4.2 SEN RIKYU (1989, Kei Kumai) ที่เราเคยดู เล่าเรื่องของ Hideyoshi Toyotomi ซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจาก Nobunaga Oda

4.3 HONNOUJI HOTEL.(2017, Masayuki Suzuki) ที่เราเคยดู เล่าเรื่องของ Nobunaga Oda

4.4 MUMON: THE LAND OF STEALTH (2017, Yoshihiro Nakamura) ที่เราเคยดู เล่าเรื่องของ  Nobukatsu Oda ซึ่งเป็นลูกชายของ  Nobunaga Oda

มีใครเคยดูหนังเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับ Nobunaga Oda หรือเปล่า เหมือนเราน่าจะเคยดูมากกว่านี้ แต่นึกไม่ออก
----
สุดฤทธิ์ ตายแล้ววววว เพิ่งรู้จากเพื่อนว่า หนังของ Valerio Zurlini เคยลงโรงฉายในไทยแบบ commercial release ด้วย หนักมาก ๆ โดยหนังที่เข้าฉายในไทยในตอนนั้นคือเรื่อง INDIAN SUMMER (1972) ที่นำแสดงโดย Alain Delon โดยหนังใช้ชื่อไทยว่า "รักติดลบ" และเข้าฉายที่โรง เพรซิเดนท์ กับโรง ออสการ์

กราบผู้จัดจำหน่ายหนังต่างประเทศในไทยในยุคนั้น
-----

ENDINGS, BEGINNINGS (2019, Drake Doremus, A+30)

1.รู้สึกเหมือน  Shailene Woodley พยายามจะเป็น Dakota Johnson ในหนังเรื่องนี้ 555

2. ดูแล้วนึกถึงหนังกลุ่มผัวเมียละเหี่ยใจในยุค post new wave ของฝรั่งเศสมาก ๆ

FIDELITY (2019, Nigina Sayfullaeva, Russia, A+30)

1.ชอบฉากกลับหัวเด็กในท้องมาก ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราสามารถทำแบบนี้ได้ด้วย

2.นึกว่าเป็น female version ของ TORMENT (1994, Claude Chabrol) เพราะหนังเรื่องนั้นพูดถึงผู้ชายที่หยุดจินตนาการไม่ได้ว่าเมียตัวเองมีชู้

3.เหมือน "การขับรถ" จะเป็น motif สำคัญในหนังเรื่องนี้

BYE BYE BIRDIE (1963, George Sidney, A+25)

WILLY'S WONDERLAND (2021, Kevin Lewis, A+25)

ชอบความเกรดบีของหนังมาก ๆ นึกถึงหนัง GRINDHOUSE ของ Robert Rodriguez + Quentin Tarantino

THE CORNERED MOUSE DREAMS OF CHEESE (2020, Isao Yukisada Japan, A+30)

ชอบสุด ๆ กรี๊ดมาก ๆ รู้สึกว่านอกจากมันจะเป็นหนังเกย์โรแมนติกแล้ว มันยังเล่นท่ายากด้วยการสร้างตัวละครนำทั้งสองคนที่มีความ unlikeable ทางนิสัยใจคอมากพอสมควรด้วย คือเหมือนถ้าผลักไปมากกว่านี้นิดเดียว มันจะเป็น FATAL ATTRACTION (1987, Adrian Lyne) แล้วนะ เพราะตัวละครของ Ryo Narita นี่ถ้าล้ำเส้นไปมากกว่านี้ มันจะกลายเป็น Glenn Close ไปเลย

แต่เรารักและหลงใหลตัวละครโรคจิตแบบนี้มาก ๆ เราก็เลยชอบหนังอย่างสุด ๆ คือเราไม่ได้ต้องการคนแบบนี้ในชีวิตจริงนะ แต่เราชอบหนังที่รักมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องแบบนี้

Sunday, March 14, 2021

TELL YOUR WORLD

 TELL YOUR WORLD (2020, Nutthanon Ratree, 25min, A+25) 


SPOILERS ALERT 


1.ถ้าพูดกันตามจริงแล้วก็คือว่า เราไม่ถูกโฉลกกับหนังแนวนี้นะ 55555 มันไม่ใช่ทางของเราเลยน่ะ แต่ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ มันก็ดีตามแนวทางของมันหรือตาม genre ตามขนบของมันนั่นแหละ แต่พอดีเราไม่อินกับหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวจ้า 


แต่ที่ให้ระดับความชอบไว้เป็น A+25 ก็เป็นเพราะว่า เราทึ่งกับการที่นักศึกษาไทยทำหนังออกมาได้ตามขนบหนังญี่ปุ่นน่ะ คือมันเหมือนกับที่เราทึ่งกับการที่ได้เห็นฝรั่งคนนึงพูดภาษาไทยได้คล่องเปรี๊ยะ หรือเห็นฝรั่งคนนึงแต่ง “กลบทกบเต้นสามตอน” ในภาษาไทยออกมาได้น่ะ แต่ถ้าหากเราเห็นคนไทยพูดภาษาไทยได้คล่อง เราก็คงรู้สึกเฉยๆ 5555 คือถ้าหากหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนญี่ปุ่น เราก็คงจะชอบหนังเรื่องนี้แค่ในระดับประมาณ A หรือ A- น่ะ เพราะเราไม่อินกับหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวจ้ะ 


สรุปว่า ทึ่งมาก ๆ ที่ได้เห็นนักศึกษาไทยทำหนังในญี่ปุ่น, ตัวละครพูดภาษาญี่ปุ่นกันทั้งเรื่อง, ใช้ location ในญี่ปุ่นได้อย่างคุ้มค่า และมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกับหนังญี่ปุ่นมาก ๆ แต่พอดีเราไม่ถูกโฉลกกับหนังญี่ปุ่นแนวนี้อย่างรุนแรงจ้า 55555 (หนังญี่ปุ่นแนวที่เราชอบก็คือหนังของ Nagisa Oshima จ้ะ และหนังญี่ปุ่นแนวที่เราเกลียดสุดๆ ก็คือ ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET) 


2.ก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่เราไม่ชอบเป็นการส่วนตัวในหนังเรื่องนี้ เราก็ขอพูดถึงสิ่งที่เราชอบก่อนก็แล้วกัน อย่างแรกก็คือการใช้ location เราชอบการถ่าย location ท้องถนน, บ้านเรือนต่าง ๆ ในหนัง มันสร้างบรรยากาศได้ดี เหมือนใช้การมาญี่ปุ่นได้คุ้มค่า 


3.อีกสิ่งที่เรารู้สึกว่า ใช้ประโยชน์ได้ดี ก็คือ การถ่าย “แสงแดด” ในญี่ปุ่น เราว่าแสงแดดในหนังญี่ปุ่นมันมีมนตร์เสน่ห์บางอย่าง และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเก็บเกี่ยวเอาความงดงามของแสงแดดแบบหนังญี่ปุ่นมาไว้ได้ด้วย 


แต่จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกก้ำกึ่งกับ “แสง” ในหนังเรื่องนี้นะ เพราะถึงเราจะชอบ “แสงแดดแบบญี่ปุ่น” ในหนังเรื่องนี้ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้จัดโทนแสงให้มันดู “ละมุน” จนเกินไปหากวัดจากรสนิยมส่วนตัวของเราน่ะ  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ เพราะสิ่งนี้เกี่ยวโยงกับข้อหนึ่งที่เราเขียนไปแล้ว คือเราไม่ชอบหนังแนวนี้เป็นการส่วนตัวน่ะ และสิ่งหนึ่งที่เราไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ “ความละมุน” ของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งแสง, ทั้งดนตรีประกอบ, ทั้งบรรยากาศ ซึ่งไม่ใช่ว่ามันไม่ดี จริง ๆ แล้วมันดี เพราะความละมุนของทุกองค์ประกอบนี้มันสอดรับ, ส่งเสริม หรือเข้ากับ genre ของหนัง 


คือถ้าหากถามว่ามัน “ดี” มั้ย มันก็อาจจะดี เพราะความละมุนของทุกองค์ประกอบนี้มันเข้ากับ genre หนังหรือตัวหนัง 


แต่ถ้าหากถามว่า เรา “ชอบ” มั้ย เราก็ต้องตอบว่าเราไม่ชอบ เพราะเราไม่ชอบหนังแนวนี้ เราก็เลยไม่ชอบ “ความละมุน” ที่ช่วยส่งเสริมอะไรต่าง ๆ ในหนังแนวนี้ตามไปด้วย 55555 


4. ชอบเคมีระหว่างพระเอก นางเอก เราว่าคู่นี้ดูเหมาะสมกันดี ดูมี "ความเรียบร้อย" มีบุคลิกที่น่าจะไปด้วยกันได้ 


5. เพลงธีมเพราะดี ติดหูมาก ๆ 


6.ชอบการเน้นไปที่สัญญาณไฟจราจร เหมือนเป็น motif สำคัญอันนึงในหนัง 


7.  ชอบการบอกใบ้บางอย่างในตัวละครนางเอก เพราะในฉากแรก ๆ นั้น นางเอกไม่ยอมช่วยพระเอก แต่พอพระเอกบอกว่าจะให้ "ค่าตอบแทน" เธอถึงยอมช่วย จุดเล็ก ๆ นี้มันสะท้อนว่า "การหาเงิน" เป็นสิ่งที่นางเอกให้ความสำคัญอย่างมาก ๆ และนั่นส่งผลกระทบต่อ  CONFLICT  สำคัญของหนัง ในเวลาต่อมา เมื่อนางเอกต้องเลือกอะไรบางอย่าง 


8. เอาล่ะ คราวนี้มาว่าถึงสิ่งที่เราไม่ชอบในหนังบ้าง 555 แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับหนังดีไม่ดีนะ แต่เกี่ยวกับว่า อะไรทำให้เราอินหรือไม่อินกับหนังเป็นการส่วนตัว อย่างแรกที่เราไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัวเลย ก็คือ

ตัวละครนางเอก แต่จะว่าไม่ชอบก็ไม่เชิง เพราะจริง ๆ แล้วเรารู้สึกก้ำกึ่งกับเธอมากกว่า เพราะตัวละครตัวนี้มีทั้งส่วนที่เราอินด้วย และไม่อินด้วย 


ขอพูดถึงสิ่งที่เราชอบมาก หรืออินด้วยมาก ๆ ในตัวละครนางเอกก่อนแล้วกัน สิ่งที่เราอินด้วยมาก ๆ ก็คือ "ความโลเล" ของเธอ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและความผิดหวังให้แก่พระเอก เหมือนนางเอกต้องเลือกระหว่างการร้องเพลง กับการทำงานประจำ แต่เธอมีความโลเล และขาดความรับผิดชอบต่อสัญญาที่ตัวเองเคยให้ไว้ ก็เลยนำมาซึ่งความชิบหายในช่วงท้าย 


อันนี้เป็นจุดที่เราชอบสุด ๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึงความผิดพลาดบางอย่างในชีวิตตัวเอง เพราะเราก็เคยโลเลเกี่ยวกับทางเลือกของชีวิต และความโลเลนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิตคนอื่นๆ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็เลยชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ตรงจุดนี้ 


9.แต่ส่วนที่เราไม่อินกับตัวนางเอกก็คือ ความไม่กล้าร้องเพลงของเธอ เพราะเรารู้สึกว่า มึงจะกล้าร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นหรือไม่กล้าร้อง ก็เรื่องของมึง จบ 55555 เหมือนเราไม่รู้สึกแคร์ใด ๆ กับปมปัญหาหลักของหนังหรือของตัวนางเอกในจุดนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นที่ตัวเราเอง ในขณะที่ผู้ชมคนอื่น ๆ บางคนย่อมต้องรู้สึกแตกต่างไปจากเรา 


10. อีกจุดที่เรามีปัญหากับหนังอย่างมาก ๆ ก็คือว่า เราไม่รู้สึกว่าตัวละครมันเป็นมนุษย์จริง ๆ แต่มันเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตาม function ของมันในภาพยนตร์แบบสูตรสำเร็จน่ะ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนักแสดงเลยนะ นักแสดงทำได้ดีมาก ๆ แล้ว เราว่าปัญหาหลักเกิดจากบทภาพยนตร์ที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครได้แสดงแง่มุมหรือมิติอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการทำหน้าที่เป็น "พระเอกนางเอกที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค conflict และนำไปสู่การพัฒนาตัวเองในตอนจบแบบหนังสูตรสำเร็จ" น่ะ 


คือเราว่าตัวละครพระเอกมันชัดมากตรงจุดนี้ ตัวละครพระเอกมันดู "ลอย" มาก ๆ มันเหมือนตัวละครตัวนี้มาเพื่อทำหน้าที่เป็นพระเอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นมนุษย์จริง ๆ 


ตัวละครนางเอกอาจจะมีมิติมากกว่าหน่อย เพราะมีความซับซ้อนกว่า และมีปมทางใจจากการถูก bully ในอดีต แต่ไป ๆ มา ๆ แล้วก็เหมือนกับว่า ปมในอดีตและความซับซ้อนของตัวนางเอกถูกสร้างขึ้นเพื่อที่หนังจะได้มี "conflict, ปัญหาใหญ่,  ฉาก climax และพัฒนาการของตัวละคร" มากกว่าจะช่วยเพิ่มมิติความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงให้กับตัวละคร 


แต่ถึงแม้จุดนี้จะเป็นปัญหา เราก็ไม่ติดใจมันนะ เพราะเราว่าปัญหานี้มันมีสาเหตุหลักมาจากการที่หนังเรื่องนี้เป็น "หนังสั้น", "หนังนักศึกษาที่ต้องออกทุนสร้างเอง" และเป็นหนังที่ "ถ่ายทำในต่างประเทศภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ "น่ะ 


คือเราว่าปัญหานี้มันแก้ได้ด้วยการให้เห็น "ตัวประกอบอื่น ๆ" ในชีวิตของตัวละคร ทั้งสมาชิกครอบครัว, เพื่อน ๆ หรือการใส่ฉากชีวิตประจำวันของตัวละครซึ่งเป็นฉากที่ไม่เกี่ยวข้องกับ conflict หลักของหนังเข้ามา ซึ่งถ้าหากหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังยาว, หนังที่มีทุนสร้างสูง หรือหนังที่ถ่ายทำในไทย มันก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ง่าย แต่พอมันเป็นหนังสั้นที่นักศึกษาออกทุนสร้างเอง การจะไปจ้างนักแสดงชาวญี่ปุ่นหลายคนให้มาแสดงเป็นเพื่อน ๆ ของพระเอกหรือนางเอก มันก็คงเป็นเรื่องยาก เราก็เลยเดาว่าการที่หนังมันมีปัญหานี้ คงเป็นพราะข้อจำกัดเหล่านี้ด้วย 


11.จบส่วนที่ไม่ชอบในหนังไปแล้ว ขอพูดถึงประเด็นอื่น ๆ บ้าง เราขอบอกว่า เราขำฉากวิ่งในช่วง climax จนหยุดหัวเราะไม่ได้ มันแสดงให้เห็นว่า ผู้สร้างหนังเรื่องนี้เข้าใจสูตรสำเร็จของหนัง/ละครทีวีของญี่ปุ่นจริง ๆ ที่ต้องมีตัวละครวิ่งอย่างรุนแรงในฉาก climax ก่อนจบเรื่อง หรือก่อนจบตอนในละครทีวี อย่างล่าสุดก็คือใน VIOLET EVERGARDEN THE MOVIE ที่ตัวละครต้องหาเรื่อง "วิ่งหน้าตั้ง" ให้ได้ก่อนจบเรื่อง 


แล้วผู้สร้าง TELL YOUR WORLD ก็เข้าใจสูตรสำเร็จของฉากแบบนี้ด้วยนะ ด้วยการใส่เสียงความคิดนางเอกเข้ามา เพื่อบอกว่านางเอก "เริ่มตรัสรู้" แล้ว เข้าใจตัวเองแล้ว เข้าใจความปรารถนาของตัวเองแล้ว และเสียงความคิดนั้นก็มี "การเร่งเร้า" เสียง, เร่งเร้าอารมณ์อย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะการวิ่งทะยานของนางเอก 


ไม่รู้ว่าผู้กำกับจงใจให้ซึ้งหรือเปล่านะ แต่เราหัวเราะจนหยุดไม่ได้กับสูตรสำเร็จแบบนี้ และชอบมากที่ผู้กำกับเข้าใจสูตรสำเร็จแบบนี้ของหนัง/ละครทีวีญี่ปุ่น 


12. ติดใจมาก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับพระเอกในตอนจบ โทรศัพท์ที่โทรมาหานางเอกนั้นคืออะไร พระเอกประสบอุบัติเหตุตายหรืออะไร หรือผู้สร้างหนังต้องการให้คนดูจินตนาการเอง 


ถ้าผู้สร้างหนังต้องการให้คนดูจินตนาการเอง เราก็ขอจินตนาการว่า พระเอกโทรมาหานางเอกในฉากนั้นแล้วพูดกับเธอว่า "อีเหี้ย อีสัส อีไม่รักษาสัญญา มึงไปให้พ้นรัศมีควยกู ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตกูอีก" แล้วพระเอกก็วางหูไป นางเอกก็เลยทำอาการเศร้าแบบที่เห็นในหนัง 55555 


13. สรุปว่า ถ้าหากถามว่า "ชอบหนังเรื่องนี้มั้ย"  เราก็ขอตอบว่า เราไม่ได้ชอบมากเป็นการส่วนตัวจ้ะ ชอบแค่ในระดับนึง 


แต่ถ้าหากถามว่าหนังเรื่องนี้ "ดีมั้ย"  เราก็ขอตอบว่า เราไม่รู้ เพราะเราไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้ชอบหนัง genre นี้ ควรไปถามผู้ชมกลุ่มเป้าหมายจะดีกว่า 


แต่ถ้าหากถามว่า หนังเรื่องนี้ "น่าจดจำมั้ย" เราก็ขอตอบว่า มัน "น่าจดจำอย่างสุด ๆ" จ้ะ เพราะมันเป็นหนังนักศึกษาไทยที่ถ่ายทำในญี่ปุ่นทั้งเรื่อง, ใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งเรื่อง และดูเหมือนจะเข้าใจสูตรสำเร็จของหนังญี่ปุ่นเป็นอย่างดี หนังเรื่องนี้ก็เลยมีความ unique มาก ๆ เมื่อเทียบกับหนังสั้นนักศึกษาไทยเรื่องอื่น ๆ และถือว่า "น่าจดจำ"  เป็นอย่างมากจ้ะ 


14. แล้วหนังแนวไหนเหรอที่เราจะอินด้วยอย่างสุด ๆ หรือชอบเป็นการส่วนตัวอย่างสุด ๆ มันก็คือหนังที่อาจเริ่มต้นคล้าย ๆ หนังเรื่องนี้ นางเอกดูเรียบร้อย ติ๋ม ๆ ขี้อาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะเธอไม่กล้าประกาศให้โลกรู้ว่า "ฉันอยากเป็นกะหรี่" ฉันอยากเย็ดกับผู้ชายจำนวนมาก และถ้าได้เงินด้วย ก็ยิ่งดี 


หนังแนวที่เราชอบ ก็จะมีส่วนคล้ายกับ TELL YOUR WORLD นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนความใฝ่ฝันของนางเอกจากการร้องเพลง มาเป็นการเป็นกะหรี่น่ะ และพอนางเอกได้พบกับพระเอก ที่คอยกระตุ้นให้เธอ "ทำตามความฝัน" ของตัวเอง เธอก็เลยกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และออกวิ่งทะยานพุ่งไปข้างหน้า เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นกะหรี่อย่างเต็มตัวในตอนจบ



Sunday, March 07, 2021

THE GRAND CANAL TV SERIES

หนึ่งในสิ่งที่วางแผนว่าจะทำมานาน 30 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำสักที เพราะไม่มีเวลาว่างมากพอ ก็คือการเอาละครทีวีฮ่องกงเรื่อง “ศึกลำน้ำเลือด” (1987) มาดูใหม่ เพราะมันเป็นหนึ่งในละครทีวีที่เราชื่นชอบมากที่สุดในชีวิต ละครทีวีเรื่องนี้เล่าเรื่องของฮ่องเต้หยังกวงจอมทรราชย์ (อู๋ฉี่หัว) และกลุ่มผู้ต่อต้านหยังกวง แต่สิ่งที่ทำให้ละครเรื่องนี้สนุกมาก ๆ ก็คือ “หลุมพราง” มากมายที่กลุ่มผู้ต่อต้านหยังกวงต้องเผชิญ เหมือนกับว่ามีหลุมพรางให้ตกแล้วตกอีก ตกแล้วตกอีก อุปสรรคแม่งเยอะสัส ๆ

 

จำได้ว่าในละครทีวีเรื่องนี้ เราจองเป็น “นางแส้แดง” 5555 เพราะฉะนั้นหนึ่งในตัวละครที่เราเกลียดที่สุดในละครเรื่องนี้ ก็คือ หลี่มี่ (หวงเย่อหัว) หนึ่งในจอมยุทธ์ที่อยู่ในกลุ่มผู้ต่อต้านหยังกวง แต่ในความเป็นจริงนั้น หลี่มี่คือคนเหี้ย และคอยยุยงบ่อนทำลายกลุ่มผู้ต่อต้านหยังกวง ถ้าเราจำไม่ผิด “นางแส้แดง” ก็เจอหลี่มี่ใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานา จนถูกขับออกจากขบวนการไปพักนึง กว่านางแส้แดงจะหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ความจริงใจจนกลับเข้าขบวนการได้ ก็ใช้เวลานาน

 

 


BREAKING NEWS IN YUBA COUNTY

 LOVE STORY (1970, Arthur Hiller, A+30) 


1.ชอบกว่าที่คาดไว้เยอะ ตอนแรกเห็นพล็อตเรื่องแล้วอี๋มาก เพราะมันทำให้นึกถึงหนังที่เราเกลียด อย่างเช่น THE LETTER ของไทย แต่พอดู LOVE STORY แล้วพบว่า มันฟูมฟายน้อยกว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งตรงข้ามกับหนังและละครทีวีของเอเชียที่เราเกลียด 


2.ชอบตัวละครนางเอกมาก ๆ ชอบที่เธอเป็นฝ่ายรุกจีบพระเอกก่อน แล้วพอพระเอกถามว่าทำไมถึงจีบเขา นางเอกก็ตอบว่า I LIKE YOUR BODY 


3.ชอบปมระหว่างพระเอกกับพ่อมาก ๆ ด้วย ถึงแม้พระเอกจะหัวแข็งเกินไป แต่เราก็ชอบตัวละครพระเอกแบบนี้มากกว่าพระเอกที่เชื่อฟังพ่อแม่ 


4.เพิ่งเคยเห็น Tommy Lee Jones ในวัยหนุ่มเป็นครั้งแรก น่าสนใจมากๆ คือเขาหล่อ เล่นหนังมาตั้งแต่ปี 1970 แต่กว่าเขาจะโด่งดังสุดขีด เขาก็เหี่ยวเสียแล้ว ตอนที่เล่น THE FUGITIVE (1993, Andrew Davis) 


จริง ๆ แล้วเราก็เคยดูเขาใน COAL MINER'S DAUGHTER  (1980, Michael Apted), LONESOME DOVE (1989), JFK (1991, Oliver Stone) อะไรพวกนี้นะ แต่หนังเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็น "ดาราที่โด่งดังไปทั่วโลก" น่ะ 


I REMEMBER (2020, Nan Zhou, China, A+) 


1.หนังจีนที่  remake จาก แฟนเดย์ (2016, Banjong Pisanthanakun) และพอเราเคยดูตัวต้นฉบับมาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ารู้เนื้อเรื่องหมดแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าเบื่อหน่อย ๆ 


2.เวอร์ชั่นจีนตัดความ creepy ของพระเอกทิ้งไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่าที่ทำให้พระเอกดูเป็นคนดีมากขึ้น 


3. พอดูหนังเรื่องนี้แล้วเลยเข้าใจว่า ทำไมเราถึงอินกับ อีหล่าเอ๋ย (2020, อาทิตย์ ศรีภูมิ, เอกชัย ศรีวิชัย) อย่างสุด ๆ เพราะ I REMEMBER กับ แฟนเดย์ นำเสนอ "สาวออฟฟิศ" ราวกับว่าเป็น ultimate object of desire ที่อยู่สูงกว่า mechanic/repairman ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับมุมมองของเรา 


แต่ อีหล่าเอ๋ย นำเสนอ mechanic/repairman ว่าเป็น ultimate object of desire ที่ใคร ๆ ก็อยากเสย he ใส่ ซึ่งนี่แหละตรงกับความปรารถนาของเราที่สุด 55555 


BRITANNICUS (2018, Stephane Braunschweig, France, filmed stage, A+30)



ละครเวทีที่สร้างจากบทประพันธ์ของ Racine เข้าใจว่าดัดแปลงจากเรื่องจริงของแม่กับลูกชายที่แย่งอำนาจกันเองในจักรวรรดิโรมัน ระหว่าง Nero ทรราชย์ชั่วชาติอำมหิต กับ Agrippina ที่เป็นแม่ของเขาเอง หนักมาก ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคยมีการแย่งชิงอำนาจบัลลังก์กันอย่างรุนแรงสุดขีดระหว่างแม่กับลูกชายด้วย

‐------

ไม่รู้เป็นเพราะเราเพิ่งดู "วัยระเริง" (1984,  Piak Poster, A+30) มาหรือเปล่า ความทรงจำบางอย่างตอนเราอยู่มัธยมก็เลยหวนคืนมา 555 อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนเราอยู่มัธยม ประมาณปี 1988 เพื่อนคนนึงเคย "บรรยายความโง่" ของเพื่อนอีกคนนึงให้พวกเราฟังว่า "มิสนี่เป็นคนที่โง่มากน่ะ โง่แบบที่เรียกว่า ถ้าเจอใครถามว่า  "-1  ยกกำลัง 100 มีค่าเท่ากับเท่าไหร่" มิสนี่ก็เอา -1 ไปคูณกันเรื่อย ๆ จนครบ 100 ทีเพื่อหาคำตอบน่ะ" 


มันเป็นการบรรยายความโง่ที่เราประทับใจมาก ๆ ก็เลยขอจดบันทึกไว้หน่อย หวังว่าความทรงจำอื่น ๆ สมัยมัธยมจะหวนคืนมาอีก 

-------

HAPPIEST SEASON (2020, Clea DuVall, A+30) 


1.หนังเลสเบียนที่งดงามมาก ๆ แต่เสียดายที่หนังดูโลกสวยไปหน่อยในช่วงท้าย แต่ก็ให้อภัยได้เมื่อคิดว่ามันอยู่ใน genre "หนังพาฝันวันคริสต์มาส" 


2.แต่ชอบ HOLY MESS (2015, Helena Bergstrom, Sweden) มากกว่าเรื่องนี้นะ เหมือน HOLY MESS มัน "เจ็บปวด" กว่า 


THE END OF THE STORM (2020, James Erskine, UK, documentary, A+15) 


----

ชอบ ANIMAL FARM (1954, Joy Batchelor, John Halas, UK, animation, A+30) ที่ฉายที่ Bangkok Screening Room อย่างสุด ๆ แต่ตอนดูก็คิดในใจตลอดเวลาว่า ทำไม Disney หรือ Pixar ไม่ทำหนังการ์ตูนแบบนี้บ้างวะ นี่เป็นหนังที่เด็ก ๆ ทุกคนควรดู และเหมาะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กม. 1 มาก ๆ แล้วพอเราได้มาอ่าน trivia ของหนังเรื่องนี้ใน imdb เราก็หัวเราะจนหยุดไม่ได้ 55555

--- 


BREAKING NEWS IN YUBA COUNTY (2020, Tate Taylor, A+30) 


1. ตอนแรกชอบแค่ในระดับ A+15 แต่พอเวลาผ่านไปหลายวันก็ชอบหนังเรื่องนี้มากถึงระดับ A+30  55555 เพราะตอนที่ดู เราจะรู้สึกไม่ชอบ "ความเป็นหนังตลกร้าย" ของมันน่ะ เพราะเรามักจะไม่อินกับหนังที่มีการฆาตกรรมโหด ๆ โดยมองว่ามันเป็นเรื่องตลก เหมือนกับว่า "ความเจ็บปวดทางร่างกายของตัวละคร" เป็นเรื่องตลก (และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราเกลียดบางฉากใน DETECTIVE CHINATOWN 3 อย่างสุด ๆ)  


เรามองว่าจุดนี้คือความแตกต่างสำคัญระหว่างหนังตลกร้ายกับหนังสยองขวัญนะ เพราะถึงแม้หนังทั้งสอง GENRES นี้จะ exploit ความโหดและการทำร้ายร่างกายตัวละครเหมือนกัน แต่หนังสยองขวัญโดยทั่วไป treat การทำร้ายร่างกายตัวละครว่าเป็นเรื่องจริงจัง, เป็นความเจ็บจริง, ไม่ใช่เรื่องตลก, ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นน่ะ เราก็เลยอินกับหนังสยองขวัญอย่างรุนแรง และไม่ค่อยอินกับหนังตลกร้าย 


เพราะฉะนั้นพอเราเจอความตลกร้ายในหนัง YUBA นี้ เราก็เลยถอยห่างจากหนังในระดับนึง แต่พอเวลาผ่านไปนานหลายวัน เราก็ยังคงคิดถึงจุดอื่น ๆ ที่เราชอบในหนังเรื่องนี้อยู่ เราก็เลยพบว่า ยิ่งผ่านไปนาน ๆ เราก็จะยิ่งลืมจุดที่ไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ แต่จะยังคงจดจำจุดที่ชอบได้ และทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ 


2.จุดที่ชอบที่สุดในหนัง ก็คือการสร้างตัวละครหญิงแรง ๆ 10 กว่าตัวมาปะทะกันอย่างรุนแรงน่ะ ไม่รู้คิดได้ยังไง คือมันอาจจะไม่ลงตัวแบบ  "ผู้หญิงแย่งสับ" (1989, David Chung, Hong Kong) ละครทีวีแบบ MELROSE PLACE หรือ WOMEN ON THE VERGE OF A NERVOUS BREAKDOWN (1988, Pedro Almodovar, Spain) นะ แต่เราว่ามันสนุกกว่า 8 WOMEN (2002, Francois Ozon) น่ะ  และมันตอบสนอง fantasy ของเรามาก ๆ เพราะเราก็อยากให้มีคนสร้างหนังที่นำตัวละครหญิงแรง ๆ มาปะทะกันเหมือนกัน 


3.ตัวละครที่ชอบมากๆ ในหนัง มีตั้งแต่ตัวละครธรรมดา และตัวละครประกอบที่โผล่มาแค่ 10 วินาที คือเราว่ามีหนังไม่กี่เรื่องน่ะที่สร้างตัวละครประกอบที่โดนใจเราได้หลายตัว ทั้งๆ ที่โผล่มาแค่ไม่กี่วินาทีในหนัง 


ตัวละครที่ชอบ 


3.1 นางเอก (Allison Janney) 


3.2 น้องสาวนางเอก Mila Kunis 


3.3 ตำรวจสาว Regina Hall 


3.4 มาเฟียสาว Akwafina 


3.5 สาวดำประสาทแดก Wanda Sykes 


3.6 คู่รักเลสเบียนของสาวประสาทแดก  Ellen Barkin 


3.7 พิธีกรรายการทีวีชื่อดัง Juliette Lewis 


3.8 น้องสะใภ้นางเอก  Samira Wiley 


3.9 เมียน้อย Bridget Everette 


3.10 เพื่อนร่วมงานนางเอกที่ดูตอแหลมาก 


3.11 พนักงานธนาคารผิวดำที่กล่าวขอโทษคนตาย 


3.12 พนักงาน supermarket หน้าตาบอกบุญไม่รับ (โผล่มา 5 วินาทีช่วงต้นเรื่อง) 


3.13 แต่มีสิทธิตัวละครที่จริง ๆ แล้วแรงที่สุดในเรื่อง คือ "เด็กสาวที่หายตัวไป" 555 อยากให้มีการสร้างภาคสองเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้มาก ๆ 


4.ดูแล้วก็เลยกราบหนังมาก ๆ ตรงจุดนี้ เหมือนเป็นการทำตามความฝันในการเอาตัวละครหญิงแรง ๆ มาปะทะกันหลายตัว และเราว่าหนังมี "sense ความกะหรี่กะหล่ำ" ที่ตรงกับเรามาก ๆ น่ะ เพราะถึงเราจะดูหนังเรื่องนี้มานานหลายสัปดาห์แล้ว เรายังอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงฉาก "พนักงานธนาคารผิวดำกล่าวขอโทษคนตาย" น่ะ ทั้ง ๆ ที่ตัวละครตัวนี้โผล่มาแค่ 60 วินาที คือเราว่าผู้สร้างหนังมี sense of humour ที่ตรงกับเรามากพอสมควรถึงสร้างตัวละครชิบหาย ๆ แบบนี้ออกมาได้เยอะมาก ๆ 


5.เราก็เลยรู้สึกว่า Tate Taylor แก้ตัวได้อย่างน่าพึงพอใจ หลังจากทำ AVA (2020) เพราะเราว่า AVA ล้มเหลวมากในแง่การใช้ประโยชน์จาก Joan Chen และ Geena Davis คือเหมือน Tate Taylor คงอยากเอาดาราหญิงพวกนี้มาปะทะกัน แต่ AVA ไม่เปิดโอกาสให้ดาราเหล่านี้ใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่ YUBA นี่แก้ตัวในจุดนี้ได้ดีมาก โดยเฉพาะการใช้ศักยภาพของ Allison Janney และ Wanda Sykes ได้อย่างเต็มสตีม 


6.ทำไมดูแล้วนึกถึงละครทีวีช่อง 3  เรื่อง "จิตไม่ว่าง 24" (1981) 5555 ที่มีมาลี เวขประเสริฐ, กรรณิการ์ ธรรมเกษร, สุทธิจิต วีระเดชกำแหง และดาราหญิงมากมายมาปะทะกันในร้านทำผม ถ้าจำไม่ผิด อยากให้มีคนไทยทำหนังไทยแบบ "จิตไม่ว่าง 24" ออกมามาก ๆ