Saturday, December 31, 2005

MARCH OF THE PENGUINS (A+)

อ่านจบแล้ว

ตัวเอกของเรื่องมีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนดีจริงๆ ทำไมเราถึงไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้ให้จดจำบ้างนะ


ความทรงจำของปลาชะโด หมายเลข 1

ตอนอยู่มัธยมต้น ไม่เคยได้มีโอกาสเห็นเพื่อนผู้ชายทำอะไรอย่างนั้นให้ดูบ้างเลยง่ะ


ความทรงจำของปลาชะโด หมายเลข 2

ตอนอยู่ม.5 ชีวิตมีความสุขมากเวลาอยู่โรงเรียน แต่ยังไม่เคยมีอะไรอย่างนั้นกับใครเลย ถ้าย้อนกลับไปใช้ชีวิตม. 5 ได้ใหม่ จะเริ่มขายตัวตั้งแต่ตอนนั้น โฮะๆๆๆๆ


ความทรงจำของปลาชะโด หมายเลข 3

ตอนอยู่มหาลัย ก็หาผัวไม่ได้เหมือนเดิม


ความทรงจำของปลาชะโด หมายเลข 4

เรียนจบมหาลัยแล้ว มีความสุขที่สุด ไปเที่ยวก็สนุก อยู่คนเดียวก็มีความสุข ขายตัวให้ฝรั่งได้เงินมาบ้าง ก็เอาเงินไปซื้อวิดีโอหนังของทาร์คอฟสกีมาดู บางคืนนอนไม่หลับ ก็นอนนึกถึงอดีตที่มีความสุขไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับฝันดีไปเอง


--ว้าย GABRIEL MANN ถอดเสื้อเล่นเกือบตลอดทั้งเรื่องเหรอคะ โฮะๆๆๆๆ

--สวัสดีปีใหม่คุณเจ้าชายน้อย, น้อง MERVEILLESXX และทุกๆคนเช่นกันค่ะ


--ขออวยพรปีใหม่ให้ทุกๆคนเช่นกันค่ะ

--ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นวันนี้ขอโพสท์สั้นๆก่อน แล้วเดี๋ยววันหลังจะมาตอบของแต่ละคนนะคะ

หนังและวิดีโอที่ได้ดูในช่วงนี้

1.MARCH OF THE PENGUINS (2005, LUC JACQUET, A+)

2.FRUITS OF PASSION (1981, SHUJI TERAYAMA, A+)

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับโสเภณีชาวจีน แต่เอานักแสดงหญิงญี่ปุ่นมารับบทเป็นโสเภณีจีนเกือบทุกคน (รู้สึกจะตรงข้ามกับ MEMOIRS OF A GEISHA แฮะ)


3.THE FAMILY STONE (2005, THOMAS BEZUCHA, A+/A)

หนังเรื่องนี้ฉายที่เอ็มโพเรียม และมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเกย์ โดย THOMAS BEZUCHA เองนั้นก็เคยกำกับหนังเกย์เรื่อง BIG EDEN (2000, A)


4.GHOST VARIETY (2005, UNCLE, A-)

5.THE CHRONICLES OF NARNIA: THE LION, THE WITCH, AND THE WARDROBE (2005, ANDREW ADAMSON, B+)



--MARCH OF THE PENGUINS

ฉากที่ชอบสุดๆรวมถึง

1.ฉากเพนกวินตัวเมียตบตีกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งผู้ชาย

2.ฉากเพนกวินตัวเมียมีอาการวิกลจริตหลังจากลูกเสียชีวิต

เพนกวินเป็นสัตว์ที่น่ารักมากๆ และสิ่งที่ทำให้เพนกวินน่ารักขึ้นไปอีกก็คือว่า มีการพบเพนกวินเลสเบียนกับเพนกวินเกย์อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาตามสวนสัตว์แห่งต่างๆด้วย โดยเพนกวินเกย์บางคู่อยู่กินกันนานถึง 8 ปี

มีเพนกวินเลสเบียนแต่งงานอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาที่สวนสัตว์เมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ส่วนเพนกวินเกย์ที่แต่งงานอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยานั้นสามารถพบได้ที่สวนสัตว์ในสหรัฐ, สวีเดน, เยอรมนี และญี่ปุ่น

มีคู่รักเกย์เพนกวินที่โด่งดังมากๆอยู่ที่สวนสัตว์เซ็นทรัล ปาร์ค ชื่อว่า “รอย” กับ “ไซโล” ส่วนที่นิวยอร์ค อควาเรียมก็มีคู่รักเกย์เพนกวินชื่อดังอยู่ด้วยเหมือนกัน คู่นี้มีชื่อว่า WENDELL กับ CASS ในขณะที่สวนสัตว์เอดินเบอระห์ในสก็อตแลนด์ก็มีคู่รักเกย์เพนกวินชื่อ ERIC กับ DORA

ในสวนสัตว์เซ็นทรัล ปาร์คมีคู่รักเลสเบียน-เกย์เพนกวิน 6 คู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้รอยกับไซโลแยกทางกันแล้ว หลังจากใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกันมานาน 6 ปี โดยไซโลไปแต่งงานกับเพนกวินตัวเมียตัวหนึ่ง ส่วนรอยใช้เวลาไปกับการนั่งอยู่ตัวเดียวตามลำพังที่ริมขอบสถานที่อยู่ และจ้องกำแพงไปเรื่อยๆ

ที่สวนสัตว์ในเยอรมนีก็มีการพบเกย์เพนกวินอยู่กินกันหลายคู่เหมือนกัน ทางสวนสัตว์ก็เลยพยายามส่งตัวเมียเข้าไปยั่วยวนเพื่อให้คู่รักเกย์เพนกวินแยกทางกัน แต่ปรากฏว่าคู่รักเกย์เพนกวินแทบไม่เหลือบชำเลืองสายตามองตัวเมียเลย

ข่าวเกี่ยวกับเพนกวินเลสเบียน อ่านได้ที่
http://www.brusselsjournal.com/node/483


ข่าวเกี่ยวกับเพนกวินเกย์ อ่านได้ที่
http://www.gay.com/news/article.html?2002/02/22/2



ข่าวเกี่ยวกับการแยกทางกันของรอยกับไซโล อ่านได้ที่
http://www.foxnews.com/story/0,2933,169653,00.html


ข่าวเกี่ยวกับคู่รักเกย์เพนกวินที่เยอรมนี อ่านได้ที่
http://www.guardian.co.uk/germany/article/0,2763,1414804,00.html

ถ้าใครชอบพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก็สามารถเข้าไปอ่านบทสนทนาของเขากับคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวณิชได้ที่นี่ค่ะ
http://bkkdemocrazy.blogspot.com/

Wednesday, December 28, 2005

RIRKRIT

ขอบคุณคุณพีเอ็มเอสมากค่ะสำหรับลิงค์รูปภาพบ้านของฟิลิปเป ปาร์เรโน และบ้านของคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวณิช

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวณิชได้ที่
http://www.guggenheim.org/exhibitions/hugo_boss_prize/

http://www.gandy-gallery.com/fab/fab.html

http://www.secession.at/art/2002_tiravanija_e.html

http://www.gavinbrown.biz/bio/biotiravan.html


ผลงานศิลปะของคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวณิช

UNTITLED – INFINITY PAN
http://www.gandy-gallery.com/pict/rirkrit_tiravanija_2poele.jpg

UNTITLED 2005 (THE AIR BETWEEN THE CHAIN-LINK FENCE AND THE BROKEN BICYCLE WHEEL)
http://www.vnvisualart.com/pic-april05/rirkrit_tira.jpg

SECESSION (2002)
http://www.secession.at/art/images/2002_tiravanija/17.jpg

UNTITLED 1999 (YOUNG MAN, IF MY WIFE MAKES IT)
http://www.galleryside2.net/artist/rirkrit/images/yi.jpg

UNTITLED 2002 (HE PROMISED)
http://www.gavinbrown.biz/images/imagetirivanija/01.jpg

UNTITLED (1997) PLAYTIME
http://www.gavinbrown.biz/images/imagetirivanija/playtime(c).jpg

UNTITLED 1999 (TOMORROW CAN SHUT UP AND GO AWAY)
http://www.gavinbrown.biz/images/imagetirivanija/RT-009-(j).jpg

TOMORROW IS ANOTHER FINE DAY (2004-2005)
http://www.gavinbrown.biz/artists/tiravanijapics/tiravanijapic14.html

Tuesday, December 27, 2005

THE BOY FROM MARS (A+++++)

ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ เคยดูแต่ภาพยนตร์เรื่อง INTO THIN AIR: DEATH ON EVEREST (1997, ROBERT MARKOWITZ, B/B-) ตอนที่มาฉายทางเคเบิลทีวี เป็นหนังที่สร้างมาจากหนังสือเล่มนั้น แต่รู้สึกว่าตัวหนังจะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ นักวิจารณ์ก็บอกว่าหนังเรื่องนี้สู้หนังสือไม่ได้เลย

INTO THIN AIR: DEATH ON EVEREST
http://www.imdb.com/title/tt0118949/
http://images.amazon.com/images/P/B00005B1WA.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ถ้าสนใจหนังเกี่ยวกับภูเขา ขอแนะนำให้หาดูเรื่อง

1.THE HOLY MOUNTAIN (1926, ARNOLD FANCK)

หนังเยอรมันนำแสดงโดย LENI RIEFENSTAHL ที่ต่อมาได้กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขวัญใจนาซี
http://images.amazon.com/images/P/B00009XN90.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังเรื่องนี้ใช้ฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเต้นระบำ (รีเฟนชตาห์ล) ที่ออกตามล่าหาชายในฝันของเธอในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในภูเขา และเธอก็ได้พบกับนักไต่เขาที่ชอบเก็บตัว (LOUIS TRENKER) กับนักเล่นสกีหนุ่ม (ERNST PETERSEN) ซึ่งทั้งสองคนนี้ต่างก็กำลังไล่ตามความฝันของตัวเองท่ามกลางความงดงามและภยันตรายของเทือกเขาแอลป์

http://www.facinghistorycampus.org/campus/weimar.nsf/0/0746D3C13375F96B85256BB50055AAC9/$file/leni%20film%201.jpg


2.THE ASCENT OF CHIMBORAZO (1989, RAINER SIMON, A)

The Ascent of Chimborazo (1989) กำกับโดยไรเนอร์ ไซมอน และมีเนื้อหาเกี่ยวกับอเล็กซานเดอร์ วอน ฮัมโบลด์ (1769-1859) หนึ่งในนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปในยุคนั้น เขาเป็นนักสำรวจและนักเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยว และผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเขาเป็นรากฐานให้กับการศึกษาภูมิศาสตร์พืชและสัตว์ในเวลาต่อมา เขาเคยติดต่อกับเกอเธ่และชิลเลอร์ ซึ่งเป็นนักปราชญ์คนสำคัญ และเคยเดินทางไปทั่วทวีปอเมริกาใต้ (1799-1804), เทือกเขายูราลส์ และเทือกเขาอัลไต (1829) นอกจากนี้ เขายังเคยสนับสนุนการปฏิวัติในฝรั่งเศสและมีบทบาทรณรงค์ให้มีการเลิกทาสในสหรัฐ ทั้งนี้ ไซมอน โบลิวาร์ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพคนสำคัญของอเมริกาใต้พูดถึงฮัมโบลด์ว่าเป็น "ผู้ค้นพบทางวิทยาศาสตร์" ของทวีปอเมริกา และเป็น "โคลัมบัสคนที่สอง" เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮัมโบลด์ขณะที่เขามีอายุ 32 ปีและเดินทางอยู่ในอเมริกาใต้ โดยเขาออกเดินทางไปพร้อมกับเพื่อน 2 คน ซึ่งได้แก่ เอเม บงปลองด์ แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส กับคาร์ลอส มอนตูฟาร์ ซึ่งเป็นขุนนางลูกผสม ทั้งสามต้องการไต่ภูเขาชิมโบราโซ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอนดีส และเป็นภูเขาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดพิชิตได้มาก่อน นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพูดถึงชีวิตของฮัมโบลด์ในฐานะเกย์ และความพยายามของเขาในการก้าวออกจากสังคมปรัสเซียที่น่าอึดอัดเพื่อไปสู่โลกกว้าง วิดีโอหนังเรื่องนี้มีให้ยืมที่ห้องสมุดสถาบันเกอเธ่ ซ.สาทร 1 (ซอยเดียวกับบาบิลอน)

ALEXANDER VON HUMBOLDT นักไต่เขาเกย์ชื่อดัง
http://www.humboldt-portal.de/cd/Portraes_AvH/AvH02.jpg
http://www2.kah-bonn.de/a/p/humboldtgr.jpg
http://www.lsg.musin.de/deutsch/d/aufkl/humbo/humboldm.jpg


3.THE LAST TRAPPER หรือ “วิบากชีวิตลิขิตยอดคน” (2004, NICOLAS VANIER)
http://images.amazon.com/images/P/B000AIM0PK.08._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังสารคดีเรื่องนี้ถ่ายทอดชีวิตของผู้ชายที่อยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะอันเวิ้งว้างกลางแคนาดา หนังเรื่องนี้มีวางจำหน่ายในไทยในรูปแบบดีวีดีลิขสิทธิ์
http://www.jedimusic.com/p_webboard/index_vcd.asp?pid=I10L-0004
http://www.europeanfilms.net/reviews/2004/dernier.html


4.ALPINE FIRE (1985, FREDI M. MURER, A+)
http://movies2.nytimes.com/gst/movies/movie.html?v_id=1721

หนังสวิสเรื่องนี้เล่าเรื่องของพี่สาวน้องชายที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอลป์ โดยที่ฝ่ายน้องชายนั้นต้องการจะมีเซ็กส์กับพี่สาว และในที่สุดพ่อแม่ของทั้งสองก็ตายจากไป และปล่อยให้พี่สาวน้องชายได้อยู่กันตามลำพัง
http://www.animationstation.net/posterimages/A/Alpine_Fire.jpg


5.UN HOMME, UN VRAI (ARNAUD LARRIEU + JEAN-MARIE LARRIEU, A+++++++++)

หนังโรแมนติกเรื่องนี้เล่าเรื่องของชายหนุ่ม (MATHIEU AMALRIC) กับหญิงสาว (HELENE FILLIERES) ที่พบกัน, รักกัน, แต่งงานกัน, แยกทางกัน และกลับมาเจอกันโดยบังเอิญอีกครั้งที่เทือกเขาอันงดงามแห่งหนึ่ง โดยฝ่ายชายเป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปชมนกบนภูเขา ส่วนฝ่ายหญิงเป็นนักท่องเที่ยว
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/08/40/affiche2.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/08/40/p1.jpg


6.SCREAM OF STONE (1991, WERNER HERZOG)
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0000C24GN.02.LZZZZZZZ.jpg

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับการไต่เขาในอาร์เจนตินา และเคยมีขายในไทยในรูปแบบวิดีโอลิขสิทธิ์

แถมท้ายด้วยเพลงเกี่ยวกับภูเขาที่ชอบมาก

1.CLIMB EV’RY MOUNTAIN จากหนังเรื่อง THE SOUND OF MUSIC

2.LOVE ON A MOUNTAIN TOP ของ SINITTA
http://www.avatune.com/pics/240604155.jpg

จำเนื้อร้องไม่ได้ แต่รู้สึกว่าจะคล้ายๆอย่างนี้
“LOVE ON A MOUNTAIN TOP
SO HIGH THAT WE WILL NEVER STOP
MAKING LOVE ON A MOUNTAIN
DRINKING LOVE FROM A FOUNTAIN”

3.MOVE ANY MOUNTAIN ของ THE SHAMEN

4.AIN’T NO MOUNTAIN HIGH ENOUGH ของ DIANA ROSS

Ain't no mountain high enoughAin't no valley low enough (Say it again)Ain't no river wild enoughTo keep me from youAin't no mountain high enoughNothing can keep meTo keep me from you


รู้สึกเสียใจแทนคุณ YUTTIPUNG มากค่ะที่พลาดงานนี้ไป ดิฉันเองก็เกือบพลาดไปเหมือนกันค่ะ วันศุกร์ก็ไปหลงอยู่ในสวนลุมนานมาก หาไม่เจอ เจอแต่ตำรวจเต็มไปหมด (เพราะวันนั้นมีสนธิพอดี) รู้สึกกลัวตำรวจมาก ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน เดินมาจนถึงสีลมคอมเพล็กซ์แล้ว แต่พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองพรินท์แผนที่กับเบอร์โทรศัพท์ของเทศกาลหนังอันนี้ติดตัวมาด้วย ก็เลยไปใช้โทรศัพท์สาธารณะที่สีลมคอมเพล็กซ์ (เพราะดิฉันไม่มีโทรศัพท์มือถือ) ก็เลยทราบว่าเขาย้ายไปจัดที่ฝั่งตรงข้ามสถานีตำรวจสวนลุมพินี ก็เลยเดินย้อนกลับมาที่สวนลุมพินีอีกครั้ง

ประสบการณ์ไปดูหนังแล้วไม่ได้ดู ก็เคยเกิดขึ้นกับดิฉันสองครั้งที่ธรรมศาสตร์ค่ะ ครั้งแรกที่รู้ว่ามีการฉายหนังที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน ก็เลยตัดสินใจลองไปดู ปรากฏว่าหาห้องสมุดไม่เจอ ก็เลยกลับบ้าน ตอนหลังถึงได้รู้ว่าห้องสมุดมันอยู่ “ใต้ดิน”

มีอีกครั้งนึงจะไปดูหนังที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ ปรากฏว่าเพื่อนดิฉันใส่กางเกงขาสั้น เขาก็เลยไม่ให้เข้าห้องสมุด ดิฉันกับเพื่อนก็เลยตัดสินใจไม่ดูหนังในวันนั้น

ยังไงก็ขอให้คุณ YUTTIPUNG อย่าเพิ่งท้อแท้กับการดูหนังนะคะ


ตอบคุณ KIT

เห็นคุณ KIT เขียนถึง INTO THIN AIR ก็เลยเข้าไปแนะนำหนังเกี่ยวกับภูเขาไว้ในกระทู้ของคุณ kit ด้วยค่ะ
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=9445

พระเอกของ THE BLUE LAGOON (1980, RANDAL KLEISER) คือ CHRISTOPHER ATKINS ค่ะ เขาเกิดปี 1961
http://www.imdb.com/name/nm0000803/
http://www.astabgay.com/celebrities/ChristopherAtkins.jpg
http://www.photoman.artspb.com/brookeclub/brooke/Christopher_Atkins.jpg
http://www.collectinghollywood.com/CAtkins1.jpg


ตอบคุณแฟรงเกนสไตน์

โฮะๆๆๆ ดิฉันเองก็มีหลานชายแล้วเหมือนกันค่ะ เป็นลูกของพี่สาว ตอนนี้หลานชายดิฉันขึ้นชั้นม.1 แล้ว ดิฉันเกลียดหลานชายคนนี้มากค่ะ เพราะมันแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากดิฉัน มันแย่งตุ๊กตา, มันแย่งห้องนอน มันแย่งตู้, มันแย่งโต๊ะ มันแย่งเก้าอี้ไปจากดิฉัน ล้อเล่นค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ จริงๆแล้วดิฉันแทบไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหลานชายคนนี้เลยค่ะ รู้แต่ว่าเขาอยู่ชั้นม.1 เท่านั้นเอง ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าเจอหน้าเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะประมาณเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่เขาอายุ 2-3 ขวบ

ดีใจมากค่ะที่คุณแฟรงเกนสไตน์ชอบเรื่องคิงคอง อ่านเรื่องความรักของลิงกับคนแล้วก็จำได้ว่าเคยอ่านข่าวลิงตัวเมียพยายามข่มขืนมนุษย์ผู้ชายเมื่อไม่กี่ปีก่อน รู้สึกว่าจะอ่านจากไทยรัฐ แต่จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ว่าเป็นลิงชิมแปนซีหรือกอริลล่าหรืออะไร จำได้แต่ว่าอ่านข่าวนี้แล้วฮามากๆๆ ไม่นึกว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ข่าวบอกว่าเหตุเกิดกับนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งหนุ่มคนนึงที่ศึกษาคลุกคลีกับลิงมานาน (ไม่แน่ใจว่าเหตุเกิดในแอฟริกาหรือเปล่า) เขาไม่ได้นึกอะไรเป็นพิเศษกับลิง แต่หารู้ไม่ว่ามีลิงสาวตัวนึงมีจิตมิซื่อกับเขา และมีอยู่วันนึงเขาก็ถอดเสื้อผ้าลงอาบน้ำในแม่น้ำ และนั่นก็ทำให้ลิงสาวหักห้ามใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป มันพยายามปลุกปล้ำทำมิดีมิร้ายกับเขา แต่เขาก็ดิ้นรนจนหนีหลุดเงื้อมมืออีลิงตัวนี้ออกมาได้

รู้สึกว่าเรื่องจริงเรื่องนี้เหมาะจะนำมาสร้างเป็นหนังมาก คิดว่าอาจจะมีหลายคนยินดีสวมชุดลิงเพื่อแสดงฉากนี้

(พูดแล้วก็นึกถึงหนังเรื่อง BLONDE VENUS (1932, JOSEF VON STERNBERG) เพราะฉากคลาสสิคในหนังเรื่องนี้คือฉากมาร์ลีน ดีทริชสวมชุดลิงกอริลล่าและเต้นรำประกอบเพลง HOT VOODOO)






ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลของอ.อารยา

ไปค้นข้อมูลเก่าๆดู พบว่าตัวเองจำหนังสองเรื่องของคุณมนตรี เติมสมบัติรวมกันเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือหนังเรื่อง “สวยได้บุญ” (2000) กับเรื่อง “OUR PEOPLE” (2000) จำไม่ได้ว่าหนังเรื่องไหนเป็นเรื่องไหนกันแน่ ถ้าจำไม่ผิด คุณมนตรีจะแสดงเป็นสาวสวยในหนังทั้งสองเรื่อง

ถ้าเข้าใจไม่ผิด ศิลปินฝรั่งเศสชื่อ JACQUES CHARRIER ร่วมงานกับคุณมนตรีในการทำหนังทั้งสองเรื่องด้วย (แต่ไม่ใช่ JACQUES CHARRIER ที่เป็นสามีของ BRIGITTE BARDOT นะ)

สูจิบัตรบอกว่าคุณมนตรี เติมสมบัติเกิดที่ชัยภูมิในปี 1975 และจบการศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขอบคุณน้อง MERVEILLESXX มากค่ะสำหรับภาพของ CHRISTOFFER BOE และ BENJAMIN LEBERT โฮะๆๆๆๆ


หนังที่ได้ดูในช่วงนี้
(เนื้อหาคาบเกี่ยวกับกระทู้ 2 กระทู้ข้างล่างนี้)
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=24311
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=24516

1.THE BOY FROM MARS (2003, PHILIPPE PARRENO, A+++++++++++++++)

2.ATOMIK PARK (2003, DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER, A++++++++++)

3.SOMETHING MORE THAN NIGHT (2003, DANIEL EISENBERG, A+++++)

4.PLAGES (2001, DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER, A+)

5.O.W.L. OFF WORD LABORATORY (2000, SHERIDAN SHINDRUK, A+)
http://www.videopool.org/catalogue/artists/?id=317
http://www.microcinema.com/images/still_thumb/o/owl_web.jpg

6.TALES OF MERE EXISTENCE (1999, LEV, A+)
http://www.ingredientx.com/

7.VISION TEST (2002, KIM WEST, A+)

8.BUBBLE NUMB (1998, JESSICA GRYNBERG, A+/A)

9.CENTRAL (2001, DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER, A)

10.OH MY POT (2005, CHANIDA TATRINARANON, A)

11.ALGORITHMEN (1994, BARBEL NEUBAUER, A)
http://www.microcinema.com/titleResults.php?content_id=779
http://www.lafilmforum.org/fall2005/10_23/algorithmen.jpg

12.THE SORTER’S BRIDGE (1999, CHARLES DE MEAUX + PHILIPPE PARRENO, A-)

13.RIYO (1999, DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER, A-)

14.BLOCK PARTY (2002, PIERRE HUYGHE, A-)

15.HEROES AND HERNIAS (TUAN ANDREW NGUYEN, A-)

16.EVERYBODY BOWL! (1998, DUSTIN WOEHRMANN, A-)
http://www.microcinema.com/filmmakerResults.php?director_id=175

17.YOU SHOULD BE THE NEXT ASTRONAUT (2004, CHARLES DE MEAUX, B+)

18.NOEL (2004, CHAZZ PALMINTERI, B+)


DUSTIN WOEHRMANN ผู้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นน่ารักๆเรื่อง EVERYBODY BOWL! เคยมีผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งเข้ามาฉายในกรุงเทพ ซึ่งก็คือภาพยนตร์แอนิเมชั่นเกย์เรื่อง SEXY (2001, A) ที่น่ารักมากๆ นอกจากนี้ เขายังเคยกำกับภาพยนตร์เกย์แอนิเมชั่นเรื่อง THE RAPE OF GANYMEDE (2000) ด้วย

เว็บไซท์ของ DUSTIN WOEHRMANN
http://www.studioprometheus.com/

ภาพยนตร์เกย์เรื่อง SEXY (2001, TOM WHITMAN + DUSTIN WOEHRMANN, A)
http://www.studioprometheus.com/SEXY/

ภาพยนตร์เกย์เรื่อง THE RAPE OF GANYMEDE
http://www.studioprometheus.com/ganymede/

ผลงานการออกแบบของ DUSTIN WOEHRMANN
http://www.dustinwdesign.com/images/here.newyears.jpg
http://www.dustinwdesign.com/images/dustinw.cocky.jpg
http://www.dustinwdesign.com/images/cocky3.jpg
http://www.dustinwdesign.com/images/dustinw.size.jpg
http://www.dustinwdesign.com/images/here.oscar2.jpg

MOST DESIRABLE DIRECTOR
1.DUSTIN WOEHRMANN—EVERYBODY BOWL!
http://studioprometheus.com/ganymede/f.pix.html

2.CHARLES DE MEAUX—THE SORTER’S BRIDGE


MOST DESIRABLE ACTOR
1.PAUL WALKER—NOEL
2.DANIEL SUNJATA—NOEL
เขาเคยนำแสดงในหนังเกย์เรื่อง BROTHER TO BROTHER
http://66.226.5.250/Users/PhotoFinish/273/DanielSunjata.jpg


FAVORITE SUPPORTING ACTOR
1.ALAN ARKIN—NOEL เขารับบทเป็นผู้ชายที่พยายามตามจีบตามตื๊อตำรวจหนุ่มหล่อ (พอล วอล์คเกอร์)

2.DAVID JULIAN HIRSCH—NOEL รับบทเป็นเกย์
http://www.tradercracks.com/gallery/non-sports/Dead_Zone/autographs/Season_1_and_2/david_julian_hirsch.jpg
http://www.imdb.com/name/nm1014989/

3.MARCUS THOMAS—NOEL
http://www.digitalhit.com/fest/tiff/2004/4/t04i-4-46.jpg
http://www.imdb.com/name/nm0859197/

4.MAURIZIO TERRAZZANO—NOEL

ตอบคุณเจ้าชายน้อย

--สาววิกซอล พิงค์ ฝากบอกเด็กลุง “วิม” ว่า ช่วยทะนุถนอม GABRIEL MANN ดารานำของ DON’T COME KNOCKIN ให้ดีๆด้วยนะคะ

--ตอนแรกก็นึกว่า ANNA SANDERS เป็นชื่อคนเหมือนกัน ตอนหลังได้ยินคุณ CHARLES DE MEAUX อธิบายว่าสาเหตุหนึ่งที่เลือกชื่อนี้ เพราะทั้งชื่อ ANNA และ SANDERS เป็นชื่อที่ไม่ระบุเชื้อชาติ เราสามารถพบคนชื่อ ANNA และพบคนนามสกุล SANDERS ได้ในหลายๆประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ, ฝรั่งเศส หรือเยอรมนี

--หนังอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับคำวิจารณ์ว่า “เหมือนกับมองโลกมนุษย์ด้วยสายตาของมนุษย์ต่างดาว” ก็คือเรื่อง FATA MORGANA (1971, WERNER HERZOG, A)
http://www.imdb.com/title/tt0067085/

--ตอนแรกก็กะจะไปดูเทศกาลหนังอันนี้ในแบบ “ทดลอง” เหมือนกัน เพราะก่อนจะไปดูเทศกาลหนังนี้ในวันศุกร์ ดิฉันมีอาการตามัว ก็เลยต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจตา และหมอก็หยอดยาบางอย่างใส่ตาดิฉัน ที่ทำให้ตาพร่าเป็นเวลาหลายชั่วโมง มองอะไรใกล้ๆไม่ค่อยเห็น และเห็นแสงต่างๆในลักษณะพร่างพราย ดิฉันพอมองเห็นอะไรไกลๆ และเดินเหินได้ ก็เลยคิดเล่นๆว่าจะไปดูหนังทั้งอย่างนี้เลยดีไหม มันคงเป็นการทดลองอีกแบบนึงเหมือนกัน ด้วยการดูหนังขณะที่ประสาทตายังคงผิดปกติเพราะฤทธิ์ยา แต่คิดไปคิดมาแล้วก็ไม่กล้าเสี่ยง ก็เลยกลับไปพักผ่อนก่อน พอยาค่อยๆหมดฤทธิ์ เริ่มอ่านตัวหนังสือออก ถึงค่อยเดินทางมาดูหนัง แต่กว่าจะถึงสวนลุมก็ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว และกว่าจะหาจอหนังเจอก็ 2 ทุ่มครึ่ง

--ช่วงสุดสัปดาห์นี้ได้นอนเพียงวันละ 3 ชั่วโมง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เหมือนประสาทมันตื่นตัวอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลา นอนไม่ค่อยหลับ แต่ที่ดีใจมากๆก็คือดูหนังในเทศกาลนี้แล้วไม่ง่วงเลย รู้สึกประหลาดใจมากๆ เพราะหนังอย่าง PISCINE และ SOMETHING MORE THAN NIGHT มันน่าจะเป็นหนังที่ทำให้เราหลับไปภายใน 3 นาที แต่เรากลับถูกมันดึงดูดเข้าสู่ภวังค์ทางจิตอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ภวังค์แห่งความง่วงงุน

--คิดว่าถ้าได้ดู RIYO รอบสอง ก็อาจจะตั้งใจอ่านบทสนทนา แต่ในการดูรอบแรกไม่สามารถจับใจความได้เหมือนกันว่ามันคุยอะไรกัน เพราะภาพมันดึงดูดพื้นที่ส่วนใหญ่ในสมองไปเกือบหมดแล้ว รู้สึกว่าภาพทิวทัศน์ริมคลองในหนังเรื่องนี้เป็นภาพที่มีอะไรหลายอย่างซ้ำๆกันมาก บ้านเรือนมันคล้ายกันมาก ร้านอาหารมันก็คล้ายๆกันมาก และคนที่นั่งอยู่ริมคลองก็คล้ายๆกันมาก ตอนที่ดูก็พยายามจะสังเกตว่ามันมีการ REPLAY ภาพซ้ำโดยไม่ให้เรารู้ตัวหรือเปล่า เพราะเหมือนกับว่าตัวละครเดินไปเรื่อยๆ แต่ทิวทัศน์มันดูเหมือนวนไปวนมา ตัวละครเดินเป็นเส้นตรง แต่ทิวทัศน์มันกลับดูเหมือนวนเป็นวงกลมกลับมาอีกรอบ จนกระทั่งช่วงหลังๆทิวทัศน์ถึงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และคลองก็มีการหลั่นระดับแตกต่างจากกัน ถึงได้แน่ใจว่ามันไม่ได้ replay ภาพซ้ำ

--รู้สึกว่าคำบรรยายหนังเรื่อง ILE DE BEAUTE (1996, ANGE LECCIA + DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER, A+) จะบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นการมองทิวทัศน์ผ่านตัวละครตัวนึงที่ไม่เคยปรากฏโฉมต่อสายตาผู้ชม โดยตัวละครตัวนี้เดินทางไปเรื่อยๆ จากเกาะคอร์ซิกามาญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนว่าตัวละครตัวนี้ไม่เคยเดินทางไป “ถึง” (arrive) ที่ใดเลย

รู้สึกว่าลักษณะดังกล่าวใน ILE DE BEAUTE ก็เอามาใช้กับหนังหลายๆเรื่องของ DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น CENTRAL หรือ RIYO เพราะเราไม่เคยเห็นใบหน้าของ “ผู้มอง” เลย และหนังก็ไม่ได้ “จบ” ในแบบที่ให้ความรู้สึกว่าตัวละครมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

หนังของ DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER มีการพาดพิงถึงหนังเรื่องอื่นๆด้วยเหมือนกัน โดย ATOMIK PARK มีการใช้เสียงประกอบจากหนังเรื่อง THE MISFITS (1961, JOHN HUSTON)
http://www.marilyn-online.de/photos/misfits/original/misfits-001.jpg

ภาพของมาริลิน มอนโรขณะถ่ายทำหนังเรื่อง THE MISFITS กลางทะเลทรายเนวาด้า เห็นทะเลทรายในหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึง ATOMIK PARK อยู่เหมือนกัน
http://glamournet.com/legends/Marilyn/monthly/misfits.jpg

อีกภาพจาก THE MISFITS
http://www.magnumphotos.com/LowRes2/TR3/F/4/D/P/LON1590.jpg

ส่วน CENTRAL มีการพาดพิงถึง 2001: A SPACE ODYSSEY

ได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง GOLD (2000, ANGE LECCIA + DOMINIQUE GONZALEZ-FOESTER) ข้อมูลบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นการบันทึกภาพวิวทิวทัศน์ในอเมริกา โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ที่ทำให้นึกถึงเสน่ห์ของหนังคาวบอยและหนังเก่าๆหลายเรื่อง โดยเฉพาะทิวทัศน์ของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ปรากฏในหนังของ JOHN FORD, RAOUL WALSH และ SAM PECKINPAH

http://www.artleak.org/gold2.html

ภาพจากหนังเรื่อง GOLD (2000)
http://www.artleak.org/gold.JPG

ภาพจากหนังเรื่อง THE SEARCHERS (1956, JOHN FORD)
http://www.tcf.ua.edu/Classes/Jbutler/T440/Searchers/images/Searchers05_jpg.jpg

ภาพจากหนังเรื่อง IN OLD ARIZONA (1928, RAOUL WALSH)
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDReviews14/a%20In%20Old%20Arizona%20Raoul%20Walsh%201928%20DVD%20Review/a%20In%20Old%20Arizona%20Raoul%20Walsh%201928%20DVD%20Review%20PDVD_007.jpg

ภาพจากหนังเรื่อง BRING ME THE HEAD OF ALFREDO GARCIA (1974, SAM PECKINPAH, A-)
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDCompare10/bringmetheheadofalfredogarcia/1_15_44ff.jpg

ดีใจมากค่ะที่คุณเก้าอี้มีพนักชอบ THE BOY FROM MARS

ดูหนังเรื่องนี้เสร็จแล้ว จินตนาการเล่นๆเอาเองว่า ถ้า “เสือสมิง” ใน TROPICAL MALADY มาเจอกับ “วัวอภินิหาร” ใน THE BOY FROM MARS มีสิทธิเสือสมิงอาจจะต้องพ่ายกลับไป

น่าสนใจมากค่ะที่คุณเก้าอี้มีพนักพูดถึงเรื่อง “แสง” ในหนังสองเรื่องนี้ สำหรับดิฉันนั้น ดิฉันรู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้ถ่าย “ความมืด” หรือ “ความสลัว” ออกมาได้งดงามมากๆเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะเมื่อมันปรากฏอยู่บนผืนผ้าใบจอภาพยนตร์ ปกติแล้วอะไรมืดๆดำๆมันน่าจะดูธรรมดา แต่หนังสองเรื่องนี้กลับดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้ทั้ง “แสง” และ “ความมืด” ขับเน้นกันจนงดงามมากๆได้ ฉาก “โคมลอย” เหินหาวท่ามกลางความมืดในช่วงต้นเรื่อง THE BOY FROM MARS เป็นอะไรที่สวยมากๆ ตอนแรกดิฉันรู้สึกว่า “ความมืด” ในฉากนั้นมันสวยมาก แต่พอคุณเก้าอี้มีพนักพูดถึงเรื่องแสง ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าหากฉากนั้นไม่มี “แสงโคมลอย” ประกอบอยู่ด้วยในตำแหน่ง, ในปริมาณ และในการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมแล้ว ความมืดในฉากนั้นก็อาจจะไม่สวยก็ได้

ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถ่าย TROPICAL MALADY และ THE BOY FROM MARS ด้วยกล้องอะไร แต่รู้สึกว่ากล้องวิดีโอหรือกล้องบางอย่างอาจจะไม่สามารถถ่ายทอดความงดงามของฉากที่มี “แสงไฟสลัวราง” ออกมาได้สุดๆเหมือนหนังสองเรื่องนี้ เขาคงต้องเลือกใช้กล้องบางอย่างที่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพและแสงเงาในฉากสลัวๆได้ดีมากๆ

ไม่แน่ใจว่าเพลงช่วงท้ายของ THE BOY FROM MARS ที่หลอนมากๆเป็นเพลงของใคร แต่เว็บไซท์ของหนังเรื่องนี้บอกว่าดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ DEVENDRA BANHART

ข้อมูลของ DEVENDRA BANHART บอกว่าเสียงของเขาเหมือนกับถูกหมกไว้ในห้องใต้หลังคาเป็นเวลานาน 70 ปีแล้ว ซึ่งเป็นคำบรรยายที่เหมือนกับเสียงที่ได้ยินในช่วงท้ายเรื่องมาก และพอฟังตัวอย่างเสียงของเขาดูแล้ว ก็คิดว่าเขาน่าจะใช่เจ้าของเสียงใน THE BOY FROM MARS จริงๆ
http://www.younggodrecords.com/prodtype.asp?PT_ID=71

ข้อมูลเกี่ยวกับอัลบัมชุด CRIPPLE CROW (2005) ของ DEVENDRA BANHART
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B000A78Z82/qid=1135693501/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/103-7626464-8508641?v=glance&s=music&n=507846

http://images.amazon.com/images/P/B000A78Z82.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

REJOICING IN THE HANDS (2004, DEVENDRA BANHART)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B00020W0ME/qid=1135693712/sr=8-2/ref=pd_bbs_2/103-7626464-8508641?v=glance&s=music&n=507846

http://images.amazon.com/images/P/B00020W0ME.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

I FEEL JUST LIKE A CHILD (2005, DEVENDRA BANHART)
http://images.amazon.com/images/P/B000AA4FL0.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

HEARD SOMEBODY SAY (DEVENDRA BANHART)
http://images.amazon.com/images/P/B000BOG2B6.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

SOMETHING MORE THAN NIGHT (A+)

ถ้าหากใครสนใจ DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.findarticles.com/p/articles/mi_m0268/is_3_42/ai_110913975


ตอนนี้หลายเว็บไซท์เปิดเผย “อันดับ” ประจำปีของตัวเองออกมามากมาย สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือภาษาอังกฤษ เว็บไซท์ village voice ได้จัดทำรายชื่อหนังสือยอดเยี่ยม 25 เล่มประจำปี 2005 ออกมาด้วยค่ะ สามารถอ่านได้ที่
http://www.villagevoice.com/books/0550,vls,70946,10.html

หนึ่งในหนังสือที่น่าสนใจก็คือ MAGIC FOR BEGINNERS ของ KELLY LINK เพราะในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเรื่องสั้นที่เฮี้ยนสุดๆ 9 เรื่อง ซึ่งรวมถึง

1.LULL ซึ่งอ่านเรื่องย่อส่วนหนึ่งแล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง 5X2 (2004, FRANCOIS OZON, A+) เพราะในเรื่อง LULL เชียร์ลีดเดอร์คนหนึ่งคิดว่าการได้ใช้ชีวิตย้อนหลังเป็นสิ่งที่ดีมากๆสำหรับการแต่งงาน เพราะชีวิตการแต่งงานของคุณจะดีขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดคุณก็กลับกลายเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน


2.เรื่องสั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับซอมบี้ ซึ่งได้แก่เรื่อง SOME ZOMBIE CONTINGENCY PLANS และ THE HORTLAK

3.STONE ANIMALS ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับบ้านผีสิงที่ผีมักปรากฏตัวในรูปของกระต่ายฝูงหนึ่งที่มาตั้งแคมป์กันอยู่ที่สนามหน้าบ้านในยามค่ำคืน และผีกระต่ายนี้ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตสมรสของสามีภรรยาที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือ MAGIC FOR BEGINNERS ได้ที่
http://www.amazon.com/gp/product/1931520151/qid=1135600347/sr=2-1/ref=pd_bbs_b_2_1/002-8254735-2922442?s=books&v=glance&n=283155

http://images.amazon.com/images/P/1931520151.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


หนังสืออีกเล่มที่น่าสนใจสุดๆในอันดับประจำปีของ VILLAGE VOICE ก็คือนิยายเรื่อง THE SLUTS ของนักประพันธ์ฉาว DENNIS COOPER นิยายเล่มนี้เขียนโดยใช้โครงสร้างของเว็บไซท์ ที่ซึ่งมีคนหลายๆคนมาแสดงความคิดเห็นกันเกี่ยวกับโสเภณีชาย ตัวละครหลักของเรื่องนี้คือโสเภณีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชื่อ “แบรด” เขาสามารถทำให้คนหลายๆคนมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาในเว็บไซท์ ถึงแม้ตัวจริงของเขาอาจจะตายไปนานแล้วก็ตาม

นิยายเล่มนี้เล่าเรื่องผ่านทางการแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, อีเมล และการแชทกันของตัวละครหลายๆคนที่ชอบโกหกตอแหล เนื้อหาในนิยายเล่มนี้รวมถึงเรื่องของ

1.การมีเซ็กส์โดยไม่ใช้ถุงยาง

2.การมีเซ็กส์แบบซาดิสท์มาโซคิสท์

3.การ “ตอน”

4.การเล่นบทบาท “ทาส” กับ “เจ้านาย”

5.การมีเซ็กส์กับศพ

6.ฆาตกรโรคจิต

จุดเด่นของนิยายเรื่องนี้ก็คือการสะท้อนสังคมของคนที่มีปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางอินเทอร์เน็ต (เอ๊ะ ทำไมฟังดูใกล้ตัวจังเลย)

ข้อมูลเกี่ยวกับ THE SLUTS
http://www.amazon.com/gp/product/0786716746/qid=1135601244/sr=1-2/ref=sr_1_2/002-8254735-2922442?s=books&v=glance&n=283155
http://ec1.images-amazon.com/images/P/0786716746.01._PE32_.The-Sluts._SCLZZZZZZZ_.jpg



--มนตรี เติมสมบัติเป็นศิลปินไทยที่ดิฉันชอบมากๆค่ะ มักจะเจอหน้าเขาเป็นประจำในเทศกาลภาพยนตร์ เคยดูภาพยนตร์สั้นเรื่องหนึ่งของเขา รู้สึกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของงาน installation art โดยในเรื่องนี้มนตรีแสดงเป็นนักการเมืองหญิงคนหนึ่งที่หาเสียงด้วยวิธีการเฮี้ยนๆ และโพสท่าราวกับว่าเธอจะเข้าประกวดนางงามมากกว่าจะหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้ นักการเมืองคนนี้ยังบอกว่า “ถ้าหากดิฉันได้รับเลือกตั้ง ดิฉันจะทำให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของอียูค่ะ” !!!!!! รู้สึกว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณมนตรีจะล้อเลียนผู้หญิงบางคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกในตอนนั้น

อยากดู INHALE/EXHALE มากๆเหมือนกันค่ะ หรือไม่ก็อยากให้มีการจัดงานนิทรรศการรวมผลงานของมนตรี เติมสมบัติโดยเฉพาะ



--วันอาทิตย์มีการเปิดไฟส่องทางสว่างไสวค่ะ โดยที่แสงไฟไม่รบกวนการดูหนังแต่อย่างใด แต่ต้องเลือกที่นั่งที่เหมาะๆหน่อย เพราะบางจุดอาจจะถูกแสงไฟแยงตาได้

--รู้สึกชอบหนังในเทศกาลนี้อย่างมากๆค่ะ แต่ถ้าหากเลือกได้ ก็อยากให้จัดฉายหนังที่ ALLIANCE + GOETHE หลายๆวัน ตลอดทั้งสัปดาห์ แบบเทศกาลครั้งที่สอง (ปี 1999) กับครั้งที่สาม (ปี 2001) มากกว่า เพราะดิฉันจะได้มีโอกาสดูหนังหลายๆเรื่องด้วย อย่างไรก็ดี การจัดฉายที่ GOETHE + ALLIANCE ก็อาจจะทำให้จำนวนคนดูลดลงไปเยอะเหมือนกัน



ภาพยนตร์ใหม่ของ “ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวณิช” และผู้กำกับ THE BOY FROM MARS (A++++++++++) ติดอันดับ TOP 10 หนังยอดเยี่ยมปี 2005 ของ ARTFORUM

เมื่อวานนี้ได้ดูภาพยนตร์สองเรื่องของ PHILPPE PARRENO ในเทศกาลหนังทดลองซึ่งก็คือเรื่อง THE SORTER’S BRIDGE (1999, A-) กับ THE BOY FROM MARS (2003, A+++++++++++++++) โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่า THE BOY FROM MARS คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่สวยขลังที่สุดในชีวิต ความสวยขลังของภาพยนตร์เรื่องนี้พอๆกับช่วงครึ่งหลังของ TROPICAL MALADY

THE BOY FROM MARS ถ่ายทำในเชียงใหม่ โดยถ่ายทำในมูลนิธิที่นา หรือเดอะ แลนด์ ซึ่งเป็นโครงการที่บุกเบิกโดยฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง THE BOY FROM MARS
http://www.airdeparis.com/parreno/mars/mars.htm
http://www.airdeparis.com/parreno/mars/5.jpg

เว็บไซท์ของ PHILIPPE PARRENO
http://www.airdeparis.com/parreno.htm

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง MONT ANALOGUE (PHILIPPE PARRENO, 2001)
http://www.airdeparis.com/parreno/mont/5.jpg

พอดีได้เข้าไปอ่านเว็บไซท์ของนิตยสาร ARTFORUM พบว่า CHRISSIE ILES ซึ่งเป็น Curator ของพิพิธภัณฑ์ WHITNEY MUSEUM OF AMERICAN ART ยกย่องให้ภาพยนตร์เรื่อง STORIES ARE PROPAGANDA (2005) ที่กำกับโดย PHILIPPE PARRENO กับ “ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช” ติดอันดับ TOP 10 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2005 ด้วย

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับอันดับดังกล่าวได้ที่
http://www.artforum.com/inprint/id=9858

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2005 ในความเห็นของ CHRISSIE ILES

1.DESTRICTED
http://destricted.com/

ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยเรื่องสั้นแนวอีโรติกหลายเรื่อง และจะได้เปิดฉายในเทศกาลซันแดนซ์ปีหน้าในสาย PARK CITY AT MIDNIGHT โดยผู้กำกับที่มาร่วมทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ MATTHEW BARNEY (CREMASTER), LARRY CLARK, MIKE FIGGIS (LEAVING LAS VEGAS), GASPAR NOE (I STAND ALONE, IRREVERSIBLE), MARCO BRAMBILLA, SAM TAYLOR- WOOD และ MARINA ABRAMOVIC ซึ่งคนหลังสุดนี้รู้สึกว่าจะกำกับภาพยนตร์เรื่อง BALKAN EROTIC EPIC (MEN WITH ERECTIONS IN NATIONAL COSTUME)


2.AUA AUA (DOROTHY IANNONE)

DOROTHY IANNONE เคยเขียนหนังสือชื่อ DIETER AND DOROTHY: THEIR CORRESPONDENCE IN WORDS AND WORKS 1967-1998
http://images-eu.amazon.com/images/P/3908010535.01.LZZZZZZZ.jpg

ผลงานศิลปะ FLOATING FREE (1962) ของ DOROTHY IANNONE
http://www.extralot.com/show_image.php?item=29553&partner=22


3.FALLEN (FRED KELEMEN)

อ่านเรื่องราวของ FRED KELEMEN ผู้กำกับหนุ่มหล่อชาวเยอรมันได้ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 2”


4.STORIES ARE PROPAGANDA (PHILLIPPE PARRENO + ฤกษ์ฤทธิ์
ตีระวนิช)


5.DREAMING OF THE DREAM OF DREAM (JORDAN WOLFSON)
http://www.jordanwolfson.org/
http://www.jordanwolfson.org/dream.html

ภาพยนตร์ความยาว 1 นาทีเรื่องนี้เป็นการรวบรวมภาพของ “น้ำ” จากหนังการ์ตูนคลาสสิคหลายเรื่อง

INFINITE MELANCHOLY (2003, JORDAN WOLFSON)
http://www.jordanwolfson.org/images%20of%20works/kunsthalle-zurich-install-.jpg

JIEM NO PEDTI (2005, JORDAN WOLFSON)
http://www.jordanwolfson.org/jordan-wolfson,-naples-1.jpg


6.PEDESTRIAN CINEMA (BERNADETTE CORPORATION)
http://www.bernadettecorporation.com/
http://www.bernadettecorporation.com/pedpropos.html

ผลงาน UNTITLED (2005) ของ BERNADETTE CORPORATION
http://www.bernadettecorporation.com/populism01.jpg
http://www.populism2005.com/material/bernadette_corp_72.jpg


7.GUARDS (FRANCIS ALYS)
http://www.artangel.org.uk/pages/past/05/05_alys.htm

บทความเกี่ยวกับ FRANCIS ALYS
http://www.biennaleofsydney.com.au/downloads/commentary%20-%20francis%20alys.pdf

BOLERO (2004, FRANCIS ALYS)
http://www.biennaleofsydney.com.au/images/francis1.jpg


8.BURN (OR THE 2 ND LAW OF THERMODYNAMICS) (2004, BRADLEY EROS)

ผลงาน COLLAGE ของ BRADLEY EROS
http://www.film-makerscoop.com/past_events/images/zine.jpeg

SPIDERY (2004) ของ BRADLEY EROS

http://www.inliquid.com/features/Hyper-Runt/BradleyEros/graphics/spidery(red)-Bradley-Eros.jpg


9.WINTER SOLDIER ของ WINTERFILM COLLECTIVE
http://www.wintersoldierfilm.com/


10.EXCAVATING TAYLOR MEAD (WILLIAM KIRKLEY)
http://excavatingtaylormead.com/main.html

--หนังอีกเรื่องที่อยากดูมากๆในงานเทศกาลหนังทดลองก็คือหนังเรื่อง THE CLASS ของรศ.อารยา ราษฎร์จำเริญสุข รู้สึกว่าเธอจะเป็นศิลปินหญิงที่น่าสนใจสุดๆอีกคนนึง โดยคุณอารยาเคยเขียนบทความเกี่ยวกับศิลปะลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจด้วย

ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณอารยา พบว่าเธอเคยมีผลงานหนังสือชื่อ “ผู้หญิงตะวันออก” กับ “คืนสิ้นกลิ่นกามรส” ไม่รู้เหมือนกันว่าหนังสือสองเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและสามารถหาซื้อได้ที่ไหน


ข่าวน่าสนใจ

--HILARY BROUGHER ผู้กำกับ “ผู้หญิงสามมิติ” หรือ THE STICKY FINGERS OF TIME (1997, A++++++++++) มีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ชื่อ STEPHANIE DALEY ซึ่งนำแสดงโดย TIMOTHY HUTTON (ORDINARY PEOPLE), MELISSA LEO (21 GRAMS), AMBER TAMBLYN (THE SISTERHOOD OF THE TRAVELING PANTS) และ TILDA SWINTON โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเทศกาลซันแดนซ์ต้นปีหน้า

STEPHANIE DALEY มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักจิตวิทยาที่กำลังตั้งครรภ์ 7 เดือน เธอได้รับมอบหมายงานให้สืบสวนเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกกกล่าวหาว่าปกปิดการตั้งครรภ์และฆ่าลูกของตัวเอง

--ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง THE GIANT BUDDHAS ที่กำกับโดย CHRISTIAN FREI ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์สารคดีต่างชาติยอดเยี่ยมในซันแดนซ์ 2006 ด้วย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำลายพระพุทธรูปโบราณในแอฟกานิสถาน

CHRISTIAN FREI เคยกำกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง WAR PHOTOGRAPHER (2001, A+)
--CHRISTOFFER BOE ผู้กำกับภาพยนตร์เดนมาร์กสุดงดงามเรื่อง RECONSTRUCTION มีผลงานหนังใหม่เรื่อง ALLEGRO เข้าชิงรางวัลในซันแดนซ์ปีหน้า โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเปียโนความจำเสื่อมที่ได้รับการติดต่อจากบุคคลลึกลับ

Sunday, December 25, 2005

PISCINE (BRUANT+SPANGARO, A+++++)

ยังไม่ได้ทำอันดับอัลบัมเลย แต่ซาวด์แทรคและเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชอบมากๆในปีนี้รวมถึงเพลงในภาพยนตร์เรื่อง

1.เพลงที่สามสาวโอเปร่าร้องในงานเลี้ยง “หนังสือพิมพ์” ใน DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, ULRIKE OTTINGER, A+)

2.เพลงที่นักบุญ (ELSE NABU) ร้องขณะถูกตรึงกางเขนใน FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER, A+)

3.PAMELA, POUR TOUJOURS (2003, ALAIN BOURGES, A++++)

4.MYSTERIOUS SKIN (2004, GREGG ARAKI, A+) ดนตรีประกอบโดย ROBIN GUTHRIE + HAROLD BUDD อยากซื้อซีดีซาวด์แทรคอัลบัมนี้จัง http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B0009HLC0G/104-6885715-9971968?v=glance http://images.amazon.com/images/P/B0009HLC0G.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

5.IT’S ALL GONE PETE TONG (2004, MICHAEL DOWSE, A+) ซาวด์แทรคหนังเรื่องนี้มีเพลงของ 808 STATE, DEPECHE MODE, GOLDFRAPP, DEEP DISH, FERRY CORSTEN และ ORBITAL http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B00097HDOU/qid=1135471854/sr=2-1/ref=pd_bbs_b_2_1/104-6885715-9971968?v=glance&s=music http://images.amazon.com/images/P/B00097HDOU.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

6.TOUCH THE SOUND (2004, กำกับโดย THOMAS RIEDELSHEIMER, A+) หนังสารคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักดนตรีหญิงหูหนวก EVELYN GLENNIE http://images-eu.amazon.com/images/P/B000BKF5KY.03.LZZZZZZZ.jpg

7.LIKE ASURA ชอบเพลง COMME A LA RADIO ของ BRIGITTE FONTAINE

8.NEAREST TO HEAVEN ชอบเพลง TU ME DELIRIO ของ ETIENNE DAHO

9.NANA

10. CUBAN MUSIC (GERMAN KRAL, A)
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0007TWEGM.03.LZZZZZZZ.jpg

หนังที่ได้ดูเมื่อวานนี้

1.PISCINE (2002, JEAN-BAPTISTE BRUANT + MARIA SPANGARO, A+++++++++++++++)
http://www.criee.org/jbbruant.php
http://www.criee.org/productions/jbbruant_02_gd.jpg

หนังความยาว 60 นาทีเรื่องนี้บันทึกภาพน้ำที่กระเพื่อมไหวในสระว่ายน้ำ และคนกลุ่มนึงที่เดินวนไปวนมาในสระว่ายน้ำพร้อมกับพึมพัมคำพูดอะไรบางอย่าง

ไม่รู้เหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้สื่อถึงอะไร แต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้รู้สึกจิตใจสงบมากที่สุดในโลก และทำให้นึกถึงคำว่า “สังสารวัฏ” และการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น

รู้สึกว่า “สีฟ้า” ของน้ำที่กระเพื่อมไหวในช่วงต้นของหนังเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในสีฟ้าที่สวยที่สุดในโลก

ดูแล้วรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ “ขลัง” มากๆ การเดินวนไปวนมาโดยไม่มีคำอธิบายของตัวละครทำให้นึกถึงพิธีกรรมลึกลับ ในขณะที่อีกคนนึงที่ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกว่าตัวละครในหนังกำลังทำกายภาพบำบัด

นี่คือหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต และทำให้นึกถึงหนังเรื่อง

A.WINDOWS (1999, APICHATPONG WEERASETHAKUL, A+++++)
http://www.kickthemachine.com/works/windows.html

B.TOTEM (2001, MAIDER FORTUNE, A+++++)

C.THE WATER CIRCLE (1975, JAMES BROUGHTON, A+/A)
http://www.canyoncinema.com/B/Broughton.html

ทั้ง WINDOWS และ PISCINE ต่างก็มีทั้งความเคลื่อนไหว, ความนิ่ง และพลังของความสงบอย่างลึกล้ำเหมือนๆกัน ภาพในหนังทั้งสองเรื่องนี้มี “ความเคลื่อนไหว” อยู่ตลอดเวลา โดยใน WINDOWS เราจะเห็นการกระเพื่อมไหวของแสงที่ส่องผ่านบานหน้าต่าง ส่วนใน PISCINE เราจะเห็นการกระเพื่อมไหวของผิวน้ำในสระว่ายน้ำ สิ่งเหล่านี้มันธรรมดามากๆ แต่ดูแล้วเพลินมาก

หลังจากดูหนังเรื่อง PISCINE จบ ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในสวรรค์ ถ้าหากดิฉันตายแล้วได้ไปสวรรค์ ก็หวังว่าสวรรค์จะมีสวน มีสนามหญ้า, มีจอโทรทัศน์หลายๆจอตั้งอยู่กลางสนามหญ้า และจอหนึ่งในนั้นฉายหนังเรื่อง PISCINE เหมือนอย่างประสบการณ์ที่ได้รับเมื่อวานนี้

PISCINE อาจจะนำเสนอตัวละครที่ทำอาการคล้ายๆกายภาพบำบัด แต่เมื่อดิฉันดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันรู้สึกเหมือนกับได้รับการบำบัดเยียวยาทางจิตใจ

ต้องขอขอบคุณทางผู้จัดเทศกาลนี้มากๆ ที่ทำให้ดิฉันได้รับความรู้สึกที่ว่า HEAVEN IS A PLACE ON EARTH (ตามเพลงของ BELINDA CARLISLE) เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้จัดเทศกาลนี้ได้เนรมิตให้สวนลุมพินีกลายเป็นสวนสวรรค์สำหรับดิฉันไปแล้ว


2.1/3 OF THE EYES (2004, OLIVIER ZABAT, A+++++)
http://www.capricci.fr/untiersdesyeux/img/affiche.jpg

มีบทวิจารณ์หนังเรื่องนี้อยู่ในนิตยสาร CAHIERS DU CINEMA เล่มเดือนพ.ย.ปีนี้
http://www.cahiersducinema.com/article524.html

หนังสารคดีเรื่องนี้พิศวงมาก โครงสร้างของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงภาพยนตร์หลายๆเรื่องของ ALEXANDER KLUGE เพราะหนังเรื่องนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่องหลายๆส่วนที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ดูแล้ว “รู้สึก” ว่ามันเกี่ยวข้องกัน โดยเนื้อหาใน 1/3 OF THE EYES รวมถึงการนำเสนอชีวิตของล่าม, นักมวย, ชีวิตของนักทำลายกับระเบิดในคาบสมุทรบอลข่าน, ความรู้สึกโกรธของเขาที่มีต่อทหารลูกน้อง, ความหวังของบางคนที่มอบให้กับเขา, เพื่อนของเขาที่เป็นคนใบ้, เรื่องราวของดวงตาที่ได้รับบาดเจ็บ, เจ้าหน้าที่ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า, การสัมภาษณ์แพทย์ และการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักสัตววิทยาผู้ค้นพบสัตว์พันธุ์ใหม่
http://www.cinemovies.fr/images/data/photos/G10318121347253.jpg
http://www.cinemovies.fr/images/data/photos/G10318524416487.jpg

หนังสารคดีเรื่องนี้เป็นของฝรั่งเศส แต่ดูแล้วนึกถึงหนังเยอรมันอย่างมากๆ เพราะนอกจากหนังเรื่องนี้จะทำให้นึกถึงสุดยอดหนังของ ALEXANDER KLUGE แล้ว ยังทำให้นึกถึงหนังเยอรมันสุดเฮี้ยนเรื่อง REALTIME (1983, HELLMUTH COSTARD + JUERGEN EBERT, A++++++++++) ด้วย


3.NO PLACE NOWHERE (2004, JOSE LUIS TORRES LEIVA, CHILE, A+)
http://www.jigsawlounge.co.uk/film/content/view/279/1/
http://www.jigsawlounge.co.uk/film/images/stories/ningun1.jpg

หนังเรื่องนี้บันทึกภาพชีวิตและบรรยากาศของเมือง VALPARAISO ในประเทศชิลี ดูหนังเรื่องนี้แล้วเลยทำให้อยากดูหนังเรื่อง VALPARAISO (1962, JORIS IVENS, เขียนบทโดย CHRIS MARKER) อย่างมากๆ
http://www.imdb.com/title/tt0055715/plotsummary
ภาพเมือง VALPARAISO
http://www.raphaelk.co.uk/web%20pics/Chile/first/valparaiso%20buildings.JPG



4.UNSEEN BANGKOK (2004, THUNSKA PANSITTIVORAKUL, A+)

5.KKK (1997, MICHAEL SHAOWANASAI, A+)

6.MEMORIES OF DUST (2005, SUPAKIT ITSADISAI, A+)

7.ENDLESS STORY (2005, THUNSKA PANSITTIVORAKUL, A+)

8.IS IT EASY TO KILL/PRAY (2005, SHERMAN ONG, A+)

9.BETTER THAN FRIENDS (2003, TUAN ANDREW NGUYEN, A)

10.THE KILLER MAN (DISSAPONG WONG-ARAM, A)

11.SPENT (2005, JAMES RUPERT + SIMON LE BARBE, B+)


MOST DESIRABLE ACTOR
UNSEEN BANGKOK

FAVORITE ACTOR
MICHAEL SHAOWANASAI—KKK

FAVORITE OPENING
PISCINE (ฉากเปิดเป็นการถ่ายภาพน้ำที่กระเพื่อมไหวในสระเป็นเวลาราว 10 นาที)

FAVORITE ENDING
KKK
ดูสายตาและสีหน้าของไมเคิล เชาวนาศัยในฉากจบของหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงใบหน้าของ LIZA MINNELLI ในมิวสิควิดีโอเพลง SO SORRY, I SAID (A++++++++++)

SADDEST SCENE
ฉากหมาฝูงหนึ่งมองเพื่อนถูกชำแหละต่อหน้าต่อตาใน IS IT EASY TO KILL/PRAY

FAVORITE SOUNDTRACK
NO PLACE, NOWHERE
ENDLESS STORY

FAVORITE SCENE
1.ฉากที่ถ่ายชายหนุ่มชาวเวียดนามคนนึงทำอาหารใน IS IT EASY TO KILL/PRAY

2.ฉากโดเรม่อนถูกข่มขืนใน THE KILLER MAN


--ส่วนหนังสารคดีเรื่อง DIAL H-I-S-T-O-R-Y (1997, JOHAN GRIMONPREZ, A+++++) ที่ได้ดูเมื่อวานนี้นั้น ทำให้รู้สึกว่านี่แหละคือหนัง PRE 9/11 เพราะในขณะที่มีการผลิตหนังกลุ่ม POST 9/11 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ 11 ก.ย. 2001 ออกมามากมายในช่วงนี้ ก็มีหนังเรื่อง DIAL H-I-S-T-O-R-Y ที่เหมาะกับคำว่า PRE 9/11 เพราะหนังเรื่องนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์จี้เครื่องบินในอดีตเอาไว้เยอะและละเอียดมาก

ภาพจาก DIAL HISTORY
http://www.hammer.ucla.edu/resources/13389/FairUse-3.jpg
http://www.artnet.de/Images/magazine/reviews/bokern/bokern12-09-04-1.jpg
สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คืออารมณ์ขันแบบตลกร้าย เพราะถึงแม้หนังเรื่องนี้จะนำเสนอเหตุการณ์เลวร้ายที่มีผู้บริสุทธิ์และเด็กๆถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก หนังเรื่องนี้กลับใส่อารมณ์ขันเข้ามาตลอดเวลาและเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งส่งผลให้หนังสารคดีเรื่องนี้ดูเซอร์เรียลมาก โดยอารมณ์ขันในหนังเรื่องนี้อาจจะมาจาก

1.ความจริง อย่างเช่นในฉากที่เด็กตัวประกันคนหนึ่งให้สัมภาษณ์อย่างซื่อบริสุทธิ์มากว่าเขารู้สึกสนุกมากๆตอนถูกจับเป็นตัวประกัน

2.การตัดต่อและมุมกล้อง อย่างเช่นในฉากที่ถ่ายภาพคนที่สไลด์ลงมาจากเครื่องบิน ฉากนั้นควรจะเป็นภาพคนที่หลบหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากเครื่องบิน แต่มุมกล้องในฉากดังกล่าวทำให้นึกถึงเด็กๆที่รู้สึกสนุกสนานกับการเล่นไม้ลื่นในสวนสนุก

3.เพลงประกอบ อย่างเช่นในการใช้เพลงประกอบที่ให้อารมณ์สดใสเบิกบาน ขณะที่ผู้ชมได้เห็นภาพเครื่องบินค่อยๆร่อนลงจอดอย่างสง่างาม ก่อนจะระเบิดเมื่อแตะพื้นดิน

หนังเรื่อง DIAL H-I-S-T-O-R-Y ยังทำให้นึกถึงเนื้อหาในหนังหลายๆเรื่อง ซึ่งรวมถึงเรื่อง

1.I AM CUBA (1964, MIKHAIL KALATOZOV, A+) เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงคิวบาและฟิเดล คาสโตร แต่สิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือว่า DIAL HISTORY ให้ภาพของคาสโตรในเชิงแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยจะยกย่องเท่าใดนัก

2.STAMMHEIM (1985, REINHARD HAUFF) เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงการก่อการร้ายของกลุ่ม BAADER-MEINHOF ในเยอรมนีเหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่า DIAL HISTORY นำเสนอเรื่องราวของ

1.ผู้ก่อการร้ายหญิง โดยเฉพาะ LEILA KHALED
http://www.mqm.com/English-News/Jan-2001/leilakhalid.htm


2.เหตุการณ์จี้เครื่องบินมาเลเซีย
http://en.wikipedia.org/wiki/Malaysia_Airlines_Flight_653

3.การจี้เครื่องบินของกลุ่ม BLACK PANTHER
http://en.wikipedia.org/wiki/Black_Panther_Party

4.การวางระเบิดสนามบินโรมและเวียนนาในวันที่ 27 ธ.ค.ปี 1985 โดยกลุ่ม ABU NIDAL
http://library.nps.navy.mil/home/tgp/abu.htm

5.เรื่องราวของเที่ยวบินเกาหลีใต้ที่เชื่อกันว่าถูกสหภาพโซเวียตยิงตก
http://www.check-six.com/lib/Famous_Missing/KAL_Flight_007.htm

--ได้ข่าวว่าจะมีการฉายหนังของ DOMINIQUE GONZALES-FOERSTER ที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาทรใต้ ในช่วงบ่ายสองวันนี้ด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=24460

Saturday, December 24, 2005

DIAL HISTORY (JOHAN GRIMONPREZ, A+)

SIDNEY CROSBY CANADA HOCKEY TEAM

http://pub.tv2.no/multimedia/na/archive/00199/Sidney_Crosby_199788c.jpg

ขอแสดงความยินดีกับ INVISIBLE WAVES ด้วยค่ะ และก็ขอเชียร์ ATOMISED อีกเรื่องนึงอย่างสุดใจขาดดิ้นด้วยค่ะ เพราะชอบ OSKAR ROEHLER ผู้กำกับหนังเรื่องนี้มาก เขาเคยกำกับหนังเรื่อง NO PLACE TO GO (2000, A++++++++++) ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพ และวิดีโอหนังเรื่องนี้เคยมีให้ยืมที่ห้องสมุดสถาบันเกอเธ่ด้วย

สาเหตุที่ขอเชียร์ ATOMISED เพราะว่าชอบหนังเรื่อง NO PLACE TO GO มากค่ะ NO PLACE TO GO เป็นหนังที่ให้อารมณ์ขมขื่นพอๆกับหนังของ RAINER WERNER FASSBINDER หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตจริงของแม่ของ OSKAR ROEHLER เอง โดยแม่ของเขามีอาการสติแตกหลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย เธอเดินทางไปเบอร์ลินตะวันออก เธอเดินทางไปเยี่ยมสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว และเธอก็ฆ่าตัวตาย (ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง GOOD BYE LENIN! + TARNATION)

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NO PLACE TO GO ได้ที่
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=1880

OSKAR ROEHLER เคยกำกับหนังเรื่อง SUCK MY DICK (2001) และหนังเกย์เรื่อง AGNES AND HIS BROTHERS (2004)
http://www.imdb.com/name/nm0753912/


พอดีเจอข่าวในนสพ.แนวหน้าเกี่ยวกับ MICHEL HOUELLEBECQ เจ้าของบทประพันธ์ ATOMISED ก็เลยคัดลอกมาให้อ่านกันค่ะ ข่าวเก่านี้มาจากนสพ.แนวหน้า ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 30 ส.ค.ปี 2001 (ไม่รู้ว่าเคยมีใครแปลบทประพันธ์ของ HOUELLEBECQ ออกมาเป็นภาษาไทยบ้างแล้วยัง)

มิเชล อูแอลเบค (Michel Houellebecq) นักประพันธ์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส สร้างความอื้อฉาวให้ตัวเองอีกครั้ง ด้วยนิยายเรื่อง Platform ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเซ็กซ์ทัวร์ในประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ อูแอลเบค มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากนิยายที่นำเสนอเนื้อหาทางเพศอย่างโจ่งแจ้งแต่กลับได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก
http://images.amazon.com/images/P/2290321230.08._SCLZZZZZZZ_.jpg

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นิยายเรื่อง Platform เริ่มวางแผงขายในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2544 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้าราชการกรุงปารีสคนหนึ่งที่นำมรดกที่มีเพียงเล็กน้อย มาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในซ่องโสเภณีในกรุงเทพฯ นิยายเล่มนี้ได้รับคำติเตียนจากบางคนว่า เป็นคำแก้ตัวสำหรับการเอารัดเอาเปรียบทางเพศกับคนในประเทศโลกที่สาม

อย่างไรก็ดี คำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่ออกมาในสัปดาห์นี้ ต่างยกย่องนิยายเล่มนี้ว่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการวรรณกรรม และระบุว่า นิยายเล่มนี้สมควรได้รับรางวัล Goncourt ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับนิยายที่ดีที่สุดประจำปี

นิตยสาร Le Nouvel Observateur ประกาศว่า "หนังสือเล่มใหม่ของมิเชล อูแอลเบคเป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยม หนังสือเล่มนี้สมควรจะประสบความสำเร็จและจะต้องประสบความสำเร็จ"

แตกต่างจากนิตยสาร VSD กลับสรุปเนื้อหาของนิยายเล่มนี้ว่า "Sexual misery, oafish tourism, the stench of racism"

ตัวละครบางตัวในนิยายของอูแอลเบค เข้าร่วมในกิจกรรมเซ็กซ์หมู่อย่างไม่มีความสุข และมักครุ่นคิดถึงชีวิตที่เปล่าเปลี่ยวของตัวเอง ส่วน"มิเชล"ซึ่งเป็นตัวละครเอกใน Platform นั้นได้ไปเที่ยวสถานบริการทางเพศในไทย และเขาพบว่ามีการติดหมายเลขบนตัวโสเภณีแต่ละคนเพื่อให้ลูกค้าเลือก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาเกิดความคิดว่า "เซ็กซ์ทัวร์คือ อนาคตของโลกนี้"

ในเรื่อง "มิเชล" ประณามกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งเครือข่ายโรงแรมอีโรติก โดยผู้จัดตั้งคือ "วาเลอรี" หญิงสาวชาวฝรั่งเศสที่เป็นผู้จัดทัวร์ให้กับเขา และเครือข่ายโรงแรมแห่งนี้ คือการลงทุนทางธุรกิจที่มีจุดประสงค์ เพื่อทำให้อุตสาหกรรมทางเพศเข้าสู่ระบบโลกาภิวัตน์

ด้าน ฟิลิป โกลแกง ชาวฝรั่งเศส ผู้ตีพิมพ์หนังสือ Guide de Routard ซึ่งเป็นหนังสือนำเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทสายเป้ ออกมาประณามอูแอลเบคว่า "เขียนผลงานขยะที่ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้หญิง" และกล่าวเตือนว่า "เราขอเตือนบริษทั Flammarion ที่ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ว่า พนักงานขายหนังสือ 70% ในฝรั่งเศสเป็นผู้หญิง ซึ่งนั่นหมายถึง จะมีการส่งหนังสือเล่มนี้คืนให้สำนักพิมพ์เป็นจำนวนมาก"

อย่างไรก็ดี แฟนผลงานของอูแอลเบค พากันออกมากล่าวปกป้องนักประพันธ์ผู้นี้ โดยชี้ให้เห็นว่าหนังสือของเขามีการสอดแทรกสาระสำคัญไว้อย่างลุ่มลึก และมีเทคนิคการเขียนที่ลื่นไหล

Le Nouvel Observateur ระบุว่า "วรรณกรรมที่ดีนั้นไม่ได้บอกเล่าความคิดของผู้เขียนออกมาอย่างตื้นๆ และคงมีแต่คนที่ไม่มีความเข้าใจในวรรณกรรมเท่านั้น ที่มองไม่ออกว่าสิ่งที่นิยายเล่มนี้และพระเอกผู้น่าสงสารของเรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ ก็คือการประณามความเลวร้ายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน"

อูแอลเบค ซึ่งมีอายุ 43 ปี โด่งดังขึ้นมาในปี 1998 จากนิยายเรื่อง The Elementary Particles หนังสือเล่มนี้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วยุโรป และได้รับการแปลออกมาถึงกว่า 20 ภาษา และออกขายในอังกฤษในชื่อว่า Atomised ทั้งนี้ ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ในอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้รับความสำเร็จมากนักในสหรัฐ
http://images.amazon.com/images/P/2290045764.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

อ่านบทวิจารณ์ ATOMISED ได้ที่
http://flakmag.com/books/element.html

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ HOUELLEBECQ ได้ที่
http://books.guardian.co.uk/departments/generalfiction/story/0,6000,783583,00.html
http://www.newyorker.com/critics/books/?030707crbo_books

ดารานำใน ATOMISED

1.MORITZ BLEIBTREU (รักเขามากๆเลยค่ะ) อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผลงานของดาราหนุ่มคนนี้ได้ที่
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=2904

เขาเกิดปี 1971 และเคยเล่นหนังเรื่อง
http://www.imdb.com/name/nm0001953/

1.1 MUNICH

1.2 THE KEEPER: THE LEGEND OF OMAR KHAYYAM (2005, KAYVAN MASHAYEKH) นำแสดงโดยวาเนสซา เรดเกรฟ และ RADE SERBEDZIJA
http://www.imdb.com/title/tt0294806/

1.3 AGNES AND HIS BROTHERS

1.4 TAKING SIDES (2001, ISTVAN SZABO) เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง สร้างจากละครเวทีและบทภาพยนตร์ของ RONALD HARWOOD
http://www.imdb.com/title/tt0260414/

1.5 DAS EXPERIMENT (2001, OLIVER HIRSCHBIEGEL, B)

1.6 THE INVISIBLE CIRCUS (2001, ADAM BROOKS, C)

1.7 IN JULY (2000, FATIH AKIN, A)

1.8 LUNA PAPA (1999, BAKHTYAR KHUDOJNAZAROV)

1.9 RUN LOLA RUN (1998, TOM TYKWER, A+)

1.10 KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR (1998, THOMAS JAHN, B-)


2.MARTINA GEDECK
http://www.mathiasbothor.com/main.php/photos/big/project/1/photo_nr/2/martina_gedeck_copyright_by_mathias_bothor.jpg

เธอเกิดปี 1961 และเคยเล่นหนังเรื่อง

2.1 MOSTLY MARTHA (2001, SANDRA NETTELBECK) นำแสดงโดย SERGIO CASTELLITTO

2.2 JEW-BOY LEVI (1999, DIDI DANQUART, A+)

2.3 LIFE IS ALL YOU GET (1997, WOLFGANG BECKER, B) หนังโรแมนติกเบาสมองเรื่องนี้ร่วมเขียนบทโดย TOM TYKWER ส่วน WOLFGANG BECKER คือผู้กำกับ GOOD BYE LENIN!
http://www.imdb.com/title/tt0119510/

2.4 ROSSINI (1997, HELMUT DIETL, A+)
หนังเรื่องนี้สนุกมาก เต็มไปด้วยตัวละครหลายตัวที่มาตบกันแหลกในร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยได้ PATRICK SUSKIND นักแต่งนิยายชื่อดังมาร่วมเขียนบท

2.5 MAYBE, MAYBE NOT (1994, SONKE WORTMANN) อยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ แต่ไม่มีใครเอาเข้ามาให้ดูเสียที
http://www.imdb.com/title/tt0109255/



3.CORINNA HARFOUCH
http://www.imdb.com/name/nm0362896/
http://www.players.de/7/bild1k.jpg

เธอเกิดปี 1954 และเคยเล่นหนังเรื่อง

3.1 PERFUME: THE STORY OF A MURDERER (2006, TOM TYKWER)

นำแสดงโดย BEN WHISHAW โดยมี DUSTIN HOFFMAN, ALAN RICKMAN และ RACHEL HURD-WOOD (PETER PAN) ร่วมแสดงด้วย

อ่านเพิ่มเติมเรื่องของเบน วิชอว์ได้ที่
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=9851

3.2 DOWNFALL (2004)

3.3 HAMLET X (2004, HERBERT FRITSCH)
http://www.imdb.com/title/tt0371704/

3.4 BIBI BLOCKSBERG (2002, HERMINE HUNTGEBURTH)
http://www.imdb.com/title/tt0321436/

3.5 THE TRIALS OF VERA B. (2001, HARK BOHM) หนังเรื่องนี้มีความยาว 4 ชม. 46 นาที และสร้างจากคดีฆาตกรรมอื้อฉาว

HARK BOHM ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เคยเล่นหนังให้ฟาสบินเดอร์มาก่อน และเขาเคยกำกับหนังเรื่อง FOREVER AND EVER (1997, A-) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงโรคจิต และเรื่อง YASEMIN (1988, A-) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักระหว่างสาวตุรกีกับหนุ่มเยอรมัน

3.6 SOLO FOR CLARINET (1998, NICO HOFMANN, B)
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00004RWLX.03.LZZZZZZZ.jpg

3.7 KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR (B-)

3.8 YASEMIN (A-)

4.NINA HOSS เธอเคยเล่นหนังเรื่อง WOLFSBURG ร่วมกับสุดหล่อ BENNO FUERMANN โดย WOLFSBURG เป็นผลงานการกำกับของ CHRISTIAN PETZOLD (THE STATE I AM IN)
http://www.peripherfilm.de/wolfsburg/wolfsburgplakatA6.JPG

http://www.players.de/25/bild1k.jpg


5.UWE OCHSENKNECHT
http://www.imdb.com/name/nm0643805/
http://www.hogreve.de/images/images_op/ochsenknecht.JPG

เขาเกิดปี 1956 และดูเหมือนจะถนัดรับบทตลก เขาเคยเล่นหนังเรื่อง
5.1 SOCCER RULES (2000, TOMY WIGAND, C+)

5.2 ENLIGHTENMENT GUARANTEED (2000, DORIS DORRIE, A)
หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับพี่ชายน้องชายคู่หนึ่งที่ไปหลงทางในญี่ปุ่นและไปพักในวัดญี่ปุ่น โดยตัวพี่ชายเป็นเกย์ หนังเรื่องนี้น่ารักมากๆ และเหมือนกับเอาหนังเรื่อง LOST IN TRANSLATION (SOFIA COPPOLA, A+) มารวมกับหนังเรื่อง FANCY DANCE (1989, MASAYUKI SUO, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0177749/
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00004TYYZ.03.LZZZZZZZ.jpg

5.3 AM I BEAUTIFUL? (1998, DORIS DORRIE, A+) หนังรักโรแมนติกเรื่องนี้ประกอบด้วยเรื่องราวของคู่รักหลายคู่เหมือน LOVE ACTUALLY (C+) ฉากที่ชอบมากในเรื่องนี้คือฉากของ FRANKA POTENTE ในขบวนแห่ช่วงท้ายเรื่อง

5.4 MEN (1985, DORIS DORRIE, A-/B+)

5.5 DAS BOOT (1981)


6.FRANKA POTENTE

7.JASMIN TABATABAI
http://www.players.de/13/bild1k.jpg

เธอนำแสดงในหนังเลสเบียนเรื่อง UNVEILED (2005) ที่นิตยสาร BIOSCOPE เคยแนะนำไปแล้ว

8.CHRISTIAN ULMEN
http://imageserver.abacho.com/deatch/movies/teleschau/stars/200344_123891_1_006.jpg

เขาคือพระเอกหนังเรื่อง HERR LEHMANN (2003, LEANDER HAUSMANN, B+) ที่เพิ่งมาฉายที่คณะอักษรศาสตร์เมื่อไม่กี่ปีก่อน


ส่วนหนังของ HANS-CHRISTIAN SCHMID นั้น ไม่อยากเชียร์เท่าไหร่ เพราะเคยดูหนังของเขาแล้วชอบแค่ในระดับปานกลางเท่านั้น ซึ่งได้แก่เรื่อง IT'S A JUNGLE OUT THERE (B) , 23 (B+/B) และ CRAZY (2000, C+) รู้สึกว่า CRAZY จะสร้างมาจากนิยายของ BENJAMIN LEBERT ซึ่งน่าจะเคยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วย


ตอบคุณอ้วน

จำได้ว่าคุณอ้วนชอบหนังเรื่อง THE POLICEWOMAN (2002, JOAQUIM SAPINHO, A+) มาก ก็เลยอยากจะบอกว่าพอดีเจอบทวิจารณ์ของ GEORGE CLARK ที่ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเหมือนกัน โดยเขาบอกว่านางเอกหนังเรื่องนี้คือนักแสดงแบบที่ “ROBERT BRESSON SPENT HIS WHOLE LIFE LOOKING FOR”

อ่านบทวิจารณ์ที่ดีมากๆของ GEORGE CLARK ได้ที่
http://www.sensesofcinema.com/contents/festivals/03/28/57th_eiff.html

บทวิจารณ์ข้างบนมีพูดถึงหนังเรื่อง SHIMKENT HOTEL (2003, CHARLES DE MEAUX) ที่จะฉายในเทศกาลหนังทดลองวันเสาร์นี้ด้วย



ตอบคุณ TARENCE

คิดว่าวันเสาร์ที่ 7 อาจจะว่างค่ะ


ตอบพี่ KIT

ตอนแรกได้ยินชื่อหนัง “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” ก็ฟังดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ดูชื่อนักแสดงแล้วน่าสนใจทั้งนั้นเลยนี่นา ทั้งแมทธิว โมดีน, วาเนสซา เรดเกรฟ, MIA SARA (QUEENIE, LEGEND, FERRIS BUELLER’S DAY OFF), DARYL HANNAH, JON VOIGHT, RICHARD ATTENBOROUGH ท่าทางหนังเรื่องนี้จะน่าสนใจดี แถมยังยาวตั้ง 180 นาที อยากดูจังเลยว่าจะดัดแปลงเนื้อเรื่องเดิมออกมาได้สนุกขนาดไหน

ไม่เคยได้ยินชื่อ THE TENTH KINGDOM มาก่อน แต่พอเช็คข้อมูลดูแล้วรู้สึกว่าน่าดูมากๆ รู้สึกว่าไอเดียเจ๋งมากที่เอาเทพนิยายหลายเรื่องมายำรวมกัน

http://www.imdb.com/title/tt0207275/

ได้ยินชื่อแมทธิว โมดีน แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในดาราหนุ่มหล่อยุค 80 ที่ดิฉันเคยชอบมากๆ หนุ่มหล่อในยุคนั้นก็รวมถึง

1.ROB LOWE จาก ABOUT LAST NIGHT (1986, EDWARD ZWICK, B+)
http://www.born-today.com/Today/pix/lowe_r.jpg
http://malestars.codserver.com/cnt/rob_lowe/photos/3.jpg
http://lostinthepast.net/motion/RL1/00569rl.jpg

2.WILLIAM MCNAMARA จาก CHASERS (1994, DENNIS HOPPER, B-)
http://www.williammcnamara.com/images/fight.jpg

3.ERIC ROBERTS จาก RUNAWAY TRAIN (1985, ANDREI KONCHALOVSKY, A+)
http://home.rixtele.com/~urdskalla/Skivomslag/Eric_Roberts.jpg

4.MICHAEL DUDIKOFF (BORN 1954) จาก AMERICAN NINJA (1985, SAM FIRSTENBERG)
http://photos.allcelebs.us/michael-dudikoff/big-photo/michael-dudikoff_0001.jpg
http://www.geocities.com/Hollywood/Bungalow/5454/dudikoff3.jpg
http://www.geocities.com/Hollywood/Bungalow/5454/dudikoff1.jpg

5.JEFF SPEAKMAN จาก THE PERFECT WEAPON (1991, MARK DISALLE, C)
http://www.completemartialarts.com/whoswho/pictures/images/jspeakman.gif
http://www.amtc-hq.com/photogallery/photo00015724/jeff_speakman.jpg



ตอบคุณ akita

ยังไม่ได้ดู DONNIE DARKO เลยค่ะ แต่แถวนี้รู้สึกจะมีคนชอบพระเอก DONNIE DARKO กันเยอะมาก

หนังเกี่ยวกับกระต่ายเรื่องนึงที่ชอบมากคือ HARVEY (1950, HENRY KOSTER, A) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ชาย (JAMES STEWART) ที่ชอบพูดคุยกับกระต่ายล่องหนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเชื่อเขาว่ากระต่ายนั้นมีตัวตนจริง

อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง HARVEY ของคุณเจ้าชายน้อยได้ที่
http://bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=16702



ตอบคุณแฟรงเกนสไตน์

เข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง TOKYO SORA แล้ว รู้สึกว่าจะน่าดูมากๆเลยค่ะ

นึกขึ้นมาได้ว่ามีหนังที่ชื่อเรื่องมีคำว่า TOKYO เยอะมากๆ ลองค้นใน IMDB.COM ดูก็ได้หลายร้อยเรื่อง ท่าทาง TOKYO น่าจะเป็นเมืองที่ได้อยู่ในชื่อหนังมากที่สุดในโลกเมืองนึง

ตัวอย่างหนังที่ชื่อเรื่องมีคำว่าโตเกียว

1.TOKYO LULLABY (1997, JUN ICHIKAWA, A++++++++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0120346/

2.TOKYO KYODAI (1995, JUN ICHIKAWA, A+)

3.TOKYO GODFATHERS (2003, SATOSHI KON, A)

4.TOKYO EYES (1998, JEAN-PIERRE LIMOSIN, A-) นำแสดงโดย SHINJI TAKEDA
http://www.imdb.com/title/tt0157117/

5.TOKYO BIYORI (1997, NAOTO TAKENAKA, B)

6.SHOWDOWN IN LITTLE TOKYO (1991, MARK L. LESTER, C)
นำแสดงโดย DOLPH LUNDGREN

คุณวินทร์ เลียววาริณเขียนถึง DOLPH LUNDGREN ไว้ในจดหมายถึงปราบดา หยุ่น ด้วยค่ะ อ่านจดหมายนี้แล้วทำให้รู้สึกอยากเป็นภรรยาของ DOLPH LUNDGREN อย่างรุนแรงมากๆ

อ่านจดหมายนี้ได้ที่
http://www.onopen.com/2005/02/91
http://www.gmrmedia.com/dolph/gallery/folder9/lundgren16.jpg

7.แม่นาคบุกโตเกียว (1976)

8.โตเกียวพิศวาส (1955)

9.ราตรีในโตเกียว (1955)

10.TOKYO MARIGOLD (2001, JUN ICHIKAWA)

11.TOKYO DRIFTER (1966, SEIJUN SUZUKI)

12.TOKYO STORY (1953, YASUJIRO OZU)

13.TOKYO TWILIGHT (1957, YASUJIRO OZU)
http://www.imdb.com/title/tt0051093/

14.WOMAN OF TOKYO (1933, YASUJIRO OZU)
http://www.imdb.com/title/tt0024676/


15.TOKYO CHORUS (1931, YASUJIRO OZU)

16.SLUMS OF TOKYO (1928, TEINOSUKE KINUGASA)
http://www.imdb.com/name/nm0455938/

TEINOSUKE KINUGASA เคยกำกับหนังเรื่อง GATE OF HELL (1953, A) ที่มีสีสันสวยงามมากๆ หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้รับคำชมอย่างมากจากประธานกรรมการ ซึ่งก็คือ JEAN COCTEAU ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เป็นเกย์
http://www.imdb.com/Sections/Awards/Cannes_Film_Festival/1954

17.TOKYO OLYMPIAD (1965, KON ICHIKAWA)

18.THE GOOD WIFE OF TOKYO (1992, KIM LONGINOTTO)
http://www.imdb.com/title/tt0160328/

19.TOKYO-GA (1985, WIM WENDERS)

20.RIFIFI IN TOKYO (1962, JACQUES DERAY)
http://www.imdb.com/title/tt0055935/

21.TOKYO X EROTICA (2001, TAKAHISA ZEZE)

22.TOKYO FIST (1995, SHINYA TSUKAMOTO)

23.TOKYO DECADENCE (1992, RYU MURAKAMI)
http://www.imdb.com/title/tt0105622/

24.THIRTY SECONDS OVER TOKYO (1944, MERVYN LEROY)
http://www.imdb.com/title/tt0037366/

25.TOKYO MAGIC HOUR (2005, AMIR MUHAMMAD)

หนังเกย์ที่เซอร์เรียลสุดๆเรื่องนี้ถ่ายทำในโตเกียว แต่กำกับโดยผู้กำกับชาวมาเลเซีย นี่คือหนึ่งในหนังที่น่าดูที่สุดในปีนี้

อ่านบทวิจารณ์ TOKYO MAGIC HOUR ได้ที่
http://www.sensesofcinema.com/contents/festivals/05/36/singapore2005.html

http://www.geocities.com/michaelsicinski/reviewsNovember2005.htm

http://www.firecracker-media.com/issue06/i_review0603.shtml


เว็บไซท์ FIRECRACKER นี้มีข้อมูลหนังไทยกับหนังเอเชียเยอะมาก (เป็นภาษาอังกฤษ)

หนังเกย์มาเลเซียเรื่อง TOKYO MAGIC HOUR นี้ได้รับการเปรียบเทียบกับ

A.หนังของ DEREK JARMAN

B.หนังของ STAN BRAKHAGE

C.หนังของ DAVID LARCHER
http://www.erratum.org/larcher/
http://www.fondation-langlois.org/html/e/page.php?NumPage=732
http://www.khm.de/~davidl/cicv/larcher.html


D.หนังของ CHRISTOPHER PETIT
http://www.imdb.com/name/nm0677551/

E. ภาพยนตร์ของ JORDAN BELSON
http://www.imdb.com/name/nm0069548/
http://www.uoregon.edu/~tanying/JBart.html
http://www.roberthaller.com/firstlight/belson.html

ALLURES (1961, JORDAN BELSON)
http://alumnicommunity.cgu.edu/s/221/photo_albums/7/Allures_09_small_632477282398437500.jpg

SAMADHI (1967, JORDAN BELSON)
http://wuemme.hp.infoseek.co.jp/Event_doc/USIS_photo/samadhi.jpg


อ่านบทสัมภาษณ์ AMIR MUHAMMAD ได้ที่
http://www.criticine.com/interview_article.php?id=18

เขาพูดถึงหนังของฟาสบินเดอร์ในบทสัมภาษณ์ด้วย

26.GLASS ENCLOSURE: TOKYO INVISIBLE (2004, MOHD NAGUIB RAZAK)

หนังอีกเรื่องที่ถ่ายทำในโตเกียวโดยผู้กำกับกลุ่มนิวเวฟของมาเลเซีย


--วันนี้ได้ดูหนังแค่เรื่องเดียว (แบบไม่เต็มเรื่อง) คือเรื่อง DIAL HISTORY (1997, JOHAN GRIMONPREZ, A+++++)
http://www.medienkunstnetz.de/works/dial-history/
http://images-eu.amazon.com/images/P/3775712674.03.LZZZZZZZ.jpg

ซื้อดีวีดีหนังเรื่อง DIAL HISTORY ได้ที่
http://www.othercinemadvd.com/dialhistory.html

รู้สึกเสียดายมากๆที่ไม่ได้ดูหนังในเทศกาลหนังทดลองอย่างเต็มที่ในวันนี้ เพราะตอนบ่ายต้องไปโรงพยาบาล กว่าจะกลับมาถึงสวนลุมก็ทุ่มครึ่ง แล้วปรากฏว่าหาจอฉายหนังไม่เจอ กว่าจะหาจอเจอก็ 2 ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว ฮือๆๆๆๆ เลยอดดูหนังของ DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER เลย ชอบหนังเรื่อง ILE DE BEAUTE ของเธอมากๆๆเลยค่ะ ตอนแรกก็ดีใจว่าจะได้ดูหนังของเธออีกหลายๆเรื่องในเทศกาลนี้ ปรากฏว่าดันต้องไปโรงพยาบาล ก็เลยชวดไปเลย

ผลงานของ DOMINIQUE GONZALEZ-FOERSTER
http://adaweb.walkerart.org/context/artists/dgf/dgf0.html
http://www.galeriejanmot.com/dominique_gonzalez_foerster/

VARIANTE DE LA CURE TYPE ORANGE (1994)
http://adaweb.walkerart.org/context/artists/dgf/img/red/dgf18.jpg

THE MORIYA ROOM
http://adaweb.walkerart.org/context/artists/dgf/img/green/dgf8.gif

THE DAUGHTER OF A TAOIST (1991)
http://adaweb.walkerart.org/context/artists/dgf/img/red/dgf17.jpg

RIYO (1999)
http://www.bard.edu/ccs/exhibitions/museum/sodiumdreams/artists/gonzalez/images/riyo.jpg

PAVILLON D’ARGENT (1999)
http://www.galeriejanmot.com/dominique_gonzalez_foerster/images/08.large.jpg

CHAMBRE EN VILLE (1996)
http://www.galeriejanmot.com/dominique_gonzalez_foerster/images/04.large.jpg


ทางห้องสมุดธรรมศาสตร์จะนำภาพยนตร์หลายเรื่องของทศพล บุญสินสุขมาฉายในวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค.ค่ะ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง AFTERNOON TIMES ที่ครองอันดับ 1 ของดิฉันประจำปี 2005 ด้วย ดูรายละเอียดได้ที่
http://library.tu.ac.th/staff/user4/dk/jan15.htm

Sunday, December 18, 2005

IF TOMORROW COMES (1986, A+)

ตอบคุณเจ้าชายน้อย

---โฮะ โฮะ โฮะ ชอบ SHATTERED IMAGE (A+) มากๆเลยค่ะ แต่จำฉาก AQUARIUM ไม่ได้แล้ว จำได้แต่ฉากที่มีปูเกาะเต็มฝาผนัง

--ใน SHADOWS รู้สึกชอบน้องชายของนางเอกมาก แต่จำไม่ได้ว่าตัวละครตัวนี้ชื่อว่าอะไร ก็เลยไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่านักแสดงที่เล่นเป็นน้องชายนางเอกมีชื่อว่าอะไร

ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนผิวดำที่ดูเหมือนคนขาวอย่างมากๆ เห็นแล้วนึกถึงตัวละครที่แสดงโดย WENTWORTH MILLER ใน THE HUMAN STAIN (2003, ROBERT BENTON, A+) ซึ่งเป็นคนผิวดำที่สามารถปลอมตัวเป็นคนขาวได้อย่างสบาย

นักวิจารณ์หลายคนชอบนำ SHADOWS ไปเปรียบเทียบกับ BREATHLESS (1959, JEAN-LUC GODARD, A-) เพราะว่าหนังสองเรื่องนี้ออกมาปีเดียวกัน, เป็นหนังที่แหวกแนวหนังในยุคนั้นๆ, มีอะไรบางอย่างสอดคล้องกัน และเป็นหนังที่ออกมาในช่วงที่เป็นจุดกำเนิดของหนังแนวทางใหม่ๆพอดี โดย SHADOWS ออกมาในยุคเริ่มต้นของ NEW AMERICAN CINEMA ในขณะที่ BREATHLESS ออกมาในยุคเริ่มต้นของ FRENCH NEW WAVE

นักวิจารณ์ยังบอกว่า SHADOWS มีอิทธิพลอย่างสูงต่อ MEAN STREETS ของ MARTIN SCORSESE และหนังอเมริกันอีกมากมายหลายเรื่องในยุคต่อมา

ใน SHADOWS จะมีฉากงานปาร์ตี้ที่คนที่มีความรู้มาสังสันทน์กัน ดูฉากนี้แล้วก็นึกถึงหนังบางเรื่องในทศวรรษ 1950 ที่ชอบมีงานปาร์ตี้ประเภทนี้ อย่างเช่นในเรื่อง ALL THAT HEAVEN ALLOWS (1955, DOUGLAS SIRK, A+) ที่มีฉากเพื่อนๆพระเอกมาสังสันทน์กันและพูดคุยกันอย่างคนมีความรู้ และหนังเรื่อง FUNNY FACE (1957, STANLEY DONEN, A-) ที่มีฉากคลับของปัญญาชนในปารีส

ชื่อที่มักได้ยินคนพูดถึงในงานปาร์ตี้เหล่านี้มีตั้งแต่ HENRY DAVID THOREAU ผู้ประพันธ์หนังสือ WALDEN ไปจนถึงชื่อของ JEAN-PAUL SATRE ซึ่งคงเป็นนักปรัชญาที่กำลังมาแรงในทศวรรษ 1950 นอกจากนี้ ทศวรรษ 1950 ยังเป็นทศวรรษที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักประพันธ์กลุ่ม BEAT อย่าง JACK KEROUAC (1922-1969) ด้วย ก่อนที่ทศวรรษ 1960 จะถูกครอบงำด้วยสงครามเวียดนามและฮิปปี้ พอพูดถึงฉากงานชุมนุมในทศวรรษ 1960 ก็มักจะนึกถึงฉากเปิดของหนังเรื่อง ZABRISKIE POINT (1970, MICHELANGELO ANTONIONI, A+) บรรยากาศของงานปาร์ตี้ในทศวรรษ 1950 ที่ดูสวยงามและเน้นการพูดคุยกันทางปรัชญาได้เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นงานชุมนุมของคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างรุนแรงแทนในช่วงทศวรรษ 1960

--รู้สึกว่าฟิลิปปินส์เคยมีผู้กำกับดังๆหลายคนในทศวรรษ 1980 แต่ดิฉันก็ไม่ค่อยได้ดูหนังของประเทศนี้มากเท่าไหร่ ผู้กำกับดังๆก็เช่น

1.LINO BROCKA เคยดูหนังของคนนี้สองเรื่อง หนังของเขามี LOOK ที่ดูเหมือนหนังไทยยุคเก่าอย่างมากๆๆ

2.ISHMAEL BERNAL

3.KIDLAT TAHIMIK
http://home.arcor.de/be/bethge/kidlat.htm
http://www.imdb.com/name/nm0846684/

4.RAYMOND RED
http://www.imdb.com/name/nm0714605/
http://www.geocities.com/Hollywood/Interview/8544/filmmakers/raymondred/raymondred.html

5.MIKE DE LEON
http://www.imdb.com/name/nm0209672/
http://www.kabayancentral.com/video/mdeleon.html


--รู้สึกว่าปีนี้หนังมาเลเซียมาแรงมาก เพราะได้ยินชื่อผู้กำกับหนังมาเลเซียบ่อยมากๆในปีนี้ ซึ่งรวมถึงชื่อของ

1.HO YUHANG

2.JAMES LEE ผู้กำกับ THE BEAUTIFUL WASHING MACHINE (B+)

3.TAN CHUI MUI

4.AMIR MUHAMMAD
http://www.imdb.com/name/nm0611243/


--ดู A VERY LONG ENGAGEMENT แล้วทำให้ชอบ MARION COTILLARD (โสเภณีนักฆ่า) มากๆเลยค่ะ หลังจากที่ไม่ชอบหน้าเธอเท่าไหร่ใน LOVE ME IF YOU DARE

MARION COTILLARD เล่นหนังใหม่หลายเรื่องที่น่าดูมาก อย่างเช่น

1.INNOCENCE (2004, LUCILE HADZIHALILOVIC)
http://www.imdb.com/title/tt0375233/

2.MARY (2005, ABEL FERRARA)

3.LA VIE EN ROSE (2006, OLIVIER DAHAN) เธอได้เล่นเป็น EDITH PIAF ในเรื่องนี้ ส่วน OLIVIER DAHAN เคยกำกับหนังเรื่อง THE PROMISED LIFE (2002) ที่นำแสดงโดย ISABELLE HUPPERT และกำกับ THE CRIMSON RIVERS 2: ANGELS OF THE APOCALYPSE (2004, B) (รู้สึกชักไม่แน่ใจในฝีมือของผู้กำกับคนนี้)

--อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากใน A VERY LONG ENGAGEMENT ก็คือการปรากฏตัวของ ELINA LOWENSOHN (นางเอก SOMBRE) เธอมีบทแค่ 3 นาที แต่ใบหน้าชองเธอตอนลบกระดานดำแล้วหันมามองหน้านางเอกเป็นใบหน้าที่ฝังใจดิฉันอย่างรุนแรงมาก

--ดู THE MAID แล้วนึกถึงข่าวที่ได้ยินบ่อยๆในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือข่าวสาวใช้ชาวฟิลิปปินส์ถูกนายจ้างทำร้ายร่างกาย

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ยากจน เพราะฉะนั้นชาวฟิลิปปินส์หลายคนเลยต้องไปขายแรงงานในต่างประเทศ แม้แต่ในหนังฮ่องกงอย่าง CROSS HARBOUR TUNNEL (1999, LAWRENCE WONG, A+) ก็มีตัวละครชาวฟิลิปปินส์ที่มาขายแรงงานในฮ่องกงเช่นกัน

ในหนังเรื่อง THE ADVENTURES OF PRISCILLA, QUEEN OF THE DESERT (1994, STEPHAN ELLIOT, A+) ก็มีตัวละครหญิงชาวฟิลิปปินส์ที่แต่งงานไปอยู่ออสเตรเลีย ผู้ชมคงจำความสามารถของเธอในการเล่นกับลูกปิงปองในหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ในหนังเรื่อง 9 SOULS (2003, TOSHIAKI TOYODA, A-) ก็มีตัวละครเป็นหญิงฟิลิปปินส์ที่ไปแต่งงานกับชายญี่ปุ่นเช่นกัน รู้สึกว่าทั้ง PRISCILLA และ 9 SOULS ต่างก็นำเสนอตัวละครหญิงฟิลิปปินส์ในเชิงไม่ดีนัก

นอกจากหญิงฟิลิปปินส์หลายคนจะไปทำงานเป็นสาวใช้ต่างประเทศแล้ว หญิงฟิลิปปินส์หลายคนก็ต้องการจะแต่งงานกับชายต่างชาติเช่นกัน (เหมือนดิฉันเลยค่ะ โฮะๆๆๆๆ ต้องแข่งกันซะหน่อยแล้ว)

--รู้สึกว่า “ลองของ” เป็นหนังที่นำเสนอ “ไสยศาสตร์” ได้อย่างทรงพลังในความเป็นไสยศาสตร์จริงๆ

ชอบตัวละครของ “มะหมี่” มากๆ ตอนแรกๆนึกว่าเธอเป็นคนเลว แต่พอดูจนจบเรื่องแล้วรู้สึกว่าเธอคือฝ่ายที่ถูกกระทำต่างหาก สิ่งที่เธอทำเป็นเพียงการแก้แค้นเท่านั้น เธอมีความผิดอย่างเห็นได้ชัดก็เพียงเรื่องที่เธอไม่ยุติธรรมกับลูกเลี้ยง (ทำไมเธอถึงไม่คิดจะทำแบบ GLORIA GRAHAME บ้างนะ)

ชอบฉากการแอบในตู้เย็นในช่วงต้นเรื่องด้วย

รู้สึกว่า “ไสยศาสตร์” เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆ แต่พอเจอหนังอย่าง “คนเล่นของ” (2004, ธนิตย์ จิตนุกูล, C+) , “ฮวงจุ้ย” (C-), “แก้วขนเหล็ก” (C-) และ “อาถรรพ์แก้บนผี” (2004, มนตรี คงอิ่ม, B-) เข้าไป ก็รู้สึกผิดหวังมากๆ ไสยาศาสตร์ในหนังพวกนี้ดูกิ๊กก๊อกมากเลย จนกระทั่งได้มาเจอเรื่อง “จอมขมังเวทย์” (2005, ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์, A) ถึงได้รู้สึกว่า หนังไทยก็สามารถถ่ายทอดไสยาศาสตร์ออกมาได้อย่างทรงพลังเหมือนกัน และพลังของมันก็มาระเบิดสุดๆใน “ลองของ” (ส่วนในกรณีของ “จอมขมังเวทย์” นั้น สิ่งที่น่าประทับใจในหนังอาจจะเป็นประเด็นเรื่อง “ตำรวจ” มากกว่าไสยาศาสตร์)
--พูดถึงเรื่องไสยาศาสตร์ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าได้ดูหนังสารคดีอินโดนีเซียเรื่อง RASINAH: THE ENCHANTED MASK (2004, RHODA GRAUER, A+) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการร่ายรำสวมหน้ากากในงานพิธีสำคัญๆ โดยช่วงต้นของหนังเรื่องนี้ มีคำบรรยายขึ้นมาในทำนองที่ว่า “ผู้สร้างหนังเรื่องนี้พบว่ามีอาถรรพ์บางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถสร้างหนังเรื่องนี้ให้เสร็จได้ ดังนั้นจึงได้มีการทำพิธีบวงสรวงเพื่อให้การถ่ายทำลุล่วงไปได้ด้วยดี” (จำคำบรรยายที่แน่นอนไม่ได้ ถ้าจำผิดก็ต้องขออภัยด้วย)

การร่ายรำในหนังอินโดนีเซียเรื่องนี้ดูขลังพอสมควร

--หนังสารคดีเรื่อง MAKYONG – PAGEANT OF THE ANCIENTS (B+) ที่เพิ่งได้ดูมาที่ภัทราวดีเธียเตอร์ ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับพิธีกรรมอะไรสักอย่างในมาเลเซีย โดยในพิธีกรรมนี้ ผู้หญิงบางคนที่มาร่วมงานพิธีจะมีอาการเหมือนผีเข้า พวกเธอมีอาการคล้ายๆนางเอกหนังเรื่อง EXILS (2004, TONY GATLIF, A+) เป็นอย่างมาก ก็เลยรู้สึกประหลาดใจว่า พิธีกรรมในมาเลเซีย, ในแอฟริกาเหนือ และในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีส่วนเหมือนกันจนน่าประหลาดใจ เหมือนกับว่าเป็นพิธีกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ระบายออก

--รู้สึกว่าปีนี้มีหนังสยองขวัญที่นำเสนออารมณ์ทุกข์ทรมานของผู้หญิงได้อย่างน่าประทับใจมากๆอย่างน้อย 7 เรื่องด้วยกัน ซึ่งได้แก่

1.DARK WATER (A+)

2.”เกือกผี” (2005, KIM YONG-GYUN, A+++++)

3.THE DESCENT (2005, NEIL MARSHALL, A+)

4.THE MAID

5.SLIM TILL DEAD (2005, MARCO MAK CHI-SIN, A)
ความรักสวยรักงามของผู้หญิงนำไปสู่ความสยองขวัญ หนังฮ่องกงเรื่องนี้มีฉากล้อเลียน DUMPLINGS (2004, FRUIT CHAN, A) ด้วย เพราะ DUMPLINGS ก็นำเสนอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

6.BUNSHINSABA (2004, AHN BYEONG-KI, A)
ฉากที่นางเอกบังคับให้เพื่อนผู้หญิงจุดไฟคลอกหัวตัวเองกลางโรงเรียน ถือเป็นหนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดในปีนี้ หนังเรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยแรงเคียดแค้นที่ดิฉันชอบมากๆ อย่างไรก็ดี ดิฉันไม่ชอบหนังเรื่อง NIGHTMARE (C ) ของผู้กำกับคนเดียวกัน

7.WISHING STAIRS (2003, YUN JAE-YEON, A-)


--A SNAKE OF JUNE (A+) เป็นหนึ่งในหนังที่นำเสนอ “ผู้หญิงในชีวิตสมรส” ได้อย่างถูกใจตัวเองมากที่สุดในปีนี้ โดยหนังในกลุ่มนี้รวมถึง

1.3-IRON (A)
2.5x2 (2004, FRANCOIS OZON, A+)
3.GILLES’ WIFE (2004, FREDERIC FONTEYNE, A+)
4.TO TAKE A WIFE (2004, RONIT ELKABETZ + SHLOMI ELKABETZ, A+)
5.THE SYRIAN BRIDE (2004, ERAN RIKLIS, A+)
6.YASMIN (2004, KENNETH GLENAAN, A)


หนังและวิดีโอที่ได้ดูในวันนี้

1.SHOCK CORRIDOR (1963, SAMUEL FULLER, A+)
2.SCROOGE (1970, RONALD NEAME, A-)

SCROOGE ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ CHARLES DICKENS และมีตัวละครหลักชื่อ EBENEZER

พอเห็นชื่อตัวละครตัวนี้ แล้วก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีเพลงที่ชอบมากๆเพลงนึงชื่อ EBENEZER GOODE (1993, A+) ของวง THE SHAMEN แต่จำได้ว่ารายการโทรทัศน์แทบไม่เคยเปิดมิวสิควิดีโอเพลงนี้เลย เปิดให้เห็นแค่แป๊บเดียวเวลารายงานว่าเพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ ทั้งๆที่โดยปกติแล้วเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 จะต้องได้รับการเปิดมิวสิควิดีโอเต็มๆเพลง

วันนี้ลองมาค้นประวัติดู ก็เลยพบว่าเพลงนี้ถูกแบน เพราะมีคนกล่าวหาว่าเนื้อเพลงนี้ร้องว่า “ยาอีเป็นสิ่งที่ดี”

http://www.bbc.co.uk/totp2/features/top5/drug_songs.shtml
The refrain of the song goes "eezer Goode, eezer Goode, he's Ebeneezer Goode". Do you get it? E's are good, you see.



ตอบคุณ SENSITIVEMAN

ถ้าพูดถึงหนังเกี่ยวกับการแก้แค้นแล้ว ชอบวิธีการแก้แค้นของ SALLY FIELD ใน EYE FOR AN EYE (1996, JOHN SCHLESINGER, B) ด้วยเหมือนกัน เพราะเธอดูใจเย็นและมีสติดี แต่เนื่องจากมันอาจจะเป็นการแก้แค้นแบบ “มีสติ” มากไปหน่อย หนังก็เลยไม่สนุก ในขณะที่ KILL BILL (A) ดูสนุกดุเดือดเลือดพล่านมาก แต่ถ้าหากตัวเองต้องแก้แค้น ก็ไม่อยากแก้แค้นแบบเจ็บตัวอย่างนี้

การแก้แค้นที่ชอบสุดๆอีกอันหนึ่ง ก็คือการแก้แค้นของนางเอกในมินิซีรีส์เรื่อง IF TOMORROW COMES (1986, JERRY LONDON, A+) ที่สร้างจากนิยายของซิดนีย์ เชลดอน เพราะนางเอกหนังเรื่องนี้ต้องตามแก้แค้น “ผู้มีอำนาจ” หลายๆคน แต่เธอเน้นใช้ “หัวสมอง” ในการแก้แค้น ไม่ต้องใช้กำลัง เธอแค่ใช้วิธี “ส่งจดหมายลวง” หรือ “โทรศัพท์ลวง” ไปบอกว่าคนนี้เม้มเงินคนนั้น คนนั้นเป็นสายให้คนโน้น เธอแค่โทรศัพท์ไปยุยง แค่นี้ศัตรูที่เป็นผู้มีอำนาจของเธอก็ถูกกำจัดไปแล้วหลายคน เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ
http://www.imdb.com/title/tt0090455/

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆในละครเรื่องนี้ก็คือละครเรื่องนี้ไม่ได้มีประเด็นเพียงแค่นางเอกตามแก้แค้นผู้มีอำนาจเท่านั้น เพราะละครเรื่องนี้ยังมี “ฆาตกรโรคจิต” ที่คอยตามฆ่านางเอกโดยไม่มีสาเหตุด้วย ความเข้มข้นสนุกสนานตื่นเต้นในละครเรื่องนี้ก็เลยอยู่ในระดับสูงมาก

--คุณ SENSITIVEMAN เป็นคนที่ใจดีมากจริงๆค่ะ

--ดูการแสดงบอลของซูโคว่าแล้วรู้สึกว่าการแสดงบอลเป็นอะไรที่ยากมากๆ เพราะการบังคับลูกกลมๆน่าจะบังคับได้ยากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ และไม่เปิดโอกาสให้มีลีลาพิสดารได้มากนัก

ชอบเพลงประกอบการแสดงของซูโคว่ามากๆ มันเหมือนเพลงประกอบหนังฝรั่งหรือละครทีวีในทศวรรษ 1970 ฟังแล้วนึกถึงอดีตอย่างรุนแรง

(พูดถึงอารมณ์ถวิลหาอดีต ก็จำได้ว่าเพิ่งมีนักเขียนคนนึงในกรุงเทพธุรกิจ เสาร์สวัสดีเขียนในทำนองที่ว่า ตอนนี้คนมีอารมณ์ถวิลหาอดีตกันมาก และในอีกไม่นานเราจะได้เห็นเด็กอายุ 8-9 ขวบพากันนั่งคร่ำครวญที่ชีวิตตัวเองในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนเมื่อ 3-4 ปีก่อน)

ส่วนการแสดง RIBBON ของรัสเซียนั้น ชอบท่านึงที่มีการขึงริบบิ้นไว้ที่ระดับสูง ตอนแรกนึกว่าผู้เล่นจะกระโดดข้ามริบบิ้นอันนั้นแบบเล่นโดดยางอีสุดมือเสียอีก

ส่วนในลิงค์ที่คุณ SENSITIVEMAN ให้มานั้น ลองเข้าไปดูแล้วสองอัน อันนึงเป็นการแสดง FREE HANDS ของ GERWIK จากเยอรมนี รู้สึกทึ่งกับรูปร่างของเธอมากๆ ส่วนอีกอันนึงเป็นการแสดงโชว์ของอาร์เซอร์ไบจัน ที่เอาผ้ายาวๆมาใช้ในการแสดงโชว์ รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่

ในอนาคตอยากให้มียิมนาสติกลีลาใหม่ที่ี่เพิ่มระดับความยากขึ้นมาอีกขั้นนึง นั่นก็คือผู้แสดงต้องเตรียมท่าเอาไว้หลายๆท่า แต่เลือกเพลงเองไม่ได้ ต้องออกไปยืนกลางฟลอร์และคิดท่าสดๆให้เข้ากับเพลงที่เปิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน บางคนอาจจะได้เพลงหมอลำ บางคนอาจจะได้เพลงมองโกเลีย และบางคนอาจจะได้เพลงของวง THE FUTURE SOUND OF LONDON พวกเธอต้องพยายามแสดงลีลาให้เข้ากับจังหวะเพลงให้ได้


ตอบคุณอ้วน

ฉลามหนุ่มที่อยากให้มาแหวกว่ายในสยามพารากอน
http://www.racegirl.nl/PourLaFemme/MaleModels/Images/swimgroup.jpg

สำหรับการบอกคนอื่นๆไปตรงๆว่าไม่พอใจนั้น บางทีก็ทำบ้างเหมือนกันถ้าหากคนนั้นอยู่ในสถานะต่ำกว่าตัวเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า เวลาที่คนกลุ่มนี้ทำอะไรไม่ถูกใจ ก็จะบอกไปตรงๆเลย

แต่มีบางกรณีที่คนนั้นอยู่ในสถานะเท่ากับตัวเอง แต่มีสมัครพรรคพวกเยอะ เราเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็ไม่กล้าบอกไปตรงๆเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเราจะบอกหรือไม่บอก เราก็ถูกคนกลุ่มนั้นรุมเกลียดชังเราอยู่แล้ว และถ้าหากผลประโยชน์และสวัสดิภาพในชีวิตของเรายังคงต้องเกี่ยวพันกับคนกลุ่มนั้น ก็เลยทำให้ไม่กล้าบอก รู้สึกว่า “ความรักที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” มันคือเหตุแห่งทุกข์จริงๆ ถ้าหากตัวเองไม่กลัวตาย ก็คงกล้าปะทะกับพวกมันไปแล้ว

แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกันที่บอกความไม่พอใจออกไป หลังจากอึดอัดคับข้องใจมานาน 2 ปี ผลก็คือเสียเพื่อนไปทั้งกลุ่มเลย แต่ก็รู้สีกมีความสุขดี รู้สึกเหมือนได้ตัดเนื้อร้ายออกไปจากจิตใจ เราอาจจะไม่มีวันได้มีความสุขแบบ “สนุก” กับเพื่อนๆกลุ่มนั้นอีก เราอาจจะต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง แต่เราก็ได้รับ “ความสงบทางใจ” เป็นของตอบแทน (เพื่อนๆกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจเหนือสวัสดิภาพในชีวิตของดิฉัน ดิฉันก็เลยกล้าบอกออกไป)

แต่สำหรับคนที่อยู่ในสถานะสูงกว่าตัวเองนั้น ดิฉันมักจะไม่ค่อยกล้าบอกตรงๆสักเท่าไหร่

--เข้าไปอ่านเว็บธรรมะของคุณอ้วนแล้ว รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวของ “โมหะ”มากๆ มันเป็นเรื่องของคนที่โง่มากๆราวกับอยู่ในละครแนว ABSURD

--ดูสถาปัตยกรรมในกรุงปักกิ่งแล้วน่าสนใจดี ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเคยดูหนังเรื่อง VACANCY (MATHIAS MUELLER, A+) ที่นำเสนอภาพของกรุงบราซิเลีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบราซิล หนังเรื่องนี้ทำให้ประทับใจกับบราซิเลียเหมือนกัน
http://www.greatestcities.com/1013pic/874/CP874.jpg/Com_as_estatuas,_Brasilia.JPG

ตึกอีกอันนึงที่ดูสวยดี รู้สึกว่าจะเรียกกันว่าตึกลิปสติกในสหรัฐ
http://www.archpaper.com/images/feature_03_05/pjohnson10.jpg


ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND

ดีใจมากค่ะที่ชอบ I’VE BEEN WAITING SO LONG กับ SOMERSAULT เพราะชอบหนังสองเรื่องนี้มากๆเหมือนกัน

SAM WORTHINGTON น่ารักสุดๆ

เข้าไปดูเว็บไซท์ของ 29 TH AND GAY แล้ว หนังดูน่ารักมากๆ ชอบที่พระเอกแต่งตัวเป็นกระต่าย
http://www.outtakesdallas.org/filmstills/327/JamesBunny.jpg

เคยดูหนังอินดี้ของสหรัฐเรื่องนึงชื่อ BUNNY (2000, MIA TRACHINGER, A++++) พระเอกในหนังเรื่องนี้ก็ต้องแต่งตัวเป็นกระต่ายเหมือนกัน
http://www.bunnyfilm.com/intro.html
http://www.indiewire.com/biz/photos/biz_030410madstone.jpg

หนังเรื่อง BUNNY เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต ดูจบแล้วไม่ได้ร้องไห้อย่างรุนแรงในทันที แต่หลังจากนั้น 2 เดือน อยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมาตอนตี 2 แล้วก็ร้องไห้อย่างรุนแรงเป็นเวลานานมากให้กับหนังเรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงส่งผลกระทบทางจิตแบบนี้

BUNNY มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงผู้ชายต่างชาติที่อพยพเข้ามาหางานทำในสหรัฐ พระเอกกับนางเอกได้งานทำ แต่เป็นงานที่แปลกมาก เพราะพวกเขาต้องแต่งตัวเป็นกระต่ายไปอยู่ตามมุมถนน และให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาสามารถเข้ามาร้องไห้ใส่พวกเขา แต่ “กระต่าย” ไม่สามารถพูดคุยหรือแสดงอาการตอบรับต่อคนเหล่านี้ได้เลย พวกเขาต้องนั่งเฉยๆเท่านั้น ไม่สามารถปลอบโยนคนที่มาร้องไห้ได้

ตลอดหนังเรื่องนี้ มีตัวละครที่มาร้องไห้กับกระต่ายเยอะมาก โดยหนังไม่บอกที่มาที่ไปเลยแม้แต่นิดเดียวว่าตัวละครเหล่านั้นร้องไห้เพราะอะไร

แต่ในที่สุด พอถึงตอนจบของหนังเรื่องนี้ ดิฉันก็รู้สึก “เข้าใจ” ตัวละครเหล่านั้นขึ้นมาในทันที แต่ไม่ใช่การเข้าใจ “เหตุผล” แต่เป็นการเข้าใจ “ความรู้สึก” เป็นการ “เข้าไปในจิตใจที่โศกเศร้าอาดูรจนเหลือคณานับ” ของตัวละครเหล่านั้น เราไม่รู้หรอกว่าตัวละครส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ร้องไห้ “เพราะอะไร” เรารู้แต่ว่าพอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว เราเองก็ “รู้สึก” ไม่ต่างไปจากตัวละครเหล่านั้น

--เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าฉากเปิดของ THE FAMILY THAT EATS SOIL อาจจะเป็นการสะท้อนแก่นเรื่องสำคัญเอาไว้เกือบหมดแล้วในฉากเปิดเพียงฉากเดียว เพราะฉากเปิดของเรื่องนี้เป็นฉากหญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนโดยผู้ชายหลายๆคนที่มีลักษณะแตกต่างกันไป จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง แต่จำได้ว่าผู้ชายที่ข่มขืนเธอคนแรกเป็น “บาทหลวง” ส่วนคนสุดท้ายเป็น “หุ่นยนต์”

คิดว่าหญิงสาวในฉากเปิดคงเป็นตัวแทนของประเทศฟิลิปปินส์ ที่ตกเป็นเหยื่อของอะไรหลายๆอย่าง เริ่มตั้งแต่สถาบันศาสนาที่มาพร้อมกับการที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปน และเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่ฟิลิปปินส์ก็อาจตกเป็นเหยื่อของสังคมวัตถุนิยม

และพอนำมาเทียบกับตัวละครในครอบครัวแล้ว ก็อาจจะพบกับความสอดคล้องกันอยู่บ้าง เพราะตัวละคร “ปู่” ในหนังเรื่องนี้เป็นผีดิบซอมบี้ที่ใส่ชุดสีขาว มองเผินๆเหมือนกับเขาเป็นเทพเจ้าที่ไม่ยอมทำอะไรเลยนอกจากอยู่เฉยๆ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเฉยๆ และในยามว่างเขาก็ออกเดินร่อนเร่ไปตามท้องถนนโดยไม่ยอมทำอะไร ส่วน “ทารก” ในหนังเรื่องนี้ก็สนใจการช้อปปิ้ง

Saturday, December 17, 2005

RASINAH: THE ENCHANTED MASK (A+)

--เห็นน้อง lovejuice เปิดตัวหนังสือพร้อมกับนักเขียนหนุ่มๆรุ่นใหม่อีกหลายคน น่าอิจฉาจังเลย

--หนังเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ยิวในเบอร์ลิน ที่ดิฉันเคยเอ่ยถึงแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ ไปค้นชื่อเรื่องมาแล้ว มีชื่อว่า VOID & VOIDED VOID (1996, ERIK GOENGRICH, A) ค่ะ หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นที่การเน้นเสียงฝีเท้าของคนที่เดินในพิพิธภัณฑ์ เพราะผู้ชมจะได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินตึกๆๆๆ โดยไม่ได้ยินเสียงอื่นๆประกอบ และนักวิจารณ์ก็บอกว่าเสียงนี้ทำให้นึกถึงเสียงกองทัพเดินเท้าในยุคนาซี

ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ยิวแห่งนั้นคือ DANIEL LIBESKIND เขาเคยออกแบบฉากให้ละครเวทีเรื่อง SAINT FRANCIS OF ASSISI
http://www.daniel-libeskind.com/dbimg/jdbc/IMAGES/img_full.jpg?ID=222

และเคยออกแบบ THE DANISH JEWISH MUSEUM
http://www.daniel-libeskind.com/dbimg/jdbc/IMAGES/img_full.jpg?ID=241


--ส่วนหนังเกี่ยวกับเกย์ที่หลบหนีออกจากเวียดนามที่เคยเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้นั้น มีชื่อเรื่องว่า PIRATED (2000, NGUYEN TAN HOANG, A) โดยหนังเรื่องนี้เล่าประสบการณ์จริงตอนที่เขามีอายุ 7 ขวบ โดยเขากับครอบครัวและชาวเวียดนามอีกหลายคนนั่งเรือหนีออกจากเวียดนาม แต่เรือของเขากลับถูกโจรสลัดชาวไทยโจมตีหลายครั้งหลายหน แต่ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจากเรือของเยอรมัน และประสบการณ์ของเขาในตอนนั้นก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจกับ “HEROIC WHITE MUSCULAR MEN” อย่างรุนแรงมาก การได้รับความช่วยเหลือจากกลาสีหนุ่มๆผิวขาวรูปร่างกำยำบึกบึนของเยอรมันขณะที่เขาอายุ 7 ขวบเป็นประสบการณ์ที่ฝังใจเขาจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
http://www.sfcinematheque.org/calendar.shtml?x=42

ผลงานหนังเกย์ที่โดดเด่นอีกเรื่องหนึ่งของ NGUYEN TAN HOANG คือเรื่อง FOREVER BOTTOM! (1999, A) ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพในช่วงปลายปี 2001 เหมือนกัน
http://www.planetout.com/popcornq/db/getfilm.html?55016


ตอบน้อง ZM

ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำชม สำหรับในส่วนของรางวัลสาขา “อุปมาโวหาร” นั้น คิดว่าหลายคนคงเห็นพ้องต้องกันว่ารางวัลนี้ควรเป็นของคุณอ้วน สำหรับการเปรียบเทียบขนาดจอโรงภาพยนตร์ EGV ปิ่นเกล้ากับขนาดอวัยวะเพศชายของ LUKAS RIDGESTON


ตอบคุณ tarence

--โฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหากคุณทาเรนซ์กลัวรอยยิ้มของดิฉัน เพราะฉะนั้นเวลาดิฉันเจอคุณทาเรนซ์ครั้งต่อไป ดิฉันจะพยายามทำหน้าเป็น “สฟิงซ์” แบบที่ ISABELLE HUPPERT ชอบทำแล้วกันค่ะ คนจะได้ไม่กลัวแผนชั่วในใจดิฉัน

ตัวอย่างใบหน้าของ ISABELLE HUPPERT จากหนังเรื่อง THE WINGS OF THE DOVE (1981, BENOIT JACQUOT)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/12/66/18454685.jpg

บทหนังเรื่องนี้เขียนโดย WIM WENDERS + PETER HANDKE (THE LEFT-HANDED WOMAN, ABSENCE) โดยดัดแปลงมาจากนิยายของ HENRY JAMES และบทกวีของ RAINER MARIA RILKE

--จำได้แล้วค่ะว่าเล็กเซียวหงส์เวอร์ชันที่ได้ดูนำแสดงโดยว่านจื่อเหลียง ซึ่งเล่นได้น่ารักมากๆ ปกติดิฉันไม่ค่อยชอบว่านจื่อเหลียงเท่าไหร่ แต่พอเขามารับบทเล็กเซียวหงส์ ก็รู้สึกว่าเขาดูดีมากๆ ส่วนบทนางเอกรู้สึกว่าจะเล่นโดยเฉินซิ่วจู (ไม่แน่ใจเหมือนกัน) โดยละครเล็กเซียวหงส์ชุดนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกาะลึกลับที่เจ้าเกาะมีวิทยายุทธสูงมาก

--“เวลุลี” มาจากละครเรื่อง “เพลิงพ่าย” ค่ะ นางเอกที่รับบทเป็น “เวลุลี” เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกดีใจมากที่คุณ TARENCE บอกว่าละครเรื่องนี้ดังและมีคนจำตัวละครตัวนี้กันได้เยอะ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าละครเรื่องนี้ดังหรือเปล่า แต่ถ้าหากมันดัง ดิฉันก็คิดว่าละครเรื่องนี้อาจจะถือเป็น CULT CLASSIC ได้ เพราะละครเรื่องนี้แทบไม่มีคุณค่าทางศิลปะเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันกลับติดตาตรึงใจและสร้างความประทับใจอย่างมิรู้ลืมเลือนให้แก่ผู้ชมบางกลุ่ม กลุ่มที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสาวกของละครเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีดิฉันอยู่ด้วย

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “เพลิงพ่าย” โด่งดัง แต่โดยส่วนตัวนั้น ดิฉันชอบ “เวลุลี” นางเอกหนังเรื่องนี้มากค่ะ มันไม่ค่อยเหมือนนางเอกละครไทยเรื่องอื่นๆ ในละครเรื่อง “เพลิงพ่าย” นั้น มีตัวละครที่เหมือน “นางเอกละครไทย” อยู่อย่างน้อย 3 ตัว แต่ทั้งสามตัวก็ถูกเวลุลีฆ่าตาย (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) หมดเลย ตั้งแต่ “ไอลดา” (จามจุรี เชิดโฉม) ซึ่งเป็นหญิงสาวที่จิตใจงดงามที่สุด, “นางพยาบาล” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ฉลาดล้ำลึก และ “หญิงสาวหน้าด่าง” (ไปรมา รัชตะ) ซึ่งเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารเห็นใจมากๆ ตอนที่ดูละครเรื่องนี้ ดิฉันไม่รู้เนื้อเรื่องล่วงหน้ามาก่อนเลย เพราะฉะนั้นขณะที่ดูก็เลยรู้สึกว่ามัน SUPER SURPRISE มากๆ ตอนแรกนึกว่าไอลดาคือนางเอก แต่ต่อมาเธอก็ถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตาย ต่อมาก็นึกว่านางพยาบาลต้องเป็นนางเอกแน่ๆ แต่ก็ถูกฆ่าตายอีก ตอนหลังก็คิดว่าหญิงสาวหน้าด่างต้องเป็นนางเอก แต่เธอก็ถูกฆ่าตายอีกเช่นกัน สุดยอดมากๆค่ะละครเรื่องนี้

ตัวละครอย่าง “เวลุลี” ให้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยเหมือน เพราะในบางครั้ง เวลาที่ดิฉันต้องเผชิญหน้ากับศัตรู แล้วรู้สึกกลัว ดิฉันก็จะคิดถึง “เวลุลี” ดิฉันจะถามตัวเองว่า “ถ้าหากเวลุลีมาอยู่ในสถานการณ์นี้ เธอจะกลัวศัตรูคนนี้มั้ย” และดิฉันก็คิดว่าเวลุลีคงจะคิดในใจว่า “คนอย่างนี้น่ะเหรอ ไม่คณามือฉันหรอก” พอคิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวศัตรูก็จะหายไปจากจิตใจดิฉันในทันที


ตอบคุณ TARENCE + CHRIS’S GIRLFRIEND

--ดีใจเหมือนกันที่คุณทาเรนซ์ก็เป็นเหมือนกับดิฉัน รู้สึกว่าในบางครั้ง เราก็ไม่สามารถใช้ความดีขจัดความชั่วออกไปจากใจเราได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใช้ “ความชั่วที่ให้โทษน้อย” (ซึ่งก็คือความขี้เกียจ) ขจัด “ความชั่วที่ให้โทษมาก” (ซึ่งก็คือความโกรธ) ออกไปจากใจเรา แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละคน เพราะแต่ละคนก็มีสัดส่วนของกิเลสแตกต่างกันไป คงต้องศึกษาวิเคราะห์ตัวเองให้เข้าใจ เข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง และคิดหาวิธีที่เหมาะสมสำหรับตัวเองในการแก้ไขตัวเอง

สำหรับดิฉันนั้น รู้สึกว่าตัวเองจะมีโทสะและมีความขี้เกียจอยู่ในตัวเองสูงมาก ก็เลยใช้ความขี้เกียจมาดับโทสะซะเลย จริงๆแล้วความขี้เกียจไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะดิฉันเรียนจบปริญญาตรีมา 10 ปีแล้ว ก็ขี้เกียจ ไม่ได้เรียนต่อเสียที ในขณะที่เพื่อนๆและรุ่นน้องต่างก็เรียนจบปริญญาเอกกันไปหลายคนแล้ว แต่ในบางครั้ง ความขี้เกียจก็ให้ผลดีอย่างที่สุดของที่สุด เพราะถ้าหากดิฉันไม่ใช่คนขี้เกียจ (แก้แค้น) ดิฉันก็คงตายไปนานหลายปีแล้ว

--บางครั้งรู้สึกโกรธคนบางคนมากๆ แต่พอนอนหลับไปตื่นนึง ความโกรธนั้นก็หายไป แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ ขุ่นข้องหมองใจ ไม่ใช่ความโกรธแค้น แต่เป็น “ความกังวล” ว่าทำยังไงเราถึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อคนๆนี้ หรือคนประเภทนี้อีก

--ประโยค “บุณคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” ในละครทีวีฮ่องกง เป็นประโยคที่น่าสนใจดี เพราะในชีวิตจริงนั้น คนที่เรารู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณอย่างรุนแรงและคนที่เรารู้สึกอยากแก้แค้นอย่างรุนแรงคือคนๆเดียวกัน คนที่ทำร้ายเราอย่างรุนแรงเมื่อ 15 ปีก่อนคือคนๆเดียวกับที่เคยช่วยชีวิตเราเมื่อ 20 ปีก่อน คนที่กลั่นแกล้งเราอย่างรุนแรงคือคนๆเดียวกับที่เคยช่วยเหลือเราในยามลำบาก

กับคนประเภทนี้ ดิฉันมักจะ

1.ออกห่างจากเขาให้มากที่สุด และต้องไม่พึ่งพาอาศัยอะไรจากเขาอีกต่อไป ยิ่งเราติดหนี้บุญคุณคนประเภทนี้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งซวยซวยซวยเท่านั้น เราต้องพยายามยืนหยัดอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา เราติดหนี้บุญคุณเขาไปมากพอแล้ว แต่เราจะต้องไม่ติดหนี้อะไรเขาอีกเป็นอันขาด

2.เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอยากแก้แค้นคนประเภทนี้ ดิฉันก็จะบอกตัวเองให้ล้มเลิกความคิดนี้ซะ โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า “เขามีพระคุณกับเรามาก เพราะฉะนั้นฉันจะตอบแทนพระคุณเขาด้วยการไม่แก้แค้นเขา”

--อารมณ์หงุดหงิดโกรธเกลียดคนบางคนที่เรารักมาก บางครั้งดิฉันก็พบว่ามันมาจากการที่เราต้องการควบคุมความคิดของเขา พอเราควบคุมความคิดของเขาไม่ได้ เราก็เลยโกรธเขาโดยไม่สมควร

หลายๆครั้งคนที่เรารัก เขา “คาดหวัง” อะไรบางอย่างจากเรา เขาคาดหวังให้เราเป็นอย่างนู้น ให้เราเป็นอย่างนี้ แต่เรารู้ว่าเราไม่มีวันเป็นอย่างที่เขาต้องการให้เราเป็นได้ เราตายเสียดีกว่าที่จะทำตามความปรารถนาบางอย่างของคนที่เรารัก

ดิฉันมักรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าดิฉัน “ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจ” ให้คนบางคนที่ดิฉันรักได้ และความรู้สึกที่ว่าตัวเอง “สร้างความผิดหวัง” อยู่ตลอดเวลานี้เอง อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกหงุดหงิดใส่คนที่ดิฉันรัก มันเหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่ดิฉันได้เห็นหน้าคนที่ดิฉันรัก มันเป็นการตอกย้ำดิฉันไปพร้อมๆกันว่า “ดิฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ” การได้เห็นหน้าคนที่ดิฉันรัก กลับกลายเป็นการสร้างความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ตัวเองชั่วร้าย ตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป

แต่ตอนหลังฉันก็คิดได้ว่าความทุกข์ของฉันเกิดจากการที่ฉันต้องการจะควบคุมความคิดของคนอื่น และฉันไม่สามารถดับทุกข์นี้ได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงคนอื่น เขาอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจความสามารถของดิฉัน แต่ฉันสามารถดับทุกข์นี้ได้ด้วยการเลิก “อยาก” จะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นซะ เขาจะคิดอะไร ก็ช่างเขาไป

เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนบางคนที่ดิฉันรักจะคิดอย่างไรกับดิฉัน เขาจะคิดว่าดิฉันเลว ก็ช่างเขา ดิฉันเลิก “อยาก” ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาแล้ว ดิฉันเลิก “อยาก” ที่จะได้รับความรักจากเขาแล้ว ดิฉันเลิกอยากที่จะเปลี่ยนแปลงเขาแล้ว ดิฉันเปลี่ยนแปลงได้เพียงตัวดิฉันเองเท่านั้น และก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ด้วยการดับความอยากควบคุมความคิดของคนอื่นซะ

เคยรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากๆ ตอนที่ถูกคนที่ตัวเองรัก ด่าว่าดิฉัน “โง่และไร้ความสามารถ” อยู่หลายครั้งหลายหน รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า รู้สึกเลวร้ายอย่างรุนแรงกับตัวเอง แต่ตอนหลังก็คิดได้ว่า “ถึงดิฉันจะโง่ แต่ดิฉันก็ขยัน (ในบางเรื่อง) ถึงดิฉันจะไร้ความสามารถ แต่ดิฉันก็มีความพยายาม” และถึงแม้จะไม่มีคนมารักเรา ถึงแม้ ‘คนที่เรารัก’ จะเกลียดชังเรา เราก็รักตัวเราเอง เรารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะคิดว่าฉัน “โง่และไร้ความสามารถ” ก็ช่างเขาไป มันจะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือว่าฉันไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่สนใจความคิดของเขาแม้แต่นิดเดียว และฉันก็ไม่ต้องขอข้าวเขากินด้วย และนั่นก็ทำให้ฉันมีความสุขที่สุด

YOU CAN HATE ME AS MUCH AS YOU CAN. I JUST DON’T CARE. BECAUSE I LOVE MYSELF AND MY TEDDY BEAR.
http://www.freephoto1.com/photo/photo-teddy-bear-2.jpg

--ส่วนภาพประกอบผู้หญิงสามภาพนั้น ภาพแรกเป็นของ THERESA RUSSELL, ภาพที่สองเป็นของ BARBARA STANWYCK ส่วนภาพที่สามเป็นของ JANE GREER ดาราหญิงทั้งสามคนนี้ถนัดในการรับบทเป็น FEMME FATALE ค่ะ


--ได้ดู AEON FLUX แล้วค่ะ ชอบช่วงแรกๆของหนังมาก ช่วงหลังๆของหนังก็ดีในแง่ของ “เนื้อเรื่อง” แต่ในแง่ “ความบู๊แบบดุเด็ดเผ็ดมันส์” แล้วรู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้น “สุดขีด” AEON FLUX อาจจะเป็นหนังที่น่าสนใจในแง่แนวคิด, ความเป็นไซไฟ และโดยเฉพาะโปรดักชันดีไซน์ แต่ในแง่ความเป็นหนังบู๊แล้ว รู้สึกว่ามันยังไม่สะใจ

เคยเขียนถึง AEON FLUX ไว้บ้างเล็กน้อย อ่านได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=23227

รู้สึกชอบทั้ง ELEKTRA, AEON FLUX และ CATWOMAN ในระดับ A แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่ชอบถึงขั้น A+ เป็นเพราะว่าฉากบู๊ในช่วงท้ายของหนังมันไม่ “มันส์สุดๆ” โดยเฉพาะใน ELEKTRA ที่มีการออกแบบตัวละครผู้ร้ายออกมาได้สุดยอดมากๆ สุดยอดจนทำให้รู้สึก “ไม่เชื่อ” อย่างรุนแรงว่าผู้ร้ายแต่ละตัวในหนังมันจะตายกันได้ง่ายๆขนาดนั้น โถ หนังเรื่องนี้ (Elektra) อุตส่าห์ทำให้เรารู้สึกหลงรักผู้ร้ายขนาดนี้ (โดยเฉพาะยัย “ไทฟอยด์”) เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้ผู้ร้ายตาย ก็ขอให้มันตายอย่างสมเกียรติหน่อยสิ


--น่าเสียดายที่คุณเจ้าชายน้อยไม่สามารถขึ้นมากรุงเทพได้ตั้งแต่วันพุธที่ 21 ธ.ค. ไม่งั้นจะได้ดู KHAVN DE LA CRUZ

หนังบางเรื่องของ KHAVN DE LA CRUZ มีฉากที่ช็อคและรุนแรงมากๆเหมือนกัน อย่างเช่นฉากตัวละครคนนึงใช้คีมตัดอวัยวะเพศชายของชายหนุ่มอีกคน (คิดถึงฉากนี้ทีไรก็รู้สึกอยากเป็นลม) แต่ไม่ได้โหดแบบสมจริงอย่างหนังเรื่อง PAIN (1994, ERIC KHOO, A+) เพราะหนังของ KHAVN จะมีการใส่ความฮาแทรกเข้ามาตลอด

สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างหนังของ KHAVN กับ ULRIKE OTTINGER ก็คือตัวละครของเขาพร้อมจะตายและเกิดใหม่สลับกันไปมาในแต่ละฉาก ในหนังเรื่อง THE FAMILY THAT EATS SOIL นั้น ตัวละครบางตัวดูเหมือนจะฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่าตาย แต่ในฉากต่อมาพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามเดิมต่อไป

ฉากนึงที่ฮามากๆก็คือฉากเด็กทารกบอกพ่อกับแม่ว่าเขาจะกระโดดลงมาจากโต๊ะ แต่พ่อกับแม่ไม่สนใจเขาเลย เด็กทารกก็เลยกระโดดลงมาหัวกระแทกพื้นเลือดท่วม แต่พ่อแม่ก็ยังไม่สนใจต่อไป

--ตอนที่ดู KING KONG อยู่ดีๆก็นึกถึง OTTINGER ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะอยากให้เรือในหนังเรื่อง KING KONG แล่นสวนกับเรือของ MADAME X ในระหว่างการเดินทาง

--หลังจากดู THE FAMILY THAT EATS SOIL เสร็จ และได้อ่านเรื่องย่อ+เกร็ดของหนังเรื่องนี้ ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหนังเรื่องนี้คงสะท้อนประวัติศาสตร์ของ ฟิลิปปินส์ด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิด “พ่อ” ในหนังเรื่องนี้เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งสะท้อนการที่ฟิลิปปินส์เคยตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐมานานกว่า 50 ปี, แม่เป็นชาวสเปน ซึ่งสะท้อนการเคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนกว่า 300 ปี, ลูกชายในเรื่องนี้ชอบจับชาวจีนมาทรมานและฆ่า ซึ่งอาจสะท้อนเหตุการณ์บางอย่างในยุค MARCOS, ส่วนลูกสาวในหนังเรื่องนี้คงสะท้อนปวศ.ฟิลิปปินส์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ทหารญี่ปุ่นเคยบุกเข้ามาข่มขืนผู้หญิงเป็นจำนวนมาก เพราะลูกสาวในหนังเรื่องนี้ชอบแต่งหน้าแต่งตัวคล้ายคนญี่ปุ่น และชอบพูดพร่ำเพ้อ+ทำอาการเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกข่มขืน ทั้งๆที่เธออยู่ตามลำพังคนเดียวในห้อง อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของเรื่อง เธอถูกข่มขืนจากกลุ่มคนคลั่งศาสนา (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจุดนี้สื่อถึงอะไร)
http://www.kamiasroad.com/khavn/lupa.htm

--รู้สึกว่า THE FAMILY THAT EATS SOIL สะท้อนปวศ.ฟิลิปปินส์ได้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ดี แทนที่จะสะท้อนปวศ.อย่างตรงไปตรงมา เพราะหนังเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องได้ทำหน้าที่เล่าปวศ.อย่างตรงไปตรงมาไปเรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น

1.JOSE RIZAL (1998, MARILOU DIAZ-ABAYA, B+) ที่นำแสดงโดย CESAR MONTANO (THE GREAT RAID) รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะเคยมาฉายที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 11 ก.ย.ปี 2001 (จำได้ว่าดูหนังเรื่องนี้เสร็จ พอกลับถึงอพาร์ทเมนท์ ก็ได้ดูข่าวเวิลด์เทรดพอดี) หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ภายใต้การปกครองของสเปน สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับ JOSE RIZAL (1861-1896) วีรบุรุษนักปฏิวัติของฟิลิปปินส์

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CESAR MONTANO ได้ที่นี่
http://www.manilatimes.net/national/2005/jan/16/yehey/weekend/20050116week1.html


2.RIZAL IN DAPITAN (1997, AMABLE AGUILUZ, A-)
นำแสดงโดย ALBERT MARTINEZ และมีเนื้อหาเกี่ยวกับ JOSE RIZAL เหมือนกัน หนังเคยมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ

ALBERT MARTINEZ
http://www.entrepreneur.com.ph/byob/images/fun_in_commercials.jpg

AMABLE AGUILUZ หรือ TIKOY AGUILUZ เคยกำกับหนังเรื่อง BOATMAN (1984) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มใสซื่อในชนบทที่เดินทางมาทำงานเป็นนักแสดงเซ็กส์โชว์ โดยฉากเซ็กส์โชว์ในเรื่องนี้ได้รับคำชมว่าให้อารมณ์อีโรติกมากๆ
http://us.imdb.com/title/tt0159248/

(หนังฟิลิปปินส์ที่ใกล้เคียงกับ BOATMAN อีกเรื่องหนึ่งก็คือ PRIVATE SHOW (1986, CHITO S. RONO))
http://us.imdb.com/title/tt0427693/


3.MARKOVA: COMFORT GAY (2000, GIL PORTES)
http://us.imdb.com/title/tt0292097/
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=4139

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ “ชาย” ฟิลิปปินส์หลายคนที่ถูกทหารญี่ปุ่นข่มขืนและบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามให้กองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง


4.EVOLUTION OF A FILIPINO FAMILY (2005, LAV DIAZ)
หนังเรื่องนี้มีความยาว 647 นาที หรือ 10 ชั่วโมง 47 นาที และเล่าเรื่องราวชีวิตประชาชนในยุค MARCOS คิดว่าหนังเรื่องนี้คงยิ่งใหญ่พอๆกับละครชุด HEIMAT (1984, EDGAR REITZ) ของเยอรมันตะวันตก ที่บันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศชาติเหมือนกัน โดย HEIMAT มีความยาว 924 นาที หรือ 15 ชั่วโมง 24 นาที (วิดีโอละครชุด HEIMAT มีให้ยืมที่ห้องสมุดสถาบันเกอเธ่ มีซับไตเติลภาษาอังกฤษ)

ดีวีดี HEIMAT มีขายแล้วในสหรัฐ โดยมีจำนวนทั้งหมด 6 แผ่น
http://images.amazon.com/images/P/B0009ZE944.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

5.IMELDA (RAMONA S. DIAZ, A)


--พ่อใน THE FAMILY THAT EATS SOIL เป็นฆาตกรโรคจิตที่ชอบเข้าไปฆ่าเด็กที่เป็นผู้ป่วยตามโรงพยาบาล เรื่องย่อของหนังบอกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ชื่อ TROMA ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหนังเรื่องนี้อาจจะได้รับอิทธิพลจากหนังของค่าย TROMA ด้วยเหมือนกัน

--ฉากของพ่อที่ชอบมากๆในเรื่องนี้คือฉากที่พ่อกิน “ดิน” กับสมาชิกครอบครัวอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แล้วก็บอกให้คนอื่นช่วยส่งขวดน้ำปลามาให้หน่อย แต่ไม่มีใครส่งให้ พ่อก็เลยไปจับปลาที่แม่น้ำเพื่อเอามาทำน้ำปลา พอทำน้ำปลาเสร็จก็กลับมากินข้าวต่อ

--ลูกสาวในเรื่องนี้มีอาการไม่อยากกินข้าว และ (ถ้าหากอ่านซับไตเติลไม่ผิด) เธอบอกว่าบางทีที่เธอไม่อยากกินข้าวอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ชอบมองหัวนมของเด็กทารกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และอาจจะเป็นเพราะว่าเธอยังคงอมน้ำกามอยู่เต็มปาก เธอก็เลยยังไม่อยากกินข้าว

--รู้สึกว่า OLAF MOLLER นักวิจารณ์ใน FILM COMMENT เขียนวิจารณ์หนังเรื่อง MONDOMANILA: INSTITUTE OF POETS (2005, KHAVN DE LA CRUZ, A+) โดยเปรียบเทียบกับหนังสำคัญของสองเรื่องของฟิลิปปินส์ ซึ่งก็คือเรื่อง MANILA IN THE CLAWS OF LIGHT (1975, LINO BROCKA) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์หนุ่มชื่อ JULIO (BEMBOL ROCO) กับหนังเรื่อง MANILA BY NIGHT (1980, ISHMAEL BERNAL) ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเกย์ฟิลิปปินส์

MANILA IN THE CLAWS OF NEON
http://us.imdb.com/title/tt0073363/

MANILA BY NIGHT นำเสนอชีวิตของตัวละครหลายๆตัว หนังเรื่องนี้ก็เลยมักได้รับการเปรียบเทียบกับ NASHVILLE ของโรเบิร์ต อัลท์แมน
http://movies.groups.yahoo.com/group/noelmoviereviews/message/31


--เห็นคนสนใจหนังเกย์คาวบอยเรื่อง BROKEBACK MOUNTAIN กันเยอะแยะ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีหนังกึ่งๆเลสเบียน/คาวบอยออกมาบ้างเหมือนกัน แต่ดิฉันยังไม่ได้ดู ซึ่งก็คือเรื่อง EVEN COWGIRLS GET THE BLUES (1994, GUS VAN SANT) ที่นำแสดงโดยอูม่า เธอร์แมนกับ เรน ฟีนิกซ์ และหนังเรื่อง COWBOY JESUS (1998, JAMIE YERKES) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคาวบอยเลสเบียนผิวดำ
http://www.planetout.com/popcornq/db/getfilm.html?55011

JAMIE YERKES เคยกำกับหนังเกย์เรื่อง SPIN THE BOTTLE (2000, A+)


หนังและวิดีโอที่ได้ดูช่วงนี้

1.SHADOWS (1959, JOHN CASSAVETES, A+)

2.RASINAH: THE ENCHANTED MASK (2004, RHODA GRAUER, A+)

หนังสารคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงชราที่เป็นนักเต้นรำในอินโดนีเซีย เธอมีอิทธิฤทธิ์สูงมากๆ

3.KING KONG (2005, PETER JACKSON, A+)

4.WALKAROUND (1970, NICOLAS ROEG, A+)

5.THE TENTH DANCER (1993, SALLY INGLETON, A)
http://www.wmm.com/filmcatalog/pages/c64.shtml

6.MAKYONG: PAGEANT OF THE ANCIENTS (B+)

7.SHOWER (1999, ZHANG YANG, B+)

เคยดูหนังของ ZHANG YANG อีกสองเรื่อง ซึ่งก็คือ QUITTING (2001, B-) กับ SPICY LOVE SOUP (1997, A-) รู้สึกว่า QUITTING เป็นหนังที่มีไอเดียการนำเสนอที่ดีมากๆ แต่รู้สึกว่าอารมณ์ของหนังมันล้นเกินกว่าที่ดิฉันต้องการ และก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับอารมณ์ของ SHOWER ส่วน SPICY LOVE SOUP นั้น จำอะไรในหนังไม่ค่อยได้มากนัก จำได้แต่ว่าตัวละครชายหนุ่มตากล้องในหนังเรื่องนี้หล่อน่ารักมาก

8.APRIL SNOW (2005, HUR JIN-HO, B)


MOST DESIRABLE ACTOR

1.ANTHONY RAY—SHADOWS

ในหนังเรื่อง SHADOWS แอนโธนี่ เรย์รับบทเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ตกหลุมรักผู้หญิงผิวดำ และเขาก็น่ารักอย่างสุดๆ ไม่แพ้พระเอกหนังเรื่อง GUESS WHO (2005, KEVIN RODNEY SULLIVAN, A+) ที่ตกหลุมรักผู้หญิงผิวดำเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี ชีวิตจริงของแอนโธนี่ เรย์อาจจะน่าสนใจกว่าในหนัง เพราะเขาแต่งงานกับแม่เลี้ยงของตัวเอง เขาเป็นลูกชายของ NICHOLAS RAY ผู้กำกับหนังชื่อดัง และแม่เลี้ยงของเขาก็คือ GLORIA GRAHAME ดาราหญิงชื่อดัง แต่หลังจากพ่อของเขาหย่ากับแม่เลี้ยงได้นาน 8 ปี เขาก็เลยแต่งงานกับแม่เลี้ยงเสียเอง โอ ดิฉันรู้สึกอิจฉา GLORIA GRAHAME อย่างสุดๆเลยค่ะที่สามารถคว้าลูกชายหนุ่มหล่อน่ารักของสามีเก่ามาเป็นสามีได้ แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้

2.THOMAS KRETSCHMANN—KING KONG
http://img288.imageshack.us/img288/3049/thomask5mj.jpg
http://www.kino.de/pix/newspics/GALERIE/179108_2.jpg

3.JAMIE BELL (BORN 1986)—KING KONG
ชอบความสัมพันธ์ระหว่างเจมี เบลล์กับชายหนุ่มผิวดำในหนังเรื่องนี้มากๆ
http://www.alternativenation.net/gallery/files/1/DickJamieBellcloseup.jpg

FAVORITE ACTRESS
LELIA GOLDONI—SHADOWS


FAVORITE MUSIC
CHARLES MINGUS--SHADOWS


--ดู KING KONG แล้วก็นึกถึงหนังยุคโบราณบางเรื่อง ซึ่งรวมถึง

1.TABU (1931, FW MURNAU, A-)
หนังเกี่ยวกับชาวเกาะในดินแดนอันห่างไกล จุดเด่นของหนังคือการเน้นมัดกล้ามของชาวเกาะหนุ่มๆ

2.DAINAH LA METISSE (1931, JEAN GREMILLON)
หนังเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมบนเรือเดินสมุทร


--นอกจาก KING KONG แล้ว ตอนนี้ยังมีหนังรีเมคอีกเรื่องที่น่าดูมาก นั่นก็คือเรื่อง TRAPPED BY THE MORMONS (2005, IAN ALLEN) ซึ่งเป็นหนังซอมบี้ที่รีเมคจากหนังชื่อเดียวกันในปี 1922
http://www.trappedbythemormons.com/
http://www.trappedbythemormons.com/images/stills/8isoldicommands.gif

จุดเด่นของหนังเรื่อง TRAPPED BY THE MORMONS (2005) คือการให้ JOHNNY KAT ซึ่งเป็น DRAG KING (ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย) มารับบทเป็นผู้ชายในเรื่องนี้ นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังได้ฉายในเทศกาล MORMONSPLOITATION ที่รวบรวมหนังเกี่ยวกับนิกายมอร์มอนด้วย
http://www.timesandseasons.org/?p=2768

TRAPPED BY THE MORMONS (1922, H.B. PARKINSON) เป็นหนังเงียบ, ขาวดำที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านนิกายมอร์มอน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนในนิกายมอร์มอนที่ออกล่าจับผู้หญิง

หนังที่ล้อเลียนมอร์มอนอีกเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในเร็วๆนี้ก็คือ MILLIONS (DANNY BOYLE, A-)

ส่วนหนังเกี่ยวกับ DRAG KINGS ที่อยากดูมากๆ ก็คือหนังสารคดีเรื่อง VENUS BOYZ (2003, GABRIELLE BAUR) ที่เคยคว้ารางวัลตามเทศกาลหนังเกย์และเลสเบียนมาแล้ว
http://images.amazon.com/images/P/B00020HBWI.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


--ดีวีดีหนังที่อยากดูมากๆในตอนนี้ก็คือเรื่อง SINS OF THE FLESHAPOIDS (1965, MIKE KUCHAR, เขียนบทโดย MIKE กับ GEORGE KUCHAR) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกอนาคต ที่ซึ่งมนุษย์ไม่ทำอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากแสวงหาความสุขทางเพศ และปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานทุกอย่างแทน แต่ในเวลาต่อมาหุ่นยนต์ก็เริ่มร่วมรักกันเองได้ด้วย และเริ่มให้กำเนิดทารกหุ่นยนต์บ้างเช่นกัน
http://images.amazon.com/images/P/B000BKJ77Q.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

MIKE KUCHAR และ GEORGE KUCHAR เป็นสองฝาแฝดนักสร้างหนังเกย์ชื่อดัง รู้สึกว่าหนังของเกย์ฝาแฝดคู่นี้จะเฮี้ยนมากๆ ไม่แพ้หนังของ KENNETH ANGER หรือ ANDY WARHOL ในยุคเดียวกัน

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GEORGE KUCHAR ได้ที่
http://www.glbtq.com/arts/kuchar_g.html
http://us.imdb.com/name/nm0473647/
http://www.brightlightsfilm.com/26/kuchar1.html

GEORGE KUCHAR เริ่มกำกับหนังเกย์เรื่องแรกขณะที่เขาอายุเพียง 12 ปี โดยเขาขโมยเสื้อผ้าของแม่มาใช้ในหนัง และส่งผลให้เขาถูกแม่ตีอย่างรุนแรง

ตอนนี้ GEORGE KUCHAR กำกับภาพยนตร์ไปแล้ว 214 เรื่อง

ในระหว่างการกำกับหนังเรื่อง NIGHT OF THE BOMB (1961) ดาราหญิงในเรื่องไม่ยอมแสดงฉากเปลือย GEORGE KUCHAR ก็เลยให้ตากล้องถ่ายก้นของเขาเพื่อใช้แทนก้นของดาราหญิงคนนั้น

--นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหนังเรื่องไหนมีฉาก AQUARIUM สวยๆบ้าง หนังที่มีฉาก AQUARIUM ที่พอนึกออกก็คือเรื่อง CLOSER (A)

ส่วนหนังที่มีฉาก AQUARIUM ที่ดูน่ากลัวจนจำได้ไม่มีวันลืมก็คือหนังเยอรมันเรื่อง HEAVEN OF GLASS หรือ THE GLASS SKY (1987, NINA GROSSE, A+++++) เพราะหนังแนวฟิล์มนัวร์เรื่องนี้หลอนมาก และ AQUARIUM ในหนังเรื่องนี้มีปลาที่หน้าตาน่ากลัวมาก หนังเรื่องนี้สร้างจากบทประพันธ์ของ JULIO CORTAZAR ถ้าจำไม่ผิด หนังสือ “บุ๊คไวรัส 1” มีบทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ด้วย โดยอยู่ในหมวด “C” (ตามชื่อของ CORTAZAR)

--ส่วนหนังที่มีฉาก “สระว่ายน้ำที่มีการแสดงปลาโลมา” ที่ชอบมากคือหนังญี่ปุ่นเรื่อง AUGUST IN THE WATER (1995, SOGO ISHII, A+)
http://movies2.nytimes.com/gst/movies/movie.html?v_id=135726