--เห็นน้อง lovejuice เปิดตัวหนังสือพร้อมกับนักเขียนหนุ่มๆรุ่นใหม่อีกหลายคน น่าอิจฉาจังเลย
--หนังเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ยิวในเบอร์ลิน ที่ดิฉันเคยเอ่ยถึงแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ ไปค้นชื่อเรื่องมาแล้ว มีชื่อว่า VOID & VOIDED VOID (1996, ERIK GOENGRICH, A) ค่ะ หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นที่การเน้นเสียงฝีเท้าของคนที่เดินในพิพิธภัณฑ์ เพราะผู้ชมจะได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินตึกๆๆๆ โดยไม่ได้ยินเสียงอื่นๆประกอบ และนักวิจารณ์ก็บอกว่าเสียงนี้ทำให้นึกถึงเสียงกองทัพเดินเท้าในยุคนาซี
ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ยิวแห่งนั้นคือ DANIEL LIBESKIND เขาเคยออกแบบฉากให้ละครเวทีเรื่อง SAINT FRANCIS OF ASSISI
http://www.daniel-libeskind.com/dbimg/jdbc/IMAGES/img_full.jpg?ID=222
และเคยออกแบบ THE DANISH JEWISH MUSEUM
http://www.daniel-libeskind.com/dbimg/jdbc/IMAGES/img_full.jpg?ID=241
--ส่วนหนังเกี่ยวกับเกย์ที่หลบหนีออกจากเวียดนามที่เคยเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้นั้น มีชื่อเรื่องว่า PIRATED (2000, NGUYEN TAN HOANG, A) โดยหนังเรื่องนี้เล่าประสบการณ์จริงตอนที่เขามีอายุ 7 ขวบ โดยเขากับครอบครัวและชาวเวียดนามอีกหลายคนนั่งเรือหนีออกจากเวียดนาม แต่เรือของเขากลับถูกโจรสลัดชาวไทยโจมตีหลายครั้งหลายหน แต่ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจากเรือของเยอรมัน และประสบการณ์ของเขาในตอนนั้นก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจกับ “HEROIC WHITE MUSCULAR MEN” อย่างรุนแรงมาก การได้รับความช่วยเหลือจากกลาสีหนุ่มๆผิวขาวรูปร่างกำยำบึกบึนของเยอรมันขณะที่เขาอายุ 7 ขวบเป็นประสบการณ์ที่ฝังใจเขาจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
http://www.sfcinematheque.org/calendar.shtml?x=42
ผลงานหนังเกย์ที่โดดเด่นอีกเรื่องหนึ่งของ NGUYEN TAN HOANG คือเรื่อง FOREVER BOTTOM! (1999, A) ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพในช่วงปลายปี 2001 เหมือนกัน
http://www.planetout.com/popcornq/db/getfilm.html?55016
ตอบน้อง ZM
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำชม สำหรับในส่วนของรางวัลสาขา “อุปมาโวหาร” นั้น คิดว่าหลายคนคงเห็นพ้องต้องกันว่ารางวัลนี้ควรเป็นของคุณอ้วน สำหรับการเปรียบเทียบขนาดจอโรงภาพยนตร์ EGV ปิ่นเกล้ากับขนาดอวัยวะเพศชายของ LUKAS RIDGESTON
ตอบคุณ tarence
--โฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหากคุณทาเรนซ์กลัวรอยยิ้มของดิฉัน เพราะฉะนั้นเวลาดิฉันเจอคุณทาเรนซ์ครั้งต่อไป ดิฉันจะพยายามทำหน้าเป็น “สฟิงซ์” แบบที่ ISABELLE HUPPERT ชอบทำแล้วกันค่ะ คนจะได้ไม่กลัวแผนชั่วในใจดิฉัน
ตัวอย่างใบหน้าของ ISABELLE HUPPERT จากหนังเรื่อง THE WINGS OF THE DOVE (1981, BENOIT JACQUOT)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/12/66/18454685.jpg
บทหนังเรื่องนี้เขียนโดย WIM WENDERS + PETER HANDKE (THE LEFT-HANDED WOMAN, ABSENCE) โดยดัดแปลงมาจากนิยายของ HENRY JAMES และบทกวีของ RAINER MARIA RILKE
--จำได้แล้วค่ะว่าเล็กเซียวหงส์เวอร์ชันที่ได้ดูนำแสดงโดยว่านจื่อเหลียง ซึ่งเล่นได้น่ารักมากๆ ปกติดิฉันไม่ค่อยชอบว่านจื่อเหลียงเท่าไหร่ แต่พอเขามารับบทเล็กเซียวหงส์ ก็รู้สึกว่าเขาดูดีมากๆ ส่วนบทนางเอกรู้สึกว่าจะเล่นโดยเฉินซิ่วจู (ไม่แน่ใจเหมือนกัน) โดยละครเล็กเซียวหงส์ชุดนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกาะลึกลับที่เจ้าเกาะมีวิทยายุทธสูงมาก
--“เวลุลี” มาจากละครเรื่อง “เพลิงพ่าย” ค่ะ นางเอกที่รับบทเป็น “เวลุลี” เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกดีใจมากที่คุณ TARENCE บอกว่าละครเรื่องนี้ดังและมีคนจำตัวละครตัวนี้กันได้เยอะ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าละครเรื่องนี้ดังหรือเปล่า แต่ถ้าหากมันดัง ดิฉันก็คิดว่าละครเรื่องนี้อาจจะถือเป็น CULT CLASSIC ได้ เพราะละครเรื่องนี้แทบไม่มีคุณค่าทางศิลปะเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันกลับติดตาตรึงใจและสร้างความประทับใจอย่างมิรู้ลืมเลือนให้แก่ผู้ชมบางกลุ่ม กลุ่มที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสาวกของละครเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีดิฉันอยู่ด้วย
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “เพลิงพ่าย” โด่งดัง แต่โดยส่วนตัวนั้น ดิฉันชอบ “เวลุลี” นางเอกหนังเรื่องนี้มากค่ะ มันไม่ค่อยเหมือนนางเอกละครไทยเรื่องอื่นๆ ในละครเรื่อง “เพลิงพ่าย” นั้น มีตัวละครที่เหมือน “นางเอกละครไทย” อยู่อย่างน้อย 3 ตัว แต่ทั้งสามตัวก็ถูกเวลุลีฆ่าตาย (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) หมดเลย ตั้งแต่ “ไอลดา” (จามจุรี เชิดโฉม) ซึ่งเป็นหญิงสาวที่จิตใจงดงามที่สุด, “นางพยาบาล” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ฉลาดล้ำลึก และ “หญิงสาวหน้าด่าง” (ไปรมา รัชตะ) ซึ่งเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารเห็นใจมากๆ ตอนที่ดูละครเรื่องนี้ ดิฉันไม่รู้เนื้อเรื่องล่วงหน้ามาก่อนเลย เพราะฉะนั้นขณะที่ดูก็เลยรู้สึกว่ามัน SUPER SURPRISE มากๆ ตอนแรกนึกว่าไอลดาคือนางเอก แต่ต่อมาเธอก็ถูกกลั่นแกล้งจนต้องฆ่าตัวตาย ต่อมาก็นึกว่านางพยาบาลต้องเป็นนางเอกแน่ๆ แต่ก็ถูกฆ่าตายอีก ตอนหลังก็คิดว่าหญิงสาวหน้าด่างต้องเป็นนางเอก แต่เธอก็ถูกฆ่าตายอีกเช่นกัน สุดยอดมากๆค่ะละครเรื่องนี้
ตัวละครอย่าง “เวลุลี” ให้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยเหมือน เพราะในบางครั้ง เวลาที่ดิฉันต้องเผชิญหน้ากับศัตรู แล้วรู้สึกกลัว ดิฉันก็จะคิดถึง “เวลุลี” ดิฉันจะถามตัวเองว่า “ถ้าหากเวลุลีมาอยู่ในสถานการณ์นี้ เธอจะกลัวศัตรูคนนี้มั้ย” และดิฉันก็คิดว่าเวลุลีคงจะคิดในใจว่า “คนอย่างนี้น่ะเหรอ ไม่คณามือฉันหรอก” พอคิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวศัตรูก็จะหายไปจากจิตใจดิฉันในทันที
ตอบคุณ TARENCE + CHRIS’S GIRLFRIEND
--ดีใจเหมือนกันที่คุณทาเรนซ์ก็เป็นเหมือนกับดิฉัน รู้สึกว่าในบางครั้ง เราก็ไม่สามารถใช้ความดีขจัดความชั่วออกไปจากใจเราได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใช้ “ความชั่วที่ให้โทษน้อย” (ซึ่งก็คือความขี้เกียจ) ขจัด “ความชั่วที่ให้โทษมาก” (ซึ่งก็คือความโกรธ) ออกไปจากใจเรา แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละคน เพราะแต่ละคนก็มีสัดส่วนของกิเลสแตกต่างกันไป คงต้องศึกษาวิเคราะห์ตัวเองให้เข้าใจ เข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง และคิดหาวิธีที่เหมาะสมสำหรับตัวเองในการแก้ไขตัวเอง
สำหรับดิฉันนั้น รู้สึกว่าตัวเองจะมีโทสะและมีความขี้เกียจอยู่ในตัวเองสูงมาก ก็เลยใช้ความขี้เกียจมาดับโทสะซะเลย จริงๆแล้วความขี้เกียจไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะดิฉันเรียนจบปริญญาตรีมา 10 ปีแล้ว ก็ขี้เกียจ ไม่ได้เรียนต่อเสียที ในขณะที่เพื่อนๆและรุ่นน้องต่างก็เรียนจบปริญญาเอกกันไปหลายคนแล้ว แต่ในบางครั้ง ความขี้เกียจก็ให้ผลดีอย่างที่สุดของที่สุด เพราะถ้าหากดิฉันไม่ใช่คนขี้เกียจ (แก้แค้น) ดิฉันก็คงตายไปนานหลายปีแล้ว
--บางครั้งรู้สึกโกรธคนบางคนมากๆ แต่พอนอนหลับไปตื่นนึง ความโกรธนั้นก็หายไป แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ ขุ่นข้องหมองใจ ไม่ใช่ความโกรธแค้น แต่เป็น “ความกังวล” ว่าทำยังไงเราถึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อคนๆนี้ หรือคนประเภทนี้อีก
--ประโยค “บุณคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” ในละครทีวีฮ่องกง เป็นประโยคที่น่าสนใจดี เพราะในชีวิตจริงนั้น คนที่เรารู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณอย่างรุนแรงและคนที่เรารู้สึกอยากแก้แค้นอย่างรุนแรงคือคนๆเดียวกัน คนที่ทำร้ายเราอย่างรุนแรงเมื่อ 15 ปีก่อนคือคนๆเดียวกับที่เคยช่วยชีวิตเราเมื่อ 20 ปีก่อน คนที่กลั่นแกล้งเราอย่างรุนแรงคือคนๆเดียวกับที่เคยช่วยเหลือเราในยามลำบาก
กับคนประเภทนี้ ดิฉันมักจะ
1.ออกห่างจากเขาให้มากที่สุด และต้องไม่พึ่งพาอาศัยอะไรจากเขาอีกต่อไป ยิ่งเราติดหนี้บุญคุณคนประเภทนี้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งซวยซวยซวยเท่านั้น เราต้องพยายามยืนหยัดอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา เราติดหนี้บุญคุณเขาไปมากพอแล้ว แต่เราจะต้องไม่ติดหนี้อะไรเขาอีกเป็นอันขาด
2.เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอยากแก้แค้นคนประเภทนี้ ดิฉันก็จะบอกตัวเองให้ล้มเลิกความคิดนี้ซะ โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า “เขามีพระคุณกับเรามาก เพราะฉะนั้นฉันจะตอบแทนพระคุณเขาด้วยการไม่แก้แค้นเขา”
--อารมณ์หงุดหงิดโกรธเกลียดคนบางคนที่เรารักมาก บางครั้งดิฉันก็พบว่ามันมาจากการที่เราต้องการควบคุมความคิดของเขา พอเราควบคุมความคิดของเขาไม่ได้ เราก็เลยโกรธเขาโดยไม่สมควร
หลายๆครั้งคนที่เรารัก เขา “คาดหวัง” อะไรบางอย่างจากเรา เขาคาดหวังให้เราเป็นอย่างนู้น ให้เราเป็นอย่างนี้ แต่เรารู้ว่าเราไม่มีวันเป็นอย่างที่เขาต้องการให้เราเป็นได้ เราตายเสียดีกว่าที่จะทำตามความปรารถนาบางอย่างของคนที่เรารัก
ดิฉันมักรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าดิฉัน “ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจ” ให้คนบางคนที่ดิฉันรักได้ และความรู้สึกที่ว่าตัวเอง “สร้างความผิดหวัง” อยู่ตลอดเวลานี้เอง อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกหงุดหงิดใส่คนที่ดิฉันรัก มันเหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่ดิฉันได้เห็นหน้าคนที่ดิฉันรัก มันเป็นการตอกย้ำดิฉันไปพร้อมๆกันว่า “ดิฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ” การได้เห็นหน้าคนที่ดิฉันรัก กลับกลายเป็นการสร้างความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ตัวเองชั่วร้าย ตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
แต่ตอนหลังฉันก็คิดได้ว่าความทุกข์ของฉันเกิดจากการที่ฉันต้องการจะควบคุมความคิดของคนอื่น และฉันไม่สามารถดับทุกข์นี้ได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงคนอื่น เขาอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจความสามารถของดิฉัน แต่ฉันสามารถดับทุกข์นี้ได้ด้วยการเลิก “อยาก” จะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นซะ เขาจะคิดอะไร ก็ช่างเขาไป
เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยไม่สนใจอีกต่อไปว่าคนบางคนที่ดิฉันรักจะคิดอย่างไรกับดิฉัน เขาจะคิดว่าดิฉันเลว ก็ช่างเขา ดิฉันเลิก “อยาก” ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาแล้ว ดิฉันเลิก “อยาก” ที่จะได้รับความรักจากเขาแล้ว ดิฉันเลิกอยากที่จะเปลี่ยนแปลงเขาแล้ว ดิฉันเปลี่ยนแปลงได้เพียงตัวดิฉันเองเท่านั้น และก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ด้วยการดับความอยากควบคุมความคิดของคนอื่นซะ
เคยรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากๆ ตอนที่ถูกคนที่ตัวเองรัก ด่าว่าดิฉัน “โง่และไร้ความสามารถ” อยู่หลายครั้งหลายหน รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า รู้สึกเลวร้ายอย่างรุนแรงกับตัวเอง แต่ตอนหลังก็คิดได้ว่า “ถึงดิฉันจะโง่ แต่ดิฉันก็ขยัน (ในบางเรื่อง) ถึงดิฉันจะไร้ความสามารถ แต่ดิฉันก็มีความพยายาม” และถึงแม้จะไม่มีคนมารักเรา ถึงแม้ ‘คนที่เรารัก’ จะเกลียดชังเรา เราก็รักตัวเราเอง เรารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะคิดว่าฉัน “โง่และไร้ความสามารถ” ก็ช่างเขาไป มันจะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือว่าฉันไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่สนใจความคิดของเขาแม้แต่นิดเดียว และฉันก็ไม่ต้องขอข้าวเขากินด้วย และนั่นก็ทำให้ฉันมีความสุขที่สุด
YOU CAN HATE ME AS MUCH AS YOU CAN. I JUST DON’T CARE. BECAUSE I LOVE MYSELF AND MY TEDDY BEAR.
http://www.freephoto1.com/photo/photo-teddy-bear-2.jpg
--ส่วนภาพประกอบผู้หญิงสามภาพนั้น ภาพแรกเป็นของ THERESA RUSSELL, ภาพที่สองเป็นของ BARBARA STANWYCK ส่วนภาพที่สามเป็นของ JANE GREER ดาราหญิงทั้งสามคนนี้ถนัดในการรับบทเป็น FEMME FATALE ค่ะ
--ได้ดู AEON FLUX แล้วค่ะ ชอบช่วงแรกๆของหนังมาก ช่วงหลังๆของหนังก็ดีในแง่ของ “เนื้อเรื่อง” แต่ในแง่ “ความบู๊แบบดุเด็ดเผ็ดมันส์” แล้วรู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้น “สุดขีด” AEON FLUX อาจจะเป็นหนังที่น่าสนใจในแง่แนวคิด, ความเป็นไซไฟ และโดยเฉพาะโปรดักชันดีไซน์ แต่ในแง่ความเป็นหนังบู๊แล้ว รู้สึกว่ามันยังไม่สะใจ
เคยเขียนถึง AEON FLUX ไว้บ้างเล็กน้อย อ่านได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=23227
รู้สึกชอบทั้ง ELEKTRA, AEON FLUX และ CATWOMAN ในระดับ A แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่ชอบถึงขั้น A+ เป็นเพราะว่าฉากบู๊ในช่วงท้ายของหนังมันไม่ “มันส์สุดๆ” โดยเฉพาะใน ELEKTRA ที่มีการออกแบบตัวละครผู้ร้ายออกมาได้สุดยอดมากๆ สุดยอดจนทำให้รู้สึก “ไม่เชื่อ” อย่างรุนแรงว่าผู้ร้ายแต่ละตัวในหนังมันจะตายกันได้ง่ายๆขนาดนั้น โถ หนังเรื่องนี้ (Elektra) อุตส่าห์ทำให้เรารู้สึกหลงรักผู้ร้ายขนาดนี้ (โดยเฉพาะยัย “ไทฟอยด์”) เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้ผู้ร้ายตาย ก็ขอให้มันตายอย่างสมเกียรติหน่อยสิ
--น่าเสียดายที่คุณเจ้าชายน้อยไม่สามารถขึ้นมากรุงเทพได้ตั้งแต่วันพุธที่ 21 ธ.ค. ไม่งั้นจะได้ดู KHAVN DE LA CRUZ
หนังบางเรื่องของ KHAVN DE LA CRUZ มีฉากที่ช็อคและรุนแรงมากๆเหมือนกัน อย่างเช่นฉากตัวละครคนนึงใช้คีมตัดอวัยวะเพศชายของชายหนุ่มอีกคน (คิดถึงฉากนี้ทีไรก็รู้สึกอยากเป็นลม) แต่ไม่ได้โหดแบบสมจริงอย่างหนังเรื่อง PAIN (1994, ERIC KHOO, A+) เพราะหนังของ KHAVN จะมีการใส่ความฮาแทรกเข้ามาตลอด
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างหนังของ KHAVN กับ ULRIKE OTTINGER ก็คือตัวละครของเขาพร้อมจะตายและเกิดใหม่สลับกันไปมาในแต่ละฉาก ในหนังเรื่อง THE FAMILY THAT EATS SOIL นั้น ตัวละครบางตัวดูเหมือนจะฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่าตาย แต่ในฉากต่อมาพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามเดิมต่อไป
ฉากนึงที่ฮามากๆก็คือฉากเด็กทารกบอกพ่อกับแม่ว่าเขาจะกระโดดลงมาจากโต๊ะ แต่พ่อกับแม่ไม่สนใจเขาเลย เด็กทารกก็เลยกระโดดลงมาหัวกระแทกพื้นเลือดท่วม แต่พ่อแม่ก็ยังไม่สนใจต่อไป
--ตอนที่ดู KING KONG อยู่ดีๆก็นึกถึง OTTINGER ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะอยากให้เรือในหนังเรื่อง KING KONG แล่นสวนกับเรือของ MADAME X ในระหว่างการเดินทาง
--หลังจากดู THE FAMILY THAT EATS SOIL เสร็จ และได้อ่านเรื่องย่อ+เกร็ดของหนังเรื่องนี้ ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหนังเรื่องนี้คงสะท้อนประวัติศาสตร์ของ ฟิลิปปินส์ด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิด “พ่อ” ในหนังเรื่องนี้เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งสะท้อนการที่ฟิลิปปินส์เคยตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐมานานกว่า 50 ปี, แม่เป็นชาวสเปน ซึ่งสะท้อนการเคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนกว่า 300 ปี, ลูกชายในเรื่องนี้ชอบจับชาวจีนมาทรมานและฆ่า ซึ่งอาจสะท้อนเหตุการณ์บางอย่างในยุค MARCOS, ส่วนลูกสาวในหนังเรื่องนี้คงสะท้อนปวศ.ฟิลิปปินส์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ทหารญี่ปุ่นเคยบุกเข้ามาข่มขืนผู้หญิงเป็นจำนวนมาก เพราะลูกสาวในหนังเรื่องนี้ชอบแต่งหน้าแต่งตัวคล้ายคนญี่ปุ่น และชอบพูดพร่ำเพ้อ+ทำอาการเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกข่มขืน ทั้งๆที่เธออยู่ตามลำพังคนเดียวในห้อง อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของเรื่อง เธอถูกข่มขืนจากกลุ่มคนคลั่งศาสนา (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจุดนี้สื่อถึงอะไร)
http://www.kamiasroad.com/khavn/lupa.htm
--รู้สึกว่า THE FAMILY THAT EATS SOIL สะท้อนปวศ.ฟิลิปปินส์ได้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ดี แทนที่จะสะท้อนปวศ.อย่างตรงไปตรงมา เพราะหนังเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องได้ทำหน้าที่เล่าปวศ.อย่างตรงไปตรงมาไปเรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น
1.JOSE RIZAL (1998, MARILOU DIAZ-ABAYA, B+) ที่นำแสดงโดย CESAR MONTANO (THE GREAT RAID) รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะเคยมาฉายที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 11 ก.ย.ปี 2001 (จำได้ว่าดูหนังเรื่องนี้เสร็จ พอกลับถึงอพาร์ทเมนท์ ก็ได้ดูข่าวเวิลด์เทรดพอดี) หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ภายใต้การปกครองของสเปน สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับ JOSE RIZAL (1861-1896) วีรบุรุษนักปฏิวัติของฟิลิปปินส์
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CESAR MONTANO ได้ที่นี่
http://www.manilatimes.net/national/2005/jan/16/yehey/weekend/20050116week1.html
2.RIZAL IN DAPITAN (1997, AMABLE AGUILUZ, A-)
นำแสดงโดย ALBERT MARTINEZ และมีเนื้อหาเกี่ยวกับ JOSE RIZAL เหมือนกัน หนังเคยมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ
ALBERT MARTINEZ
http://www.entrepreneur.com.ph/byob/images/fun_in_commercials.jpg
AMABLE AGUILUZ หรือ TIKOY AGUILUZ เคยกำกับหนังเรื่อง BOATMAN (1984) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มใสซื่อในชนบทที่เดินทางมาทำงานเป็นนักแสดงเซ็กส์โชว์ โดยฉากเซ็กส์โชว์ในเรื่องนี้ได้รับคำชมว่าให้อารมณ์อีโรติกมากๆ
http://us.imdb.com/title/tt0159248/
(หนังฟิลิปปินส์ที่ใกล้เคียงกับ BOATMAN อีกเรื่องหนึ่งก็คือ PRIVATE SHOW (1986, CHITO S. RONO))
http://us.imdb.com/title/tt0427693/
3.MARKOVA: COMFORT GAY (2000, GIL PORTES)
http://us.imdb.com/title/tt0292097/
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=4139
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ “ชาย” ฟิลิปปินส์หลายคนที่ถูกทหารญี่ปุ่นข่มขืนและบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามให้กองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
4.EVOLUTION OF A FILIPINO FAMILY (2005, LAV DIAZ)
หนังเรื่องนี้มีความยาว 647 นาที หรือ 10 ชั่วโมง 47 นาที และเล่าเรื่องราวชีวิตประชาชนในยุค MARCOS คิดว่าหนังเรื่องนี้คงยิ่งใหญ่พอๆกับละครชุด HEIMAT (1984, EDGAR REITZ) ของเยอรมันตะวันตก ที่บันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศชาติเหมือนกัน โดย HEIMAT มีความยาว 924 นาที หรือ 15 ชั่วโมง 24 นาที (วิดีโอละครชุด HEIMAT มีให้ยืมที่ห้องสมุดสถาบันเกอเธ่ มีซับไตเติลภาษาอังกฤษ)
ดีวีดี HEIMAT มีขายแล้วในสหรัฐ โดยมีจำนวนทั้งหมด 6 แผ่น
http://images.amazon.com/images/P/B0009ZE944.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
5.IMELDA (RAMONA S. DIAZ, A)
--พ่อใน THE FAMILY THAT EATS SOIL เป็นฆาตกรโรคจิตที่ชอบเข้าไปฆ่าเด็กที่เป็นผู้ป่วยตามโรงพยาบาล เรื่องย่อของหนังบอกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ชื่อ TROMA ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหนังเรื่องนี้อาจจะได้รับอิทธิพลจากหนังของค่าย TROMA ด้วยเหมือนกัน
--ฉากของพ่อที่ชอบมากๆในเรื่องนี้คือฉากที่พ่อกิน “ดิน” กับสมาชิกครอบครัวอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แล้วก็บอกให้คนอื่นช่วยส่งขวดน้ำปลามาให้หน่อย แต่ไม่มีใครส่งให้ พ่อก็เลยไปจับปลาที่แม่น้ำเพื่อเอามาทำน้ำปลา พอทำน้ำปลาเสร็จก็กลับมากินข้าวต่อ
--ลูกสาวในเรื่องนี้มีอาการไม่อยากกินข้าว และ (ถ้าหากอ่านซับไตเติลไม่ผิด) เธอบอกว่าบางทีที่เธอไม่อยากกินข้าวอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ชอบมองหัวนมของเด็กทารกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และอาจจะเป็นเพราะว่าเธอยังคงอมน้ำกามอยู่เต็มปาก เธอก็เลยยังไม่อยากกินข้าว
--รู้สึกว่า OLAF MOLLER นักวิจารณ์ใน FILM COMMENT เขียนวิจารณ์หนังเรื่อง MONDOMANILA: INSTITUTE OF POETS (2005, KHAVN DE LA CRUZ, A+) โดยเปรียบเทียบกับหนังสำคัญของสองเรื่องของฟิลิปปินส์ ซึ่งก็คือเรื่อง MANILA IN THE CLAWS OF LIGHT (1975, LINO BROCKA) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์หนุ่มชื่อ JULIO (BEMBOL ROCO) กับหนังเรื่อง MANILA BY NIGHT (1980, ISHMAEL BERNAL) ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเกย์ฟิลิปปินส์
MANILA IN THE CLAWS OF NEON
http://us.imdb.com/title/tt0073363/
MANILA BY NIGHT นำเสนอชีวิตของตัวละครหลายๆตัว หนังเรื่องนี้ก็เลยมักได้รับการเปรียบเทียบกับ NASHVILLE ของโรเบิร์ต อัลท์แมน
http://movies.groups.yahoo.com/group/noelmoviereviews/message/31
--เห็นคนสนใจหนังเกย์คาวบอยเรื่อง BROKEBACK MOUNTAIN กันเยอะแยะ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีหนังกึ่งๆเลสเบียน/คาวบอยออกมาบ้างเหมือนกัน แต่ดิฉันยังไม่ได้ดู ซึ่งก็คือเรื่อง EVEN COWGIRLS GET THE BLUES (1994, GUS VAN SANT) ที่นำแสดงโดยอูม่า เธอร์แมนกับ เรน ฟีนิกซ์ และหนังเรื่อง COWBOY JESUS (1998, JAMIE YERKES) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคาวบอยเลสเบียนผิวดำ
http://www.planetout.com/popcornq/db/getfilm.html?55011
JAMIE YERKES เคยกำกับหนังเกย์เรื่อง SPIN THE BOTTLE (2000, A+)
หนังและวิดีโอที่ได้ดูช่วงนี้
1.SHADOWS (1959, JOHN CASSAVETES, A+)
2.RASINAH: THE ENCHANTED MASK (2004, RHODA GRAUER, A+)
หนังสารคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงชราที่เป็นนักเต้นรำในอินโดนีเซีย เธอมีอิทธิฤทธิ์สูงมากๆ
3.KING KONG (2005, PETER JACKSON, A+)
4.WALKAROUND (1970, NICOLAS ROEG, A+)
5.THE TENTH DANCER (1993, SALLY INGLETON, A)
http://www.wmm.com/filmcatalog/pages/c64.shtml
6.MAKYONG: PAGEANT OF THE ANCIENTS (B+)
7.SHOWER (1999, ZHANG YANG, B+)
เคยดูหนังของ ZHANG YANG อีกสองเรื่อง ซึ่งก็คือ QUITTING (2001, B-) กับ SPICY LOVE SOUP (1997, A-) รู้สึกว่า QUITTING เป็นหนังที่มีไอเดียการนำเสนอที่ดีมากๆ แต่รู้สึกว่าอารมณ์ของหนังมันล้นเกินกว่าที่ดิฉันต้องการ และก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับอารมณ์ของ SHOWER ส่วน SPICY LOVE SOUP นั้น จำอะไรในหนังไม่ค่อยได้มากนัก จำได้แต่ว่าตัวละครชายหนุ่มตากล้องในหนังเรื่องนี้หล่อน่ารักมาก
8.APRIL SNOW (2005, HUR JIN-HO, B)
MOST DESIRABLE ACTOR
1.ANTHONY RAY—SHADOWS
ในหนังเรื่อง SHADOWS แอนโธนี่ เรย์รับบทเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ตกหลุมรักผู้หญิงผิวดำ และเขาก็น่ารักอย่างสุดๆ ไม่แพ้พระเอกหนังเรื่อง GUESS WHO (2005, KEVIN RODNEY SULLIVAN, A+) ที่ตกหลุมรักผู้หญิงผิวดำเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ชีวิตจริงของแอนโธนี่ เรย์อาจจะน่าสนใจกว่าในหนัง เพราะเขาแต่งงานกับแม่เลี้ยงของตัวเอง เขาเป็นลูกชายของ NICHOLAS RAY ผู้กำกับหนังชื่อดัง และแม่เลี้ยงของเขาก็คือ GLORIA GRAHAME ดาราหญิงชื่อดัง แต่หลังจากพ่อของเขาหย่ากับแม่เลี้ยงได้นาน 8 ปี เขาก็เลยแต่งงานกับแม่เลี้ยงเสียเอง โอ ดิฉันรู้สึกอิจฉา GLORIA GRAHAME อย่างสุดๆเลยค่ะที่สามารถคว้าลูกชายหนุ่มหล่อน่ารักของสามีเก่ามาเป็นสามีได้ แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้
2.THOMAS KRETSCHMANN—KING KONG
http://img288.imageshack.us/img288/3049/thomask5mj.jpg
http://www.kino.de/pix/newspics/GALERIE/179108_2.jpg
3.JAMIE BELL (BORN 1986)—KING KONG
ชอบความสัมพันธ์ระหว่างเจมี เบลล์กับชายหนุ่มผิวดำในหนังเรื่องนี้มากๆ
http://www.alternativenation.net/gallery/files/1/DickJamieBellcloseup.jpg
FAVORITE ACTRESS
LELIA GOLDONI—SHADOWS
FAVORITE MUSIC
CHARLES MINGUS--SHADOWS
--ดู KING KONG แล้วก็นึกถึงหนังยุคโบราณบางเรื่อง ซึ่งรวมถึง
1.TABU (1931, FW MURNAU, A-)
หนังเกี่ยวกับชาวเกาะในดินแดนอันห่างไกล จุดเด่นของหนังคือการเน้นมัดกล้ามของชาวเกาะหนุ่มๆ
2.DAINAH LA METISSE (1931, JEAN GREMILLON)
หนังเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมบนเรือเดินสมุทร
--นอกจาก KING KONG แล้ว ตอนนี้ยังมีหนังรีเมคอีกเรื่องที่น่าดูมาก นั่นก็คือเรื่อง TRAPPED BY THE MORMONS (2005, IAN ALLEN) ซึ่งเป็นหนังซอมบี้ที่รีเมคจากหนังชื่อเดียวกันในปี 1922
http://www.trappedbythemormons.com/
http://www.trappedbythemormons.com/images/stills/8isoldicommands.gif
จุดเด่นของหนังเรื่อง TRAPPED BY THE MORMONS (2005) คือการให้ JOHNNY KAT ซึ่งเป็น DRAG KING (ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย) มารับบทเป็นผู้ชายในเรื่องนี้ นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังได้ฉายในเทศกาล MORMONSPLOITATION ที่รวบรวมหนังเกี่ยวกับนิกายมอร์มอนด้วย
http://www.timesandseasons.org/?p=2768
TRAPPED BY THE MORMONS (1922, H.B. PARKINSON) เป็นหนังเงียบ, ขาวดำที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านนิกายมอร์มอน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนในนิกายมอร์มอนที่ออกล่าจับผู้หญิง
หนังที่ล้อเลียนมอร์มอนอีกเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในเร็วๆนี้ก็คือ MILLIONS (DANNY BOYLE, A-)
ส่วนหนังเกี่ยวกับ DRAG KINGS ที่อยากดูมากๆ ก็คือหนังสารคดีเรื่อง VENUS BOYZ (2003, GABRIELLE BAUR) ที่เคยคว้ารางวัลตามเทศกาลหนังเกย์และเลสเบียนมาแล้ว
http://images.amazon.com/images/P/B00020HBWI.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
--ดีวีดีหนังที่อยากดูมากๆในตอนนี้ก็คือเรื่อง SINS OF THE FLESHAPOIDS (1965, MIKE KUCHAR, เขียนบทโดย MIKE กับ GEORGE KUCHAR) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกอนาคต ที่ซึ่งมนุษย์ไม่ทำอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากแสวงหาความสุขทางเพศ และปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานทุกอย่างแทน แต่ในเวลาต่อมาหุ่นยนต์ก็เริ่มร่วมรักกันเองได้ด้วย และเริ่มให้กำเนิดทารกหุ่นยนต์บ้างเช่นกัน
http://images.amazon.com/images/P/B000BKJ77Q.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
MIKE KUCHAR และ GEORGE KUCHAR เป็นสองฝาแฝดนักสร้างหนังเกย์ชื่อดัง รู้สึกว่าหนังของเกย์ฝาแฝดคู่นี้จะเฮี้ยนมากๆ ไม่แพ้หนังของ KENNETH ANGER หรือ ANDY WARHOL ในยุคเดียวกัน
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GEORGE KUCHAR ได้ที่
http://www.glbtq.com/arts/kuchar_g.html
http://us.imdb.com/name/nm0473647/
http://www.brightlightsfilm.com/26/kuchar1.html
GEORGE KUCHAR เริ่มกำกับหนังเกย์เรื่องแรกขณะที่เขาอายุเพียง 12 ปี โดยเขาขโมยเสื้อผ้าของแม่มาใช้ในหนัง และส่งผลให้เขาถูกแม่ตีอย่างรุนแรง
ตอนนี้ GEORGE KUCHAR กำกับภาพยนตร์ไปแล้ว 214 เรื่อง
ในระหว่างการกำกับหนังเรื่อง NIGHT OF THE BOMB (1961) ดาราหญิงในเรื่องไม่ยอมแสดงฉากเปลือย GEORGE KUCHAR ก็เลยให้ตากล้องถ่ายก้นของเขาเพื่อใช้แทนก้นของดาราหญิงคนนั้น
--นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหนังเรื่องไหนมีฉาก AQUARIUM สวยๆบ้าง หนังที่มีฉาก AQUARIUM ที่พอนึกออกก็คือเรื่อง CLOSER (A)
ส่วนหนังที่มีฉาก AQUARIUM ที่ดูน่ากลัวจนจำได้ไม่มีวันลืมก็คือหนังเยอรมันเรื่อง HEAVEN OF GLASS หรือ THE GLASS SKY (1987, NINA GROSSE, A+++++) เพราะหนังแนวฟิล์มนัวร์เรื่องนี้หลอนมาก และ AQUARIUM ในหนังเรื่องนี้มีปลาที่หน้าตาน่ากลัวมาก หนังเรื่องนี้สร้างจากบทประพันธ์ของ JULIO CORTAZAR ถ้าจำไม่ผิด หนังสือ “บุ๊คไวรัส 1” มีบทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ด้วย โดยอยู่ในหมวด “C” (ตามชื่อของ CORTAZAR)
--ส่วนหนังที่มีฉาก “สระว่ายน้ำที่มีการแสดงปลาโลมา” ที่ชอบมากคือหนังญี่ปุ่นเรื่อง AUGUST IN THE WATER (1995, SOGO ISHII, A+)
http://movies2.nytimes.com/gst/movies/movie.html?v_id=135726
Saturday, December 17, 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment