Tuesday, April 25, 2006

"TOY BOY" BY SINITTA

THE CRUELTY OF NATURE

--ได้ดูหนังเรื่อง HELL (2005, DANIS TANOVIC, A+) ชอบฉากเปิดของหนังเรื่องนี้มาก ที่เป็นเรื่องของนกฆ่ากัน และก็เลยทำให้สนใจพฤติกรรมของนก CUCKOO ลองเข้าไปอ่านข้อมูลตามอินเทอร์เน็ตแล้วรู้สึกว่านกพันธุ์นี้เป็นนกที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมาให้มีพฤติกรรมที่ชั่วร้ายมากๆ เพราะนกประเภทนี้มีพฤติกรรมที่เรียกว่า BROOD PARASITISM
http://fsc.fernbank.edu/Birding/parasitism.htm

นก CUCKOO จะไม่สร้างรังและไม่เลี้ยงลูกเอง แต่จะเอาไข่ไปใส่ไว้ในรังของนกตัวอื่นๆ โดยนก CUCKOO จะมีวิวัฒนาการในการทำให้ไข่ของตัวเอง “เลียนแบบ” ไข่ของนกพันธุ์อื่นๆได้ด้วย จนแม้แต่นักปักษีวิทยายังแยกไข่ “กาฝาก” กับไข่ “เจ้าบ้าน” ไม่ออก นอกจากต้องใช้เครื่องบ่งชี้ทางพันธุกรรมเข้าช่วย

นอกจากนี้ ลูกนก CUCKOO ยังมี “แผ่นหลัง” ที่มีร่องแบบพิเศษที่ใช้ในการดันไข่ของนก “เจ้าบ้าน” ให้ตกลงไปตายให้หมดอีกด้วย สามารถดูรูปประกอบได้ที่นี่
http://fsc.fernbank.edu/Birding/pics/depression.jpg

certain birds, known as "brood parasites," lay their eggs in the nests of other birds and do not provide any parental care for their own offspring. This often has a detrimental effect on the reproductive success of the hosts and may affect their population numbers as well.

The cuckoos countered by evolving eggs that mimicked those of the host. In fact, this mimicry is so good that one ornithologist had to use genetic markers to tell the difference between host eggs and parasitic eggs.

Eurasian Cuckoo chicks maneuver under host eggs and chicks and dump them over the edge of the nest. Their backs have a neatly designed depression that just fits their potential competitor.

ส่วนรูปในลิงค์นี้เป็นรูปแม่นก CUCKOO ที่เข้าไปวางไข่ในรังของนก AMERICAN REDSTART และลูกนก CUCKOO ก็ทำลายไข่ของ “เจ้าบ้าน” ในเวลาต่อมา
http://www.science-art.com/image.asp?id=353&search=1&pagename=Parasitism_Behavior_of_the_European_Cuckoo


--ในขณะที่ยุโรปมีนก CUCKOO เป็น “นกกาฝาก” รู้สึกว่าในไทยก็มีนกกาฝากเหมือนกัน นั่นก็คือ “นกกาเหว่า” เหมือนในเพลงกล่อมเด็กที่ร้องว่า

กาเหว่าเอย ไข่ให้แม่กาฟัก
แม่กาหลงรัก คิดว่าลูกในอุทร
คาบข้าวมาเผื่อ คาบเหยื่อมาป้อน
ปีกหางเจ้ายังอ่อน สอนร่อนสอนบิน
แม่กาพาไปกิน ที่ปากน้ำแม่คงคา
ตีนเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซ้หาปลา
กินกุ้งกินกั้ง กินหอยกระพังแมงดา
กินแล้วบินมา จับต้นหว้าโพธิทอง
นายพรานเห็นเข้า เยี่ยมเยี่ยมมองมอง
ยกปืนขึ้นส่อง หมายจ้องแม่กาดำ
ตัวหนึ่งว่าจะต้ม ตัวหนึ่งว่าจะยำ
แม่กาตาดำ แสนระกำใจเอย

มีบางเว็บไซท์ของไทยพูดถึงพฤติกรรมของนกกาเหว่าเอาไว้ด้วยเหมือนกัน ดังในเว็บไซท์ข้างล่างนี้ค่ะ
http://www.zyworld.com/NAKARIN/HTMLlargebilledcrow.htm
>>อีกาจำต้องแสดงความกล้าหาญ ด้วยการขโมยอาหาร เพื่อมาเลี้ยงดูลูกนกให้เพียงพอ ซึ่งบางครั้ง อาจไม่ใช่ลูกของตัวเอง แต่เป็นไข่ ที่แม่นก กาเหว่า ( Common Koel ) มาวางไข่ทิ้งไว้ เพราะนกกาเหว่า เป็นนกที่ไม่รู้จักฟักไข่ และ เลี้ยงลูกเอง จึงต้องแอบมาไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่น และ ส่วนมากก็เป็น อีกา นี่เอง เพื่อให้ อีกา ช่วยฟัก และ เลี้ยงดูลูกให้จนโต โดยที่ไม่รู้ว่า ลูกนก ที่เลี้ยงดูไม่ใช่ลูกของตนเอง ซึ่ง พฤติกรรมที่เลี้ยงดูลูกของนกกาเหว่า ด้วยความเอื้ออาทร ของ แม่กา นี่เอง ที่ในอดีต ได้ถูกนำมาร้อง เป็นบทเพลง กล่อมเด็ก ด้วยความชื่นชม จนทำให้แต่ก่อนเราคุ้นเคยกับชื่อของ อีกา ตั้งแต่ยังแบเบาะ

นกกาเหว่า มักจะหาโอกาสในช่วงที่แม่กาฟักไข่ พอแม่กาเผลอ นกกาเหว่าก็จะเข้าไปที่รังกา แล้ว ถีบไข่อีกาทิ้ง หลังจากนั้นจึงออกไข่ของตัวเองไว้แทน แม่กา ก็หลง ฟักไข่นกตัวอื่นไปด้วย เพราะไข่ของนกกาเหว่า และ อีกาเหมือนกันมาก คือ เป็นไข่สีฟ้าอมเขียวซีดๆ หรือ เขียวออกดำเป็นสีพื้น มีรอยเป็นดวง และ ขีดสีน้ำตาล หาก แม่กา จับได้ ก็ จะถีบไข่ของนกกาเหว่าทิ้งเช่นเดียวกัน แต่โดยมากแม่กาจะแยกไม่ออก มารู้ความว่า ไข่ที่สู้อุตส่าห์ฟักมานั้น ไม่ใช่ของตนเอง ก็ เมื่อตอนที่พาลูกนก ออกไปหัด บิน <<

--พูดถึงพฤติกรรมของลูกนก CUCKOO ที่ฆ่าลูกของนกเจ้าบ้านจนตายหมดแล้ว ก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง THE GODSEND (1980, GABRIELLE BEAUMONT, A-) (ถ้าจำชื่อเรื่องไม่ผิด) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่คลอดลูกสาวทิ้งไว้ให้กับ “ครอบครัวผาสุก” ครอบครัวนึง ครอบครัวนั้นก็รับเลี้ยงเด็กหญิงคนนี้ โดยหารู้ไม่ว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นฆาตกรโรคจิตที่คอยฆ่าเด็กคนอื่นๆไปเรื่อยๆ แถมเด็กหญิงคนนี้ยังวางแผนทำให้ “พ่อบุญธรรม” กลายเป็นหมันอีกด้วย

รู้สึกว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้ จะเป็นฉากที่ครอบครัวนี้เจอ “คุณแม่ปีศาจ” อีกครั้ง โดยคุณแม่ปีศาจคนนี้กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ และกำลังหลอกลวง “ครอบครัวผาสุก” ครอบครัวใหม่ให้มาช่วยดูแลเธอ เพื่อที่เธอจะได้คลอด “เด็กฆาตกรโรคจิต” เพื่อทำลายครอบครัวอื่นๆต่อไป

ได้ดูหนังเรื่องนี้ทางช่อง 3 ตอนเด็กๆ นักวิจารณ์บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าเบื่อสุดขีด แต่ดิฉันจำความน่าเบื่อของหนังเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าพล็อตหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ฝังใจตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนโต

http://www.imdb.com/title/tt0080802/
http://www.britishhorrorfilms.co.uk/godsend.shtml
http://www.badmovieplanet.com/unknownmovies/reviews/rev381.html
An English family of six takes in a pregnant woman who disappears shortly after giving birth. They raise the baby girl as their own, but over the years the strange deaths of their children make them consider whether the little girl is more than she appears.

--อย่าจำหนังเรื่อง THE GODSEND (1980) สลับกับ GODSEND (2004, NICK HAMM, B-) ที่นำแสดงโดย CAMERON BRIGHT

รู้สึกว่า CAMERON BRIGHT (BORN 1993) จะถนัดมากในการรับบท “เด็กผิดมนุษย์มนา” ไม่ว่าจะในเรื่อง GODSEND, BIRTH (2004, JONATHAN GLAZER, A+), ULTRAVIOLET (2006, KURT WIMMER, C) และ X-MEN: THE LAST STAND (2006, BRETT RATNER)


--อีกจุดที่ชอบมากใน HELL ก็คือเรื่องราวของ MIKE THE HEADLESS CHICKEN ซึ่งเป็นลูกไก่ที่ไม่มีหัว แต่มีชีวิตรอดและเติบโตต่อมาได้เป็นเวลานานถึง 18 เดือน เรื่องจริงเรื่องนี้เคยสร้างความประหลาดใจให้นักวิทยาศาสตร์ในปี 1945 เป็นอย่างมาก
http://www.guinnessworldrecords.com/content_pages/record.asp?recordid=54463


Headless Chicken
On September 10, 1945, a Wyandotte chicken belonging to Lloyd Olsen of Fruita, Colorado, USA, had its head chopped off, but went on to survive for 18 months. Mike's owner, Lloyd Olsen of Fruita, Colorada, USA, fed and watered the headless chicken directly into his gullet using an eyedropper. Mike eventually choked to death one night in an Arizona motel.Sceptical scientists thought it was a hoax, so one week into Mike-the-headless-chicken’s physically-altered life, farmer Lloyd Olsen packed Mike up and took him on a cross-country tour from Fruita, Colorado to the University Of Utah in Salt Lake City. The axe blade, scientists discovered, had missed the five-and-a-half month old Wyandotte rooster’s jugular vein, and a clot had saved the chicken from bleeding to death.Because Lloyd had aimed the axe so high, most of the brain stem was left at the top of the spine. One ear had also survived. Mike, it seemed, had lost the power to see and to cluck, but could still hear and think. Mike was also growing, weighing 1.1 kg. (2.5 lb.) when he first lost his head, and developing to a respectable 3.6 kg. (8 lb.) by the time he passed away.Celebrity status was guaranteed when a manager took the chicken on a national tour, and his story was reported in well-respected news magazines Life and Time. Like many legendary celebrities, Mike’s life ended in a hotel room. Mike began to choke and Lloyd was unable to find the eyedropper to clear Mike’s esophagus. It was the end of the road for Mighty Mike. Gone but certainly not forgotten, Mike’s life is celebrated each year by Fruita residents, who simply remember him as, “a big, fat chicken who didn’t know he didn’t have a head”.




--รู้สึกว่าหลายคนในเว็บบอร์ดนี้จะมีความเชี่ยวชาญต่างๆกันไป ไม่รู้ว่ามีใครอยากทำลิสท์ 101 อะไรต่างๆเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนอื่นๆบ้างหรือเปล่า อย่างเช่น 101 อัลบัมละครเพลง, 101 ดาราฮ่องกง, 101 หนังสือน่าอ่าน, 101 ดาราหญิงน่าตบ, 101 ศิลปินร็อคหญิง, 101 ดาราชายเอเชียตะวันออก, 101 นักเทนนิส , etc. เพื่อความสะใจของคนทำและเพื่อเปิดโลกทัศน์ของผู้อ่านค่ะ


ตอบน้องสะใภ้ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด

--จำชื่อดารากับผู้กำกับเกาหลีไม่ค่อยได้เหมือนกัน ชื่อมันคล้ายๆกันไปหมดเลย จำได้แต่ “วอน บิน” เหมือนกัน

--ถ้าหากคุณโอลิเวอร์รู้สึกว่า 101 คนมันน้อยเกินไป (ดิฉันก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน) คุณโอลิเวอร์ก็เขียนหนังสือ “1001 HUSBANDS YOU MUST HAVE BEFORE YOU DIE” ออกมาก็ได้ค่ะ เพื่อเป็นการให้แรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ ให้หาผัวตั้งแต่อายุครบ 18 ปี โดยหนังสือเล่มนี้จะให้คำแนะนำว่า เราควรหาผัวใหม่สัปดาห์ละ 1 คน หรือปีละ 52 คน เพราะฉะนั้นเราก็จะมีผัวครบ 1001 คน ภายในเวลา 1001 สัปดาห์ หรือ 19 ปี 3 เดือน เพราะฉะนั้นถ้าหากเราเริ่มหาผัวตั้งแต่อายุครบ 18 ปี เราก็จะมีผัวครบ 1001 คนตอนเรามีอายุประมาณ 38 ปี และนี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรยึดเป็นเป้าหมายหลักของชีวิตค่ะ


--ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับรูปและข้อมูลของ BRADLEY COOPER และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณคุณโอลิเวอร์ ดิฉันจึงขอมอบผู้ชายคนใหม่ให้คุณโอลิเวอร์เอาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านค่ะ ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า JOSH HOLLOWAY เขาเกิดปี 1969 และเป็นดารานำของละครเรื่อง LOST
http://lostmultimedia.beyondgrey.com/images/JoshHolloway.jpg
http://www.joshholloway.com/images/josh.jpg
http://www.autographsuccess.com/josh_holloway.jpg
http://us.ent4.yimg.com/tv.yahoo.com/images/he/photo/tv_pix/abc/lost/josh_holloway/lost_shirtless.jpg
http://app.abc.go.com/images/wallpaper/800x600/lost_800x600_holloway_01.jpg

--ดิฉันไม่รู้จักเพลง CAN’T BUY ME LOVE เลยค่ะ รู้จักแต่เพลง RENT (A+) ของ PET SHOP BOYS

You dress me up, I'm your puppetYou buy me things, I love itYou bring me food, I need itYou give me love, I feed itAnd look at the two of us in sympathyWith everything we seeI never want anything, it's easyYou buy whatever I needBut look at my hopes, look at my dreamsThe currency we've spent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rentYou phone me in the evening on hearsayAnd bought me caviarYou took me to a restaurant off BroadwayTo tell me who you areWe never-ever argue, we never calculateThe currency we've spent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rent(Ooooh) I love you, you pay my rent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rentI'm your puppetI love itAnd look at the two of us in sympathyAnd sometimes ecstasyWords mean so little, and money lessWhen you're lying next to meBut look at my hopes, look at my dreamsThe currency we've spent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rent(Ooooh) I love you, you pay my rent(Ooooh) Ooh, I love you, you pay my rentLook at my hopes, look at my dreamsThe currency we've spent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rent(Ooooh) I love you, you pay my rentLook at my hopes, look at my dreamsThe currency we've spent(Ooooh) I love you, oh, you pay my rent(Ooooh) I love you, you pay my rent(Ooooh) I love you, you pay my rent (It's easy, it's so easy)(Ooooh) You pay my rent (It's easy, it's so easy)(Ooooh) You pay my rent (It's easy, it's so easy)(Ooooh) I love you (It's easy, it's so easy)


และเพลง TOY BOY (A) ของ SINITTA เพลงนี้ออกมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยมีเวอร์ชัน THE EXTENDED BICEP MIX ด้วย
http://fehrbehr.co.uk/96/toy.jpg
http://www.coolforever.com/temp/sinitta_toyboy_12.jpg
Toy boy, toy boyEverybody's talkin'When they see me walkin'With this little boy of mineHe's my play thing and I love himI dress him up lookin' fine He ain't got moneyPeople think it's funnyHe gives me everything I needHe's my play boy, and my love toyAnd I want everyone to know He's my toy boy, toy boyI'm out with my toy boy, toy boyMonday, Tuesday, Wednesday, Thursday,Friday, Saturday, Sunday night When I want a loverI don't need any otherI know he'll come runnin' to meHe's my gigolo and my RomeoAnd I want everyone to know *He's my toy boy, toy boyI'm out with my toy boy, toy boyAnd when I get to take him homeI know he's gonna love me rightHe's my toy boy, toy boyI'm out with my toy boy, toy boyMonday, Tuesday, Wednesday, Thursday,Friday, Saturday, Sunday night Toy boy (Repeat) Everybody's talkin'When they see me walkin'With this little boy of mineHe's my gigolo and my RomeoAnd I want everyone to know


ตอบน้อง ZM

ฮ่าๆๆๆ งงไปพักใหญ่เหมือนกันค่ะว่า “เครื่องบิดงอ” กับ “กากบาทคล้ายควาย” คืออะไร รู้สึกว่าปริศนานี้สามารถเอามาใส่ในหนังประเภทตามล่าหาขุมทรัพย์หรือหนังประเภทปริศนาฆาตกรรมได้เลยนะคะ และมีแต่ตัว
ละครที่ฉลาดที่สุดเท่านั้นที่สามารถไขปริศนานี้ออกได้

เคยได้ข่าวว่า MICHAEL MANN ต้องการให้ “จางม่านอี้” มาแสดงใน HEAT (1995, A-) ด้วยเหมือนกัน แต่ทั้งสองเข้ากันไม่ได้ จางม่านอี้ก็เลยไม่เล่นเรื่อง HEAT แต่ในช่วงนั้นเธอได้เล่นหนังเรื่อง IRMA VEP (1996, OLIVIER ASSAYAS) ซึ่งก็คิดว่าเธอตัดสินใจถูกต้องสุดๆแล้ว เพราะบทผู้หญิงใน HEAT มันเทียบกันไม่ได้เลยกับบทนางเอกใน IRMA VEP

พูดถึง MIAMI VICE แล้วก็จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยชอบ DON JOHNSON จากละครชุด MIAMI VICE (1984-1989) อยู่พักนึงเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าละครเรื่องนี้ไม่ใช่สไตล์ที่ตัวเองชอบมากนัก อย่างไรก็ดี สิ่งที่ชอบมากใน MIAMI VICE นอกจากความหล่อของ DON JOHNSON แล้ว ก็รวมถึง

1.บทของ SHEENA EASTON ในฐานะภรรยาของ DON JOHNSON

2.ชอบตอนนึงในละครเรื่องนี้มากๆ ที่เป็นการสืบคดีเกี่ยวกับ SNUFF FILM หรือหนังที่บันทึกภาพการฆ่าคนจริงๆ เป็นตอนที่สนุกมากๆ (แต่จำไม่ได้แล้วว่าตกลงตอนจบของตอนนั้นเป็นยังไง) และต่อมาประเด็นนี้ก็ได้รับการนำเสนอในหนังเรื่อง THESIS (ALEJANDRO AMENABAR, A+) และ 8 MM (1999, JOEL SCHUMACHER, A-/B+)

HELL (DANIS TANOVIC, A+)

ดูฉากเปิดของ HELL (A+) ไม่ค่อยทันแฮะ ไม่แน่ใจว่ามันคือนก cuckoo แอบเอาไข่ของตัวเองไปให้นกตัวอื่นเลี้ยงหรือเปล่า แล้วพอลูกนก cuckoo ฟักออกมาเป็นตัวแรก ก็พยายามฆ่าตัวอื่นๆในรังให้ตายให้หมด

พอดีไม่ค่อยรู้พฤติกรรมของนก cuckoo ดูฉากเปิดของ HELL ก็เลยงงๆเล็กน้อย
http://en.wikipedia.org/wiki/Cuckoo

The Cuculidae or cuckoos are a family of near passerine birds. Many of the Old World species and some New World species are brood parasites, laying their eggs in the nests of other birds. The best-known example is the European Common Cuckoo. The chick which hatches from the egg laid in another species' nest methodically evicts all other occupants.

http://www.science-art.com/image.asp?id=353&search=1&pagename=Parasitism_Behavior_of_the_European_Cuckoo

hoodwinked vs. cry wolf

ตอบน้องสะใภ้ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด

รูปของเจค กิลเลนฮาลกับมาร์ค รัฟฟาโลน่ารักมากเลยค่ะ คุณโอลิเวอร์ต้องแก้เผ็ดเจค กิลเลนฮาลด้วยการไปเป็นชู้กับมาร์ค รัฟฟาโลเสียเองเลยนะคะ

ยังไม่ได้ดู SLING BLADE เลย แต่รู้สึกว่าฝรั่งบางคน ตัวเขาโตเร็วใหญ่ยาวทันใจดีจริงๆ ฝรั่งบางคนอายุแค่ 17-18 ปี ตัวก็ใหญ่ล่ำบึ้กมากๆแล้ว

ดีใจมากค่ะที่คุณโอลิเวอร์ชอบ HOODWINKED กับ CRY WOLF รู้สึกว่าทั้งสองเรื่องนี้จะพาดพิงถึงความเชื่อเกี่ยวกับ "หมาป่า" ของฝรั่งเหมือนกันเลย และรู้สึกว่าหนังเรื่อง HARD CANDY ก็จะพาดพิงถึงตำนานหนูน้อยหมวกแดงด้วย รู้สึกว่าตำนานหนูน้อยหมวกแดงจะเป็นหนึ่งในตำนานที่ถูกนำมาใช้ในหนังที่น่าสนใจหลายเรื่อง อีกเรื่องนึงที่ชอบพอสมควรก็คือหนังฝรั่งเศสเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตเรื่อง DEEP IN THE WOODS (2000, LIONEL DELPLANQUE, A-/B+) ที่พาดพิงถึงตำนานนี้เช่นกัน

ใน HOODWINKED ฉากนึงที่ชอบมากคือฉากที่นางเอกเหินฟ้าไปกับแกะ แล้วเจอคุณยาย (หรือคุณย่า) เหาะเหินมาให้คำแนะนำเธอ ตอนแรกนึกว่าฉากนั้นนางเอกจินตนาการไปเอง พอตอนหลังถึงรู้ว่ามีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้คุณยายเหาะเหินมาเจอกับนางเอกในฉากนั้นพอดี รู้สึกทึ่งคนเขียนบทมากๆกับการวางพล็อตตรงจุดนี้

ชอบความเห็นของคุณโอลิเวอร์เรื่องการใส่เสื้อของทาเคชิ คาเนชิโร่มากๆ แต่สำหรับดิฉันนั้น ดิฉันคิดว่าถึงทาเคชิถอดเสื้อ ดิฉันก็คงไม่เกิดอารมณ์ทางเพศเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ดิฉันรู้สึกว่าเขาดู "สวย" มากกว่าจะดูหล่อ ฮ่าฮ่าฮ่า บางทีเขาอาจจะ "สวย" กว่านางเอก PERHAPS LOVE เสียอีก

รู้สึกว่าอดัม แคมป์เบล พระเอก DATE MOVIE จะหน้าตาใช้ได้ดีทีเดียว ตอนที่เขาไว้ผมสั้นเพื่อล้อเลียนแบรด พิทท์ในฉาก MR. & MRS. SMITH ถ้าหากเขาไว้ผมสั้นทรงนั้นได้ทั้งเรื่อง ก็คงจะถูกใจดิฉันอย่างมากๆ

เห็นอันดับ 101 MOVIES YOU MUST SEE BEFORE YOU DIE ที่คุณโอลิเวอร์เอามาแปะ และก็เห็นหนังสือ 1001 BOOKS YOU MUST READ BEFORE YOU DIE กับหนังสือ 1001 ALBUMS YOU MUST HEAR BEFORE YOU DIE รวมทั้งหนังสือ 101 BALLETS..., 101 OPERAS, 1001 BEST MOVIES ON DVD หรืออะไรทำนองนี้ออกมาเยอะมากๆ เห็นแล้วก็ฮาดีเหมือนกัน และทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากจะทำรายชื่อพวกนี้กับเขาบ้างเหมือนกัน ดิฉันเป็นพวกบ้าจัดทำรายชื่อหรือทำอันดับอยู่แล้วด้วย

รายชื่อที่ดิฉันอยากทำก็รวมถึงรายชื่อดังต่อไปนี้

1.101 MOVIES YOU SHOULD DIE BEFORE YOU SEE หรือ "หนัง 101 เรื่องที่คุณควรตายเสียดีกว่าที่จะดูมัน"

2.101 MOVIES YOU MAY DIE BEFORE YOU SEE หรือ "หนังดีที่หาดูยากมากๆ 101 เรื่อง จนคุณอาจจะตายเสียก่อนที่จะหามันมาดูได้สำเร็จ"

3.101 HUSBANDS YOU SHOULD HAVE BEFORE YOU DIE

อันนี้ถ้าให้ดิฉันทำ ดิฉันก็กะว่าจะเป็นการจินตนาการถึงชีวิตในฝันของตัวเองค่ะ โดยชีวิตในฝันของดิฉันจะมีสามีหนุ่มหล่อเดือนละ 1 คน หรือปีละ 12 คน รวมกัน 8 ปีกว่าๆ ก็ได้ผัวประมาณ 100 กว่าคนพอดี โดยผัวของดิฉันในปีนี้อาจจะรวมถึง CHANNING TATUM ส่วนผัวของดิฉันในปีที่แล้วอาจจะรวมถึง KEVIN ZEGERS ดังนี้เป็นต้น รายชื่อนี้จะเป็นการรวบรวมชื่อดาราหนุ่มหล่อในช่วงประมาณ 8-9 ปีที่ผ่านมาให้ครบ 101 คน

ไม่รู้ว่าคุณโอลิเวอร์หรือคนอื่นๆคิดจะช่วยดิฉันทำรายชื่อแบบนี้บ้างหรือเปล่าค่ะ แต่ละคนแยกกันทำรายชื่อของตัวเอง หรือจะร่วมกันเสนอรายชื่อก็ได้ค่ะ ถ้าดิฉันทำอันดับเหล่านี้เสร็จเมื่อไหร่ ก็อาจจะเอามาแปะให้ดูกันอีกที

Monday, April 24, 2006

AMERICAN GOTHIC (A-)

พูดถึงเรื่องความคิดที่ตรงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เคยเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างเหลือเชื่อสุดๆเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆเคยอ่านนิยายเรื่อง “ระบำไฟ” ของม.มธุการี และประทับใจกับนางอิจฉาในนิยายเรื่องนี้มากๆ เธอเป็นสาวใช้ที่เข้าไปทำลายชีวิตครอบครัวของนางเอกจนพังพินาศป่นปี้ ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้จบ ก็จินตนาการเอาไว้ในใจว่าถ้าหากนิยายเรื่องนี้เป็นละครทีวี ตอนจบมันควรจะเป็นยังไงบ้าง โดยคิดเอาไว้ในใจว่า แทนที่ละครทีวีเรื่องนี้จะจบด้วยการเน้นไปที่ตัวนางเอกแบบในนิยาย ละครเรื่องนี้น่าจะจบให้แตกต่างจากนิยายด้วยการเน้นไปที่ตัวละคร “นางอิจฉา” แทน

ปรากฏว่าพอมีละครทีวีเรื่องนี้ออกมา นำแสดงโดยหทัยรัตน์ อมตวณิชย์, ตฤณ เศรษฐโชค และแสงระวี อัศวรักษ์ ตอนจบมันออกมาเหมือนอย่างที่เราจินตนาการเอาไว้เล่นๆในใจไม่มีผิดเลย โดยแทนที่ฉากจบจะเน้นไปที่ตัวละครนางเอกแบบในนิยาย ฉากจบกลับเล่าเรื่องราวชีวิตของนางอิจฉาแทน เพื่อแสดงให้เห็นว่านางอิจฉาเข้าไปทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ รู้สึกดีใจสุดๆที่ผู้สร้างละครเรื่องนี้ใจตรงกับเราเป๊ะๆ

--ตอนนี้เห็น SATOSHI TSUMABUKI คนรักของน้อง merveillesxx โชว์ความหล่อในหนังตัวอย่างเรื่อง THE FAST AND THE FURIOUS: TOKYO DRIFT (2006, JUSTIN LIN) ด้วยค่ะ แต่เห็นเขาโผล่มาในหนังตัวอย่างแค่แป๊บเดียวเอง ไม่รู้ว่าในหนังเรื่องนี้บทเขาจะมีมากน้อยแค่ไหน จะโผล่มาถึง 3 นาทีหรือเปล่า

เห็นหนังตัวอย่าง THE FAST AND THE FURIOUS: TOKYO DRIFT แล้ว รู้สึกว่าหนังไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เพราะดูแล้วคล้ายๆกับ INITIAL D (2005, WAI KEUNG LAU + SIU FAI MAK, B+) แต่ถ้าหนังเข้าโรง ก็คงจะไปดูอยู่ดี เพราะอยากจะรู้ว่าLUCAS BLACK (BORN 1982) พระเอกคนใหม่ของหนังเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง เคยเห็นลูคัส แบล็ค แสดงละครเรื่อง AMERICAN GOTHIC (1995, A-) ที่มาฉายทางช่อง 3 เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย อะไรกัน เผลอแค่ไม่กี่ปี เด็กน้อยคนนั้นก็กลายเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เสียแล้ว

http://www.imdb.com/title/tt0111880/
http://www.imdb.com/name/nm0085407/
http://lucasblack.allstarz.org/multimedia/
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/tv_appearances/american_gothic/1-16_doctor_death_takes_a_holiday/Doctor_Death_Takes_a_Holiday_030.jpg
http://allstarz.hollywood.com/~lucasblack/images/site/header2.jpg
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/userpics/10001/lbdetails2004.jpg
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/userpics/10001/lbimdb.jpg
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/userpics/10001/269762.jpg
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/userpics/10001/fnl-008.jpg
http://lucasblack.allstarz.org/gallery/albums/userpics/10001/offthemenu.jpg

ลูคัส แบล็คเคยเล่นหนังเรื่อง JARHEAD (2005, SAM MENDES) ร่วมกับเจค กิลเลนฮาล และปีเตอร์ ซาร์สการ์ดด้วย


Favorite Scene

ALWAYS: SUNSET ON THE THIRD STREET

1.ฉาก “แหวน”

รู้สึกว่าฉากนี้ซึ้งมาก และทำให้นึกถึงความซึ้งในตอนจบของละครเรื่อง 101st MARRIAGE PROPOSAL หรือ “101 ตื๊อรักนายกระจอก” (1991, REIKO ISHIZAKA) ที่เคยมาฉายทางช่อง 5 ละครเรื่องนี้ใช้เพลง SAY YES ของ CHAGE & ASKA เป็นเพลงประกอบ


2. ฉากที่เด็กๆอ่านนิทาน แล้วหนังตัดเข้าสู่ฉากหลังที่เป็นโลกอนาคตในนิทาน

รู้สึกว่าฉากนี้ถ่ายทอดจินตนาการความฝันของเด็กๆออกมาได้น่าประทับใจมาก และทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่ดิฉันกับเพื่อนๆชอบแต่งนิยายเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนป.6 ที่ร่วมแต่งนิยายกับเพื่อนๆผู้ชายอีก 2 คน โดยเป็นการแต่งนิยายเรื่องเดียวกัน แต่ผลัดกันแต่งไปเรื่อยๆ ทำนองว่าดิฉันแต่งตอนที่หนึ่ง แล้วก็ให้เพื่อนอีกคนแต่งต่อตอนที่สอง และเพื่อนอีกคนก็แต่งต่อตอนที่สาม รู้สึกว่าเป็นการแต่งนิยายที่สนุกมากๆ เพราะคนแต่งแต่ละคนก็ไม่รู้ว่าตัวละครที่ตัวเองแต่งจะประสบชะตากรรมอย่างไรในอนาคต ผลปรากฏว่าแต่งเรื่องกันไปแต่งเรื่องกันมา ตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องกลับมีอายุไม่ยืดกันทั้งนั้น ตัวละครแต่ละตัวถูกฆ่าตายกันอย่างรวดเร็วมาก พอใครคนหนึ่งสร้างตัวละครตัวใหม่ขึ้นมา ตัวละครตัวนั้นก็อาจจะถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็วมากด้วยฝีมือของคนแต่งคนอื่นๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เก็บนิยายที่แต่งตอนเด็กๆเอาไว้เลย ไม่สามารถจินตนาการอะไรอย่างไร้ขีดจำกัดได้แบบตอนเด็กๆอีกแล้วด้วย รู้สึกว่ายิ่งโตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้จินตนาการได้น้อยลงเรื่อยๆเท่านั้น

Sunday, April 23, 2006

101 HUSBANDS YOU SHOULD HAVE BEFORE YOU DIE

--ดีใจมากที่เมื่อวันศุกร์มีคนมาเจอกันเยอะแยะมากมาย สนุกสนานครื้นเครงมากๆ และมีหลายคนที่เพิ่งมาร่วมเป็นครั้งแรกด้วย เย็นวันศุกร์ที่ผ่านมามีความสุขมากๆเลยค่ะ
--ได้ดูหนังในรายชื่อของคุณโอลิเวอร์เพียงแค่ 41 เรื่องเท่านั้นเอง ขอเอารายชื่อนี้มาเรียงตามลำดับความชอบบ้างดีกว่า

1."Persona" (1966) Ingmar Bergman A+
2."Pink Flamingos" (1972) John Waters A+
3.THE DISCREET CHARM OF THE BOURGEOISIE (1972, LUIS BUNUEL) A+
4.REPULSION (1965, ROMAN POLANSKI) A+
5."Blowup" (1966) Michelangelo Antonioni A+
6."Pulp Fiction" (1994) Quentin Tarantino A+
7."Days of Heaven" (1978) Terence Malick A+
8.A CLOCKWORK ORANGE (1971, STANLEY KUBRICK) A+
9.SCHINDLER'S LIST (1993, STEVEN SPIELBERG) A+
10.UN CHIEN ANDALOU (1928, LUIS BUNUEL + SALVADOR DALI) A+
11."Psycho" (1960) Alfred Hitchcock A+
12."8 1/2" (1963) Federico Fellini A+
13."Rashomon" (1950) Akira Kurosawa A+
14."West Side Story" (1961) Jerome Robbins/Robert Wise A+
15.THE CRYING GAME (1992, NEIL JORDAN) A+
16."Children of Paradise" / "Les Enfants du Paradis" (1945) Marcel Carne A+
17.A STREETCAR NAMED DESIRE (1951, ELIA KAZAN) A+
18.SUNSET BOULEVARD (1950, BILLY WILDER) A+
19.ALIEN (1979, RIDLEY SCOTT) A+/A
20.."The Godfather," "The Godfather, Part II" (1972, 1974) Francis Ford Coppola A+/A

21.ANNIE HALL (1977, WOODY ALLEN) A
22.BLUE VELVET (1986, DAVID LYNCH) A
23.TOUCH OF EVIL (1958, ORSON WELLES) A
24.BONNIE AND CLYDE (1967, ARTHUR PENN) A25."Aguirre, the Wrath of God" (1972) Werner Herzog A
26."Rear Window" (1954) Alfred Hitchcock A
27.NOSFERATU (1922, F.W. MURNAU) A
28."Halloween" (1978) John Carpenter A
29.M (1931, FRITZ LANG) A
30.THE THIRD MAN (1949, CAROL REED) A

31.TAXI DRIVER (1976, MARTIN SCORSESE) A/A-
32.THE LADY EVE (1941, PRESTON STURGES) A/A-
33. "GoodFellas" (1990) Martin Scorsese A/A-
34."Vertigo" (1958) Alfred Hitchcock A-
35.BREATHLESS (1959, JEAN-LUC GODARD) A-
36.."The 400 Blows" (1959) Francois Truffaut A-
37."Rebel Without a Cause" (1955) Nicholas Ray A-
38."Fargo" (1995) Joel & Ethan Coen A-
39.."Fight Club" (1999) David Fincher A-
40."The Empire Strikes Back" (1980) Irvin Kershner B+

41.E.T. (1982, STEVEN SPIELBERG) B

--หวังว่าคราวต่อไปคุณโอลิเวอร์คงเอาอันดับ "ผู้ชาย 101 คนที่คุณควรหามาเป็นสามีก่อนตาย" มาฝากบ้างนะคะ คุณโอลิเวอร์ทำอันดับนี้ขึ้นมาเองก็ได้ค่ะ

PILBARA PEARL (CHRISTOPHER WATSON, A+)

--ชอบมิวสิควิดีโอที่คุณ OLIVER นำมาแนะนำมากค่ะ ดูมิวสิควิดีโอนี้แล้วรู้สึกว่าเหมาะจะนำมาประกอบหนังเรื่อง “ไพร่ AND PREJUDICE”
http://www.dailymotion.com/video/67337

--เห็นที่สีลมมีดีวีดีหนังสโลเวเนียเรื่อง SPARE PARTS (2003, DAMJAN KOZOLE, A+++++) วางขายอยู่ด้วยค่ะ หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการอพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ดิฉันเคยดูหนังเรื่องนี้ในเทศกาลภาพยนตร์ในกรุงเทพเมื่อเดือนม.ค.ปี 2004 เป็นหนังที่ชอบสุดๆเรื่องนึง รู้สึกว่าหนังรักษาระยะห่างระหว่างผู้ชมกับตัวละครได้ดีมาก ไม่เหมือนกับ DIRTY PRETTY THINGS (STEPHEN FREARS, B+) ที่อาจจะพูดถึงประเด็นผู้อพยพผิดกฎหมายเหมือนกัน แต่มันให้ความรู้สึกหยึยๆ ยังไงไม่รู้ สิ่งที่แตกต่างกันมากระหว่าง DIRTY PRETTY THINGS กับ SPARE PARTS ก็คือ DIRTY PRETTY THINGS มีพระเอกที่นิสัยดีมาก ส่วน SPARE PARTS นั้น พระเอกเป็นนักค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย และเป็นคนที่ชั่วร้ายเลือดเย็นพอสมควร อย่างไรก็ดี ถึงแม้พระเอกหนังเรื่องนี้จะชั่วร้ายเลวทรามมาก หนังเรื่องนี้กลับไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็น “ผู้ร้าย” แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์ที่น่าสงสารคนนึง

อีกจุดที่ชอบมากใน SPARE PARTS ก็คือ จะมีบางจุดที่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงต่อความรู้สึกอย่างมากในเรื่อง แต่หนังกลับเล่าเหตุการณ์นี้ผ่านทาง “รายงานข่าว” ซึ่งเป็นการเล่าแบบที่ “ไม่เร้าอารมณ์” อย่างมากๆ จริงๆแล้วหนังสามารถนำเสนอเหตุการณ์รุนแรงนี้อย่างตรงไปตรงมา และสามารถเร้าอารมณ์อย่างสุดขีดในเหตุการณ์นี้ แต่หนังกลับไม่ให้เราเห็นเหตุการณ์นี้เลย อยู่ดีๆก็ตัดไปเป็นรายงานข่าวเลยว่าเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจอะไรขึ้น

PETER BRADSHAW จากนสพ. THE GUARDIAN ของอังกฤษให้ดาวหนังเรื่องนี้ 5 ดาวเต็มค่ะ อ่านบทวิจารณ์ของเขาได้ที่
http://film.guardian.co.uk/News_Story/Critic_Review/Guardian_review/0,,1167230,00.html

http://www.amazon.co.uk/exec/obidos/ASIN/B000BH2U8M/qid%3D1145726400/202-0994912-4292629
http://www.imdb.com/title/tt0334237/
http://images-eu.amazon.com/images/P/B000BH2U8M.02.LZZZZZZZ.jpg


--เห็นคุณอ้วนบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยว่างมาเปิดตัวเด็กใหม่ในสังกัดเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ส่งรูปเด็กใหม่ของเธอมาให้ดิฉันดู ดิฉันก็เลยนำมาให้คนอื่นๆดูต่อค่ะ

เด็กใหม่ของคุณอ้วนมีชื่อว่า RICARDO FACCHINI ค่ะ เป็นนายแบบ THE BOY เดือนเม.ย.
http://my.opera.com/corepylon/albums/show.dml?id=58483&page=1&skip=0&show=0&perscreen=20
http://my.opera.com/corepylon/homes/albums/58483/10_09g.jpg

--ขอแปะอันดับต่างๆไว้ก่อนนะคะ

หนังที่ได้ดูในวันพุธ-วันเสาร์

1.PILBARA PEARL (1998, CHRISTOPHER WATSON, A+)
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่มีคุณค่าทางศิลปะแต่อย่างใด แต่ก็ประทับใจกับหนังโรแมนติกเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะพระเอกหนังเรื่องนี้มีคุณสมบัติตรงกับ “ผู้ชายในฝัน” ของดิฉัน (เหตุผลข้อเดียวกันนี้คือเหตุผลที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่อง ALWAYS (STEVEN SPIELBERG, A+++++) อย่างที่สุด และเป็นเหตุผลที่เคยทำให้ดิฉันหยิบวิดีโอหนังเรื่อง ALWAYS มาดูเป็นประจำ)

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักระหว่างผู้ชายผิวขาวกับผู้หญิงผิวสี และดิฉันก็มักจะชอบหนังแนวนี้อยู่แล้ว เหมือนกับที่ชอบหนังเรื่อง GUESS WHO (2005, KEVIN RODNEY SULLIVAN, A+)

อย่าจำชื่อหนังเรื่อง PILBARA PEARL สลับกับหนังเกย์เรื่อง PEORIA BABYLON (1997, STEVEN DILLER) ที่มีดีวีดีเข้ามาวางขายในกรุงเทพแล้ว
http://images.amazon.com/images/P/B00001PE5I.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


2.LITTLE FISH (2005, ROWAN WOODS, A+)

HUGO WEAVING (THE MATRIX) กับ SAM NEILL (JURASSIC PARK) เล่นเป็นคู่เกย์กันในหนังเรื่องนี้ (กรี๊ด) แถมมีฉากจุมพิตกันด้วย ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงละครเรื่อง “ทางสายทาส” (1989, สุประวัติ ปัทมสูต, A+) ที่สร้างจากนิยายของม.มธุการี กับหนังเรื่อง CLEAN (2004, OLIVIER ASSAYAS, A) ที่ตัวละครนางเอก (เคย) ติดยาเสพติดมาก่อน
http://www.thaitv3.com/drama_old46/history/2532.html


3.FOOTNOTE (2003, PIA BORG, A+)

หนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้มีงานด้านภาพบางส่วนที่ทำให้นึกถึง THE PATCHWORK QUEEN (2001, LARS HENKEL, A+) ในขณะที่เนื้อหาของหนังก็ทำให้นึกถึงฉากผู้คนในอพาร์ทเมนท์ทำกิจกรรมจังหวะเดียวกันใน DELICATESSEN (1991, JEAN-PIERRE JEUNET, A)


4.MOTHER TONGUE (2002, SUSAN KIM, A+)

ชอบภาพในหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้พอสมควร งานด้านภาพทำให้นึกถึง
RECENTLY 2 (2000, JOCHEN KUHN, A+)


5.WE HAVE DECIDED NOT TO DIE (2003, DANIEL ASKILL, A+)

ดูแล้วนึกถึงมิวสิควิดีโอของ THE FUTURE SOUND OF LONDON หรือ ORBITAL


6.BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION (2006, MICHAEL CATON-JONES, A+)

7.NED KELLY (2003, GREGOR JORDAN, A+)

8.CRY WOLF (2005, JEFF WADLOW, A) ฉายที่ SIAM DISCOVERY
http://www.imdb.com/title/tt0384286/
http://www.amazon.com/gp/product/B000BTIU4S/qid=1145728911/sr=1-1/ref=sr_1_1/104-1464384-3605505?%5Fencoding=UTF8&s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B000BTIU4S.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

9.พระ เด็ก เสือ ไก่ วอก (THE MAGNIFICENT FIVE) (2006, BHANDIT RITTAKOL, A)

10.GARAGE DAYS (2002, ALEX PROYAS, A)

11.PERHAPS LOVE (2006, PETER CHAN, A-)

12.LOCAL DIVE (2001, SARAH WATT, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0284268/plotsummary
SARAH WATT กำกับหนังเรื่อง LOOK BOTH WAYS (2005, A-/B+) ที่เพิ่งเข้ามาเปิดฉายในกรุงเทพในเดือนก.พ. รู้สึกว่าลายเส้นแอนิเมชั่นของเธอมีเอกลักษณ์พอสมควร เพราะดู LOCAL DIVE เพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็เดาได้เลยว่าน่าจะเป็นผลงานของ SARAH WATT


13.BIRTHDAY BOY (2004, SEJONG PARK, A-)
ดูแล้วนึกถึงหนังเกาหลีใต้เกี่ยวกับชีวิตเด็กในช่วงสงครามเกาหลีเรื่อง SPRING IN MY HOMETOWN (1998, LEE KWANGMO, A)
http://www.imdb.com/title/tt0156386/


14.16 BLOCKS (2006, RICHARD DONNER, A-)

15.WARD 13 (2003, PETER CORNWELL, A-)
http://www.ward13.com.au/

16.ABOVE THE DUST LEVEL (1999, CARLA DRAGO, A-/B+)
http://www.imdb.com/title/tt0220296/
หนังมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเลสเบียน

17.FAMED (2001, MICHAEL BATES, B+)
ดูแล้วนึกถึงมิวสิควิดีโอ LUCKY ของ BRITNEY SPEARS


18.ICARUS (2000, CHRIS RICHARDS-SCULLY, B)
มีบางช่วงของหนังที่ทำให้นึกถึง CONTACT (1997, ROBERT ZEMECKIS, A+)

19.DATE MOVIE (2006, AARON SELTZER, C+)

20.ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET (2005, YAMAZAKI TAKASHI, C+)
http://www.hiff.org/filmlisting_tickets/synopsis.php?pid=ALWA&sid=&y=2006&f=2


MOST DESIRABLE ACTOR

1.JARED PADALECKI – CRY WOLF
เขาเกิดปี 1982 และเคยเล่น HOUSE OF WAX (2005, JAUME COLLET-SERRA, A+)
http://www.unexpected-fate.net/inspire/nymDVD03.jpg

2.PHIL BARANTINI – NED KELLY
http://www.imdb.com/name/nm0053028/
เขาเกิดปี 1980 และเคยเล่นละคร BAND OF BROTHERS (2001)

3.BRETT STILLER – GARAGE DAYS
http://www.imdb.com/name/nm1002894/


FAVORITE ACTOR

1.HUGO WEAVING – LITTLE FISH

2.DAVID MORRISSEY – BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION


FAVORITE SUPPORTING ACTOR

1.DAVID THEWLIS – BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION

2.HEATHCOTE WILLIAMS (JAKOB GERST) – BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION
http://www.imdb.com/name/nm0930748/
เขาเคยเล่น HOTEL (2001, MIKE FIGGIS, A+)

3.NEIL MASKELL (DETECTIVE FERGUSON) – BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION
ดาราชายร่างอ้วนคนนี้หน้าตาคุ้นมากๆ ประวัติบอกว่าเขาเคยเล่น IT’S ALL GONE PETE TONG (2004, MICHAEL DOWSE, A+)

4.JON BON JOVI — CRY WOLF


FAVORITE SUPPORTING ACTRESS

1.RACHEL GRIFFITHS – NED KELLY

2.HIROKO YAKUSHIMARU – ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET
เคยชอบเพลง KATARI TSUGU AINI (ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า) ของเธอมากๆ รู้สึกว่าจะเป็นเพลงประมาณปี 1988 นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเห็นเธอแสดงหนังในปี 2005 ดีใจที่เธอยังได้แสดงหนังอยู่

3.KRIS MCQUADE – NED KELLY
http://www.imdb.com/name/nm0574296/
เธอเคยเล่น STRICTLY BALLROOM (1992, BAZ LUHRMANN, A)

4.NONI HAZLEHURST – LITTLE FISH
http://www.imdb.com/name/nm0372023/

5.ANNA DEAVERE SMITH – CRY WOLF
http://www.imdb.com/name/nm0807332/
เธอเคยเล่น THE HUMAN STAIN (2003, ROBERT BENTON, A+)

6.EMILY BROWNING – NED KELLY
http://www.imdb.com/name/nm0115161/
เธอคือนางเอก LEMONY SNICKET’S A SERIES OF UNFORTUNATE EVENTS (2005, BRAD SILBERLING, A-)


FAVORITE SCENE

จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า

1.ฉาก “แกฆ่าฉัน แกต้องตาย” ของนุดี

2.ฉาก “น้ำเงิน บุญหนัก” สยายหัว ทำหน้าสาวขึ้น ขณะหนังแฟลชแบ็คไปเมื่อ 17 ปีก่อน


FAVORITE FILM CRITICISM

1.บทวิจารณ์ DUCK SEASON (2004, FERNANDO EIMBCKE, A+) ของ AMY TAUBIN ในนิตยสาร FILM COMMENT เล่มเดือนมี.ค./เม.ย.

2.บทวิจารณ์ ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET ของคุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ ในนิตยสาร FLICKS อ่านบทวิจารณ์นี้แล้วทำให้เข้าใจอะไรๆขึ้นอีกเยอะมาก และจุดประกายให้นำไปคิดต่อได้อีก


FAVORITE OLD SONG OF THE WEEK

IF YOU WANT ME ของ HINDA HICKS ในอัลบัม HINDA (1998, A)

เพลงนี้เป็นเพลงแนว R&B ค่ะ เห็นผู้ฟังบางคนยกย่องให้ HINDA HICKS เป็นนักร้องแนวโซลของอังกฤษที่ยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่ MICA PARIS ด้วย
http://www.amazon.com/gp/product/B0000089GH/sr=1-3/qid=1145728384/ref=sr_1_3/104-1464384-3605505?%5Fencoding=UTF8&s=music


ความเห็นเล็กน้อยต่อหนังที่ได้ดู

--CRY WOLF

หนังเรื่องนี้อาจจะไม่มีอะไรที่ ORIGINAL เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบ SCREAM (WES CRAVEN, A+), THESIS (ALEJANDRO AMENABAR, A+), URBAN LEGEND (1998, JAMIE BLANKS, A+/A) และ GOSSIP (2000, DAVIS GUGGENHEIM, B-)


--หนังของ MICHAEL CATON-JONES เรียงตามลำดับความชอบ

1.BASIC INSTINCT 2: RISK ADDICTION (2006, A+)

2.CITY BY THE SEA (2002, A)

3.ROB ROY (1995, A-)

4.THIS BOY’S LIFE (1993, A-/B+)
http://www.imdb.com/title/tt0108330/

5.MEMPHIS BELLE (1990, B)

6.DOC HOLLYWOOD (1991, B/B-)
จำอะไรในหนังแทบไม่ได้แล้ว

ดูจากอันดับแล้ว ทำให้รู้สึกว่าดิฉันอาจจะประทับใจกับ “ความชั่ว” ในหนังของ MICHAEL CATON-JONES ยิ่งตัวละครในหนังของเขาชั่วเท่าไหร่ หรือมีบรรยากาศมืดหม่นมากเท่าไหร่ ดิฉันก็ยิ่งชอบหนังของเขามากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ MEMPHIS BELLE กับ DOC HOLLYWOOD ไม่ค่อยมีตัวละครชั่วๆ ดิฉันก็เลยไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนัง


--รู้สึกว่าหนังออสเตรเลียหลายๆเรื่องที่เคยดูตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มักจะมีฉากตัวละคร “ว่ายน้ำ”, “ดำน้ำ” และมีฉากสระว่ายน้ำหรือชายทะเล


--BROKEN FLOWERS
จุดที่ชอบในหนังเรื่องนี้รวมถึง

1.การไม่แฟลชแบ็คไปยังอดีตรักของตัวละคร และจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกอินกับหนังเรื่องนี้มากกว่า PERHAPS LOVE

2.ถึงแม้หนังจะมีการเปรียบเทียบชีวิตชายโสดกับชีวิตชายที่มีครอบครัวอบอุ่น แต่ก็รู้สึกว่าหนังไม่ได้ตำหนิตัวละครพระเอกหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง ในความเห็นส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าถึงแม้พระเอกหนังเรื่องนี้ย้อนไปแก้ไขอดีตของตัวเองได้ เขาก็ไม่มีวันทำอย่างเพื่อนบ้านของเขาได้อยู่ดี เพราะนั่นไม่ใช่ “ตัวเขาจริงๆ” และการที่หนังไม่ได้ตำหนิการใช้ชีวิตชายโสดของพระเอกหนังเรื่องนี้มากนัก ก็ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังอย่าง THE FAMILY MAN (2000, BRETT RATNER, B+/B)


--NED KELLY
เดาว่าที่ตัวเองชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ คงเป็นเพราะรู้สึกประทับใจในเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ มากกว่าจะประทับใจในฝีมือการกำกับของ GREGOR JORDAN เพราะเคยดูหนังของ GREGOR JORDAN อีก 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ BUFFALO SOLDIERS (2001, B+/B) กับ TWO HANDS (1999, B/B-) แต่ก็ไม่ได้ประทับใจสองเรื่องนี้มากนัก

ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงหนังเกี่ยวกับการกดขี่ที่นำมาซึ่งการก่อกบฏเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น STORM OVER ASIA (1928, VSEVOLOD PUDOVKIN, A+), QUE VIVA MEXICO (1932, SERGEI EISENSTEIN, A+) และ MICHAEL COLLINS (1996, NEIL JORDAN, A+)

และ NED KELLY ก็ทำให้นึกถึงหนังเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรหนุ่มหล่อเรื่อง BAD BOYS – A TRUE STORY (2003, ALEKSI MAKELA, FINLAND, A-) กับ THE NEWTON BOYS (1998, RICHARD LINKLATER, B+/B) ด้วย


--ALWAYS: SUNSET ON THIRD STREET

หนังเรื่องนี้ก็เป็น “หนังดี” อีกเรื่องนึงที่ดิฉันดูแล้วไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนั่นไม่ได้เกิดจากความผิดของตัวหนังแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่อาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตดิฉันตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ดิฉันดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันจึงรู้สึก “ห่าง” จากหนังอย่างรุนแรงมาก ไม่เหมือนกับ “หนังเลว” อย่าง BAISE-MOI (2000, VIRGINIE DESPENTES + CORALIE TRINH THI, A+) ที่ดูแล้วรู้สึกว่ามันถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกแบบที่ใกล้เคียงกับชีวิตของตัวเองมากๆ
http://www.imdb.com/title/tt0249380/

ได้อ่านบทความของคุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ แล้วก็ชอบบทความนั้นมาก เพราะทำให้เข้าใจว่าปี 1958 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อ TOKYO TOWER และต่อความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นยุคหลังสงครามอย่างไรบ้าง

นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยดูหนังเรื่องไหนที่พูดถึงการสร้าง TOKYO TOWER อีกหรือเปล่า จำได้แต่ว่าเคยอ่านการ์ตูนเรื่อง “ยอดนักโทษสาว” (A+) หรือ SUKEBAN DEKA ของชินจิ วาดะ และมีตอนนึงที่นางตัวร้ายขโมยภาพวาดเก่าๆของจิตรกรสูงอายุคนนึงไป และโกหกคนอื่นว่าภาพวาดเก่าเหล่านั้นเป็นผลงานของตัวเอง แต่ต่อมาเธอก็ถูกจับโกหกได้ เพราะภาพที่เธอวาดเป็นภาพวิวทิวทัศน์ของโตเกียวยุคก่อนที่จะมีการสร้าง TOKYO TOWER ซึ่งนางตัวร้ายที่มีอายุน้อยคนนี้ไม่มีทางเกิดทันได้เห็นวิวทิวทัศน์นั้นมาก่อนอย่างแน่นอน

พูดถึงหนังเกี่ยวกับชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็รู้สึกว่ามีหนังบางเรื่องที่ชอบสุดๆเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่อง ALMOST PEACEFUL (2002, MICHEL DEVILLE, A+)
http://images.amazon.com/images/P/B0006SSR3I.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ส่วนในเยอรมันตะวันตกยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น จุดหักเหสำคัญที่มีผลต่อความรู้สึกของชาวเยอรมันเป็นอย่างมาก น่าจะเป็นชัยชนะของทีมฟุตบอลเยอรมันในระดับโลกในปี 1954 และมีหนังสองเรื่องที่นำเหตุการณ์นี้มาเป็นฉากหลัง แต่นำเสนอออกมาในทางตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือเรื่อง THE MIRACLE OF BERN (2003, SONKE WORTMANN, C+) ที่นำเสนอชัยชนะของทีมฟุตบอลในแง่ของความรู้สึกน่าภาคภูมิใจ กับ THE MARRIAGE OF MARIA BRAUN (1979, RAINER WERNER FASSBINDER, A+) ที่นำเสนอชัยชนะระดับโลกของทีมฟุตบอลว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายทางจิตวิญญาณ

ส่วนหนังเกี่ยวกับชีวิตชาวญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ดิฉันดูแล้วรู้สึกว่า “อิน” สุดๆ และรู้สึกว่ามันถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกแบบที่พบได้ในชีวิตประจำวันของตัวเอง ก็มีเช่นเรื่อง

1.VIOLENCE AT NOON (1966, NAGISA OSHIMA, A+++++)

หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหญิงสาวสองคน (SAEDA KAWAGUCHI + NARUMI KAYASHIMA) ที่มีต่อฆาตกรโรคจิต (KEI SATO) และถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้พูดถึงความพยายามที่จะสร้าง COLLECTIVE FARMตามอุดมคติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้วย


2.THE INSECT WOMAN (1963, SHOHEI IMAMURA, A)
http://www.filmref.com/directors/dirpages/imamura.html
Imamura achieves a clinically objective, yet sympathetic portrait of his archetypally sensual, primal, and strong-willed heroine as she perseveres through the turbulence and uncertainty of her economic and societal confines: Tome's job at the mill during wartime Japan, her attempts at an honest living by working as a cleaning woman during postwar occupation, her resort to prostitution during the economic depression, her rise to the role of madame during the 1950s social reforms.


3.THE PORNOGRAPHERS (1966, SHOHEI IMAMURA, A)
http://popmatters.com/film/reviews/p/pornographers-dvd.shtml
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDReview/pornographers.htm
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDReview/pornographers/4.jpg

Saturday, April 22, 2006

CRY WOLF (A)

--ช่วงนี้ดิฉันถูกผีครูรมณีย์ใน "จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า" เข้าสิง ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาเล่นอินเทอร์เน็ตมากนัก ถ้ามีเวลาว่างจะมาเขียนตอบยาวๆอีกทีนะคะ

ตอบคุณทักษิณา

เพราะว่าตอนนี้ชอบละครเรื่อง "จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า" ทางช่อง 3 มากค่ะ แต่ละครใกล้จะอวสานแล้ว
ตอนแรกกะว่าจะพยายามติดตามดูละครเรื่อง ROME กับ DEADWOOD ทางเอชบีโอด้วยเหมือนกัน แต่ไปๆมาๆก็ไม่มีเวลา ถ้าจะติดตามดูละครหลายเรื่อง ก็ต้องงดดูหนังบางเรื่องไป ก็เลยตัดสินใจดูหนังไว้ก่อนดีกว่า และงดดูละครสองเรื่องนี้แทน

ตอบน้องเลิฟจุยซ์

ได้ดู MAHLER จากวิดีโอของบริติช เคาน์ซิลเมื่อหลายปีก่อน จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว และได้ดูแบบไม่มีซับไตเติลด้วย ก็เลยไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวละครคุยกันเท่าใดนัก แต่ถึงแม้ไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเรื่อง ก็รู้สึกตะลึงลานกับภาพที่ได้เห็นในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากเซอร์เรียลพิสดารหลายฉาก โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก

MAHLER ประกอบด้วยเศษเสี้ยวสำคัญหลายเศษเสี้ยวในชีวิตของ MAHLER โดยเนื้อหาหลักจะเป็นเรื่องของมาห์เลอร์ขณะนั่งรถไฟไปกับภรรยาของเขา และขณะที่ทั้งสองนั่งรถไฟไปด้วยกัน ก็จะมีการแฟลชแบ็คไปยังช่วงชีวิตสำคัญหลายๆช่วงในอดีต โดยฉากแฟลชแบ็คเหล่านี้มีหลายฉากที่เพี้ยนพิสดารน่าประทับใจมาก ฉากที่ชอบมากในเรื่องนี้รวมถึงฉากเปิดเรื่อง, ฉากเต้นระบำนาซี และฉากล้อเลียนหนังเรื่อง DEATH IN VENICE (1973, LUCHINO VISCONTI, A+) หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังเซอร์เรียลของ DEREK JARMAN หรือ PETER GREENAWAY และเหมาะสำหรับคนที่อยากสัมผัสกับพลังทางจินตภาพอันเกิดจากเสียงดนตรีของ MAHLER มากกว่าคนที่สนใจในชีวประวัติของ MAHLER แบบที่หาอ่านได้จากหนังสือ

อ่านบทวิจารณ์ MAHLER โดย DENNIS SCHWARTZ ได้ที่
http://www.sover.net/~ozus/mahler.htm

เดนนิส ชวาร์ทซ์เขียนไว้ว่า GUSTAVE MAHLER (รับบทโดย ROBERT POWELL) เป็นคีตกรและวาทยกรชาวยิวในออสเตรีย เขามีชีวิตระหว่างปี 1860-1911 และเขาเคยเปลี่ยนไปนับถือคาทอลิกเพื่อที่ตัวเขาจะได้อยู่รอดได้ในสังคมออสเตรียที่เกลียดชังชาวยิวในยุคสมัยนั้น โดยตัวละครสำคัญในเรื่องนี้รวมถึงอัลมา (Georgina Hale) ที่รับบทเป็นภรรยาผู้มีพลังสร้างสรรค์ของมาห์เลอร์ แต่เธอกลับไม่มีโอกาสได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่เพราะสามีของเธอ

หนังเรื่องนี้มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยเศษเสี้ยวชีวิตหลายๆเสี้ยวที่ไม่ปะติดปะต่อกัน และโครงสร้างแบบนี้ก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีส่วนคล้าย THE DEATH OF MARIA MALIBRAN และ THE COLOR OF POMEGRANATES แต่หนังเรื่องนี้ดูรู้เรื่องกว่า MALIBRAN และ POMEGRANATES

ตัวละครประกอบคนหนึ่งในเรื่องนี้คือ COSIMA WAGNER (ANTONIA ELLIS) ซึ่งมีชีวิตระหว่างปี 1837-1930 เธอเป็นลูกสาวของ FRANZ LISZT ซึ่งเป็นคอมโพสเซอร์ชื่อดัง และเธอยังเป็นภรรยาคนที่สองของริชาร์ด วากเนอร์ คอมโพสเซอร์ชื่อดังชาวเยอรมันด้วย เธอเป็นหัวหอกในกระแสเกลียดชังชาวยิว และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มาห์เลอร์ต้องเปลี่ยนศาสนา

บทบาทของภรรยาวากเนอร์และนาซีในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงไปถึงหนังเรื่อง LUDWIG -- REQUIEM FOR A VIRGIN KING (1972, HANS-JURGEN SYBERBERG, A+) ที่มีริชาร์ด วากเนอร์เป็นตัวละครในเรื่องนั้น และมีฉากนาซีออกมาเต้นระบำในหนังเรื่องนั้นด้วย

นอกจาก SYBERBERG พูดถึงริชาร์ด วากเนอร์และนาซีในหนังเรื่องนั้นแล้ว เขายังสัมภาษณ์ WINIFRED WAGNER ซึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และนำบทสัมภาษณ์นั้นมาสร้างเป็นหนังสารคดีเรื่อง THE CONFESSIONS OF WINIFRED WAGNER (1975) ซึ่งมีความยาวเพียง 5 ชม. 2 นาที (302 นาที)

Wednesday, April 19, 2006

BROKEN FLOWERS (A+)

--ตอนเด็กๆก็ชอบดูละครจีนกำลังภายในมากๆเหมือนกัน แต่รู้สึกอายุของดิฉันจะแก่กว่าหลายคนในนี้หลายปี ละครที่ชอบดูมากๆก็มีเรื่อง

1.14 นางสิงห์จ้าวยุทธจักร
นำแสดงโดย หวังหมิงฉวน, ฝงเป๋าเป่า, หยางพ่านพ่าน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dramamania&group=1

2.ดาบมังกรหยก
นำแสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย, เจิ้นอี้หลิง, เยิ่นต๊ะหัว, เส้าเหม่ยฉี, หลีเหม่ยเสียน และเติ้งซิ่วเหวิน

3.ศึกลำน้ำเลือด
นำแสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย, เฉินอี้เหลียน, หวงเย่อหัว, อู๋ฉี่หัว (หล่อจัง), หลี่เหลียงเหว่ย

4.เดชเซียวฮื่อยี้
นำแสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย

5.จอมดาบหิมะแดง


--ชอบ “กู้กวนจง” ที่แสดงเป็นฮุ้นปวยเอี้ยงใน “กระบี่ไร้เทียมทาน” กับ “ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า” มากค่ะ

รู้สึกว่าหนังของ AKI KAURISMAKI ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมเก่าแก่ น่าจะเป็น CRIME AND PUNISHMENT ค่ะ ไม่ใช่ I HIRED A CONTRACT KILLER


ตอบคุณแฟรงเกนสไตน์

โฮะๆๆๆ ถ้าเรื่องหนุ่มญี่ปุ่น ดิฉันไม่ถนัดเลยค่ะ งานนี้ดิฉันขอถอนตัวค่ะ ไม่มีความสามารถแต่งเรื่องได้ งานนี้คุณแฟรงเกนสไตน์ต้องเป็นฝ่ายให้ความรู้เรื่องหนุ่มญี่ปุ่นแก่ดิฉันค่ะ เพราะข้าน้อยมิมีความรู้ในเรื่องเช่นนี้เลย

แต่ถ้าหากดิฉันต้องไปอยู่ญี่ปุ่นแล้ว ดิฉันก็อยากไปอยู่ในฐานะภรรยาของ HIROSHI ABE ค่ะ และดิฉันก็อยากให้เขามีพี่ชาย 1 คน และน้องชาย 3 คน และพี่ชายกับน้องชายของเขาก็แอบมาปลุกปล้ำดิฉันตอน HIROSHI ไม่อยู่ โดยพี่ชายของเขาคือ KEN WATANABE ส่วนน้องชายของเขาคือ HIDETOSHI NISHIJIMA (2/DUO), KUROUDO MAKI (A SCENE AT THE SEA) และ YUSUKE ISEYA (CASSHERN) ดิฉันยินดีทำตัวเป็นทาสในเรือนเบี้ยหรือเป็น sex slave ของครอบครัวนี้แต่โดยดีค่ะ


ตอบน้อง lovejuice

ดีใจค่ะที่น้องชอบ CAPOTE ส่วนเรื่อง SHINE นั้นยังไม่ได้ดูเลย

เคยเขียนถึง CAPOTE ไว้แค่นิดเดียว ขอก็อปปี้มาแปะไว้ตรงนี้อีกทีแล้วกันนะคะ
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=27131

ส่วนคุณธีปนันท์เคยเขียนถึง CAPOTE ไว้ที่
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000042899


หนังเกี่ยวกับชีวประวัติศิลปินที่ดิฉันชอบสุดขีดก็รวมถึง

1.THE DEATH OF MARIA MALIBRAN (1973, WERNER SCHROETER, A+++++)
เรื่องของนักร้องโอเปราหญิง ที่พอดูจบแล้วก็ไม่รู้ประวัติอะไรเกี่ยวกับนักร้องคนนี้เพิ่มขึ้นมาเลย

2.SYLVIA (2003, CHRISTINE JEFFS, A+++++)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00005JMJD.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

3.MAHLER (1974, KEN RUSSELL, A+++++)
http://www.vankeweekly.com/blog/Images/novich/Russell-MAHLER.jpg

4.VAN GOGH (1991, MAURICE PIALAT, A+++++)

5.ANDREI RUBLEV (1966, ANDREI TARKOVSKY, A+)
เรื่องของจิตรกรในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDCompare5/andreirublev.htm
http://pages.prodigy.net/zvelf/Andrei_Rublev.jpg
http://www.dvdbeaver.com/film/dvdcompare/rublev/large/rublev-rus-cov-large.jpg
http://www.dvdbeaver.com/film/DVDCompare5/andreirublev/Rublov_EntryJerusalem.jpg

6.THE COLOUR OF POMEGRANATES (1969, SERGEI PARADJANOV, A+)
เรื่องของ SAYAT NOVA จิตรกรชาวอาร์เมเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 18

7.KARL MAY (1974, HANS-JURGEN SYBERBERG, A+)
http://www.syberberg.de/Syberberg3/Oeuvre_Katalog/Karl_May/Karl_May.jpg

8.CARAVAGGIO (1986, DEREK JARMAN, A+) หนังเกย์
http://images.amazon.com/images/P/B000F4ZRBI.01._SCLZZZZZZZ_V55830750_.jpg

9.CAMILLE CLAUDEL (1989, BRUNO NUYTTEN, A+)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B000053VBM.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

10.THE AVIATOR (MARTIN SCORSESE, A+)


ตอบน้องสะใภ้ PETER SARSGAARD

--ดิฉันก็อยากมีอะไรกับทหารหนุ่มหล่อตั้งแต่เด็กๆเหมือนกันค่ะ

--ฉากบนทางรถไฟใน CASUALTIES OF WAR เป็นฉากที่ติดตามากๆเหมือนกัน จำได้ว่าเพื่อนผู้ชายที่ไปดูด้วยกันร้องไห้โฮออกมาเลยพอถึงฉากนี้ จำได้ว่าไปดูหนังเรื่องนี้ในช่วงก่อนสอบเอ็นทรานซ์ไม่กี่สัปดาห์ด้วย โดยดูที่โรงไมโครแมค ที่อยู่ใต้โรงหนังแมคเคนนา

--ส่วนดนตรีของ ENNIO MORRICONE ที่ฟังทีไรก็ร้องไห้ทุกทีคือดนตรีประกอบหนังเรื่อง THE MISSION (ROLAND JOFFE, A+++++)
http://www.amazon.com/gp/product/B000000WFZ/sr=8-11/qid=1145397536/ref=pd_bbs_11/002-6765968-2136843?%5Fencoding=UTF8

เคยเห็นซีดีซาวด์แทรคภาพยนตร์ของ MORRICONE มีวางขายในกรุงเทพหลายเรื่องมาก แถมเป็นหนังอิตาลีอีกด้วย ทั้งๆที่ตัวหนังเหล่านั้นอาจจะแทบไม่เคยเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยในรูปแบบใดๆเลย น่าเสียดายจัง จริงๆแล้วน่าจะแถมดีวีดีหนังมาพร้อมกับซีดีซาวด์แทรคด้วยเนอะ

ซีดีของ MORRICONE ที่น่าฟังมากๆคือชุด CRIME AND DISSONANCE (2005) ที่รวมเพลงประกอบจากหนังหาดูยากหลายๆเรื่องมาไว้ด้วยกัน โดยมี ALAN BISHOP เป็นผู้รวบรวม และมี JOHN ZORN มาร่วมงานด้วย
http://www.amazon.com/gp/product/B000AA4LLO/sr=8-4/qid=1145397020/ref=pd_bbs_4/002-6765968-2136843?%5Fencoding=UTF8
http://images.amazon.com/images/P/B000AA4LLO.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

--FIELD OF DREAMS (1989, PHIL ALDEN ROBINSON, A+++++) เป็นหนังที่ทำให้ตกหลุมรัก KEVIN COSTNER จนสุดจิตสุดใจเหมือนกัน เขาดูอบอุ่นสุดๆในหนังเรื่องนั้น จำได้ว่าป้าวาสนา วีระชาติพลีก็ชอบ KEVIN COSTNER จากเรื่องนี้มากๆ

--ดาราหนุ่มอีกคนที่ชอบมากในยุคนั้นคือ BILL CAMPBELL พระเอกเรื่อง THE ROCKETEER (1991, JOE JOHNSTON, B) แต่ช่วงหลังๆมานี้แทบไม่ค่อยได้เห็นเขาเล่นหนังใหญ่สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเล่นละครโทรทัศน์มากกว่า จำได้ว่าตอนช่วงต้นทศวรรษ 1990 ดิฉันเคยจำชื่อ BILL CAMPBELL สลับกับ CAMPBELL SCOTT (THE DYING GAUL, DYING YOUNG, DEAD AGAIN) ด้วย แต่ไม่เคยจำสองคนนี้สลับกับ NAOMI CAMPBELL แต่อย่างใด
http://www.imdb.com/name/nm0001004/
http://www.galleryofcelebrities.com/bcampbell.htm


ตอบภรรยา GAEL GARCIA BERNAL

ตอนนี้สามีของน้องเล่นหนังเรื่อง THE SCIENCE OF SLEEP (2006, MICHEL GONDRY) ที่น่าดูมากๆเลยค่ะ
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/84/95/18476473.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/84/95/18476475.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/84/95/18476480.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/84/95/18476481.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/84/95/18429541.jpg


ตอบคุณเจ้าชายน้อย

--เห็นคุณเจ้าชายน้อยชอบ JOHN WATERS มาก ก็เลยจะบอกว่า พอดีเพิ่งรู้ว่ามีเพลงชื่อ DIVINE ที่แต่งขึ้นเพื่ออุทิศให้กับดิไวน์ นักแสดงขาประจำของ JOHN WATERS ด้วยค่ะ เพลงนี้เป็นเพลงของ ANTONY AND THE JOHNSONS และอยู่ในอัลบัมชุด ANTONY AND THE JOHNSONS (2004)
http://www.amazon.com/gp/product/B0002BO0HG/ref=pd_bxgy_text_b/002-6765968-2136843?%5Fencoding=UTF8

ชอบปกอัลบัมชุดนี้มากๆ เห็นแล้วรู้สึกว่าศิลปินคนนี้มีอิทธิฤทธิ์สูงมาก
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0002BO0HG.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

เนื้อเพลง DIVINE มีการพาดพิงถึงเนื้อหาในภาพยนตร์หลายเรื่องที่เธอแสดงด้วย

Good-Bye, babyBaby, good-byeDivine, oh DivineFalling like a picture of timeOh he was the Mother of AmericaHe was my self-determined guruMyself, I hold your big fat heart in my handsAnd I hold your burning heart in my handsA supernovaA flame on fireShining in the darknessDid someone mention a raptureWell I turn to think of youWho walked the way with so much painWho holds the mirror up to foolsAnd I'll murder the ingrates (ไม่แน่ใจว่าประโยคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก FEMALE TROUBLE หรือเปล่า)Who stand in our way!And I'll swallow s-hit, laughingOn my bed of hay!And I hold your burning heart in my handsAnd I hold your burning heart in my handsA supernovaA flame on fireShining in the darknessDivineDivineA supernovaA flame on fireShining in the darkness


--ถ้าจำไม่ผิด เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ในสีลมซอย 4 เคยมีเธคชื่อ DIVINE ด้วยมั้ง อยู่ชั้น 2 ของร้านอาหาร SPHINX โดยชื่อเธค DIVINE นี้ถ้าเข้าใจไม่ผิดก็จะนำมาจากชื่อนักแสดงของ JOHN WATERS เหมือนกัน


--BRONSKI BEAT เคยแต่งเพลง CHA CHA HEELS เพื่อให้ DIVINE ร้อง แต่ DIVINE เสียชีวิตไปเสียก่อน คนที่มาร้องเพลงนี้จึงเป็น EARTHA KITT แทน

ฟังเพลง CHA CHA HEELS ของ BRONSKI BEAT FEATURING EARTHA KITT ได้ที่
http://blogfiles.wfmu.org/LB/Razormaid_-_Cha_Cha_Heels_remix_excerpt.mp3

I'm all dressed up and ready to fall in love. Are you ready heels? Stop stomping! Here I am looking for crime I'm looking for some action What I have a million times will give you satisfaction So don't you mess around with me you won't know what to do 'Cause I'll put on my cha cha heels and walk all over you. chorus Gimme gimme cha cha heels. All I want is cha cha heels Gimme gimme cha cha heels If I don't get my cha cha heels I'll walk all over you. Dressed up just for trouble to do what must be done I'm gonna burst your bubble, the fun has just begun So don't you mess around with me you won't know what to do 'Cause I'll put on my cha cha heels and walk all over you. (chorus) I'm all dressed up and ready to fall in love! I'm all dressed up. Gimme Gimme Gimme! Going back to Boise I'm itching for a fight I'm looking for a lover who loves my dynamite So don't you mess around with me you won't know what to do 'Cause I'll put on my cha cha heels and walk all over you. (chorus) Are you ready heels? Stop stomping!

เพลงนี้อยู่ในอัลบัมรวมฮิตชุด THE BEST OF EARTHA KITT: WHERE IS MY MAN? (1995) ที่รวมเพลง I LOVE MEN, MY DISCARDED MEN และ WHERE IS MY MAN? ไว้ด้วย (ชอบการตั้งชื่อเพลงของเธอจริงๆ)
http://www.amazon.com/gp/product/B000001QL2/ref=pd_sim_m_6/002-6765968-2136843?%5Fencoding=UTF8&v=glance&n=5174
http://images.amazon.com/images/P/B000001QL2.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


ได้ฟังเพลง MONOTONOUS ของ EARTHA KITT รู้สึกว่าในเนื้อเพลงจะมีเอ่ยชื่อของ MONTGOMERY CLIFT ดาราหนุ่มเกย์สุดหล่อด้วย น่าเสียดายที่หาเนื้อเพลงของเพลงนี้ไม่ได้เลย

ตัวอย่างเพลงนี้ใน AMAZON.COM จะมีส่วนที่เอ่ยถึงชื่อของ MONTGOMERY CLIFT พอดี ลองฟังได้ในอัลบัมชุด EARTHA KITT -- PURR-FECT: GREATEST HITS (1999, A+)
http://www.amazon.com/gp/product/B00000JCN9/qid=1145381901/sr=1-9/ref=sr_1_9/002-6765968-2136843?s=music&v=glance&n=5174
http://images.amazon.com/images/P/B00000JCN9.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ส่วนเพลง IN PARIS: LET’S DO IT ของ EARTHA KITT ก็มีเอ่ยถึง SIAM ด้วยเหมือนกัน

เพลงที่ชอบมากในอัลบัมรวมฮิตชุดนี้ของ EARTHA KITT คือเพลง I WANTCHA AROUND, USKA DARA และ SANTA BABY


อัลบัมที่อยากฟัง

THE MILK-EYED MENDER (2004) – JOANNA NEWSOM
http://www.amazon.com/gp/product/B0001KL526/ref=pd_krex_sdu_sims/002-6765968-2136843?n=5174
http://images.amazon.com/images/P/B0001KL526.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
ลองฟังตัวอย่างใน AMAZON.COM แล้ว รู้สึกว่าเสียงเธอแหลนสะใจมาก และการร้องของเธอก็ฟังดูบ้ามาก


ตอบน้อง merveillesxx

--พูดถึงอะไร ULTRA ULTRA ที่ไม่ใช่ ULTRAVIOLET แล้ว ก็จะนึกถึงนักร้องหญิงคนโปรด ULTRA NATE ค่ะ ลอง SEARCH ดูในเน็ต มีตัวอย่างเพลงของเธอให้ฟังหลายเพลงเหมือนกัน อย่างเช่นเพลง
http://www.juno.co.uk/artists/Ultra+Nate/

1.FREAK ON ของ STONEBRIDGE FEATURING ULTRA NATE
http://www.juno.co.uk/ppps/products/201707-01.htm
http://images.juno.co.uk/full/CS201707-01A-BIG.jpg
ในลิงค์ข้างบนมีเวอร์ชันที่มิกซ์โดย FERRY CORSTEN ด้วย

2.FREAK ON
http://www.juno.co.uk/ppps/products/178547-02.htm
ตัวอย่างในลิงค์นี้จะฟังเพราะกว่าลิงค์ข้างบน เพราะตัดมาจากเวอร์ชันที่มันสั้นอยู่แล้ว โดยมีเวอร์ชันที่มิกซ์โดย ERIC KUPPER ด้วย

3.FREE ของ ULTRA NATE
ในลิงค์ข้างล่างนี้มี 12 มิกซ์ด้วยกัน เพลงนี้เคยเป็นหนึ่งในเพลงที่ดิฉันชอบสุดขีดเมื่อราว 7-8 ปีก่อน แต่รู้สึกว่าจะถูกนำมารีมิกซ์ใหม่อีกครั้ง
http://www.juno.co.uk/ppps/products/1203481-02.htm
http://www.lyricsfreak.com/u/ultra-nate/142051.html
http://images.juno.co.uk/full/CS1203481-02A-BIG.jpg

4.GET IT UP (THE FEELING) ของ ULTRA NATE
http://www.juno.co.uk/ppps/products/208508-01.htm
http://images.juno.co.uk/full/CS208508-01A-BIG.jpg
มีเวอร์ชันที่มิกซ์โดย FULL INTENTION ด้วย

5.TIME OF OUR LIVES ของ DEVOTED FEATURING ULTRA NATE & GERRY DEVAUX
http://www.juno.co.uk/ppps/products/155736-01.htm
มีเวอร์ชันที่มิกซ์โดย STONEBRIDGE ด้วย


หนังที่ได้ดูในช่วงนี้

1.BROKEN FLOWERS (2005, JIM JARMUSCH, A+)

2.THE GHOST หรือ “ผีอาฆาต” (2004, KIM TAE-KYEONG, A)
http://www.imdb.com/title/tt0410537/

3.ICE AGE: THE MELTDOWN (2006, CARLOS SALDANHA, A-)
รู้สึกชอบมากกว่า ICE AGE (2002, CHRIS WEDGE, B) แต่ยังไงๆ หนังการ์ตูนที่ชอบที่สุดในช่วงนี้คงจะยังเป็น HOODWINKED (2005, CORY EDWARDS, A+) อยู่ดี

4.MERMAIDS (2003, IAN BARRY, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0340842/
ดูทาง HBO

5.DOIN’ TIME ON PLANET EARTH (1988, CHARLES MATTHAU, B+/B)
ดูทาง HBO
หนังเรื่องนี้เป็นหนังวัยรุ่นแบบที่ทำให้นึกถึงยุค 1980 อย่างมากๆ และหนังเรื่องนี้ยังพาดพิงถึงวง THE B-52’S ด้วย รู้สึกว่าไม่ได้ยินชื่อวงนี้มานานหลายปีแล้ว
http://images.amazon.com/images/P/B000002KKD.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

6.THE WILD (2006, STEVE ‘SPAZ’ WILLIAMS, B+/B)
รู้สึกชอบเรื่องนี้มากกว่า MADAGASCAR (2005, ERIC DARNELL + TOM MCGRATH, B) หน่อยนึง

7.REVOLVER (2005, GUY RITCHIE, B)
รู้สึกว่าฉากหลายฉากในหนังเรื่องนี้ดูดีมาก, การตัดต่อก็น่าประทับใจมาก เพลงประกอบก็เพราะดี RAY LIOTTA ก็เล่นได้ทรงพลังมาก และ JASON STATHAM ก็ดูดีมาก แต่พอรวมๆกันแล้ว หนังกลับไม่สร้างความประทับใจ รู้สึกว่าหนังทำตัวซับซ้อนมากเกินกว่าที่ผู้กำกับจะสามารถคุมได้ ไม่เหมือนหนังของ ATOM EGOYAN อย่าง EXOTICA, ARARAT และ WHERE THE TRUTH LIES ที่ถึงแม้จะมีโครงสร้างซับซ้อน แต่ก็ทำให้รู้สึกเสียดแทงใจอย่างรุนแรงมากในตอนใกล้จบ ในขณะที่ตอนจบของ REVOLVER กลับให้ความรู้สึกกลวงๆ

REVOLVER ทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่ดิฉันรู้สึกว่าทำตัวซับซ้อนเกินความสามารถของผู้กำกับ ซึ่งก็คือเรื่อง BASIC (2003, JOHN MCTIERNAN, B-)
http://www.imdb.com/title/tt0264395/


8.THAI THIEVES (2006, PISUTH PRAESANG-IAM, B)
http://www.thaifilmdb.com/th/pp00003

9.FAILURE TO LAUNCH (2006, TOM DEY, B)


MOST DESIRABLE ACTOR
BRADLEY COOPER—FAILURE TO LAUNCH
http://www.imdb.com/name/nm0177896/
เขาเคยรับบทเป็นตัวโกงมาแล้วใน WEDDING CRASHERS (2005, DAVID DOBKIN, B) และร่วมแสดงใน MY LITTLE EYE (2002, MARC EVANS, A)
http://www.whineandcheese.net/photos/hotties/bcooper.jpg


FAVORITE ACTRESS
KIM HA-NEUL—THE GHOST
http://www.imdb.com/name/nm0453452/
http://images.jeboo.com/program/images/gallery/22/618eea456d0086add28753abbdc1c993.jpg


FAVORITE SUPPORTING ACTOR
MARK STRONG—REVOLVER
http://www.imdb.com/name/nm0835016/
http://www.geocities.com/Hollywood/Theater/7894/msdan.jpg
เขาเคยเล่นหนังเรื่อง
A.HOTEL (2001, MIKE FIGGIS, A+)
B.OLIVER TWIST (2005, ROMAN POLANSKI, A+)
C.FEVER PITCH (1997, DAVID EVANS, B+/B)
D.TO END ALL WARS (2001, DAVID L. CUNNINGHAM, C+)
http://www.toendallwarsmovie.com/images_week_01/Img35.158_210.jpg


FREQUENT SUPPORTING ACTRESS
YI SHIN—THE GHOST
นักแสดงหญิงคนนี้ทำให้นึกถึง “ม่อเหวินเหว่ย” หรือ KAREN MOK เพราะเธอไม่ค่อยสวย แต่เธอมีบุคลิกโดดเด่น และโผล่มารับบทฮาในหนังหลายเรื่องมากในระยะนี้ ซึ่งรวมถึงใน MY BOYFRIEND IS TYPE B (2005, CHOI SEOK-WON, B) และ A BOLD FAMILY (2005, JO MYEONG-NAM, A+)

Tuesday, April 18, 2006

THE YEARLING

--ไม่รู้ว่าเพลง in private ของ pet shop boys เป็นเพลงเดียวกับที่วงนี้เคยทำให้ dusty springfield ในปี 1989 หรือเปล่า เพราะเพลงนั้นเป็นเพลงที่เพราะมาก

--เดาว่าหนังเรื่องนั้นคือ THE YEARLING (1946, CLARENCE BROWN)
http://www.imdb.com/title/tt0039111/

หนังเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายรางวัล PULITZER ของ MARJORIE KINNAN RAWLING โดยฉากหลังของเรื่องเกิดขึ้นในปี 1878 โดยบทแม่ (JANE WYMAN) ในหนังเรื่องนี้เป็นบทของคนที่ใจร้ายมาก และส่งผลให้ลูกสาวของ JANE WYMAN ไม่ยอมพูดกับแม่นาน 2 สัปดาห์หลังจากตัวลูกสาวได้ดูหนังเรื่องนี้
หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัล OSCAR 2 สาขา ซึ่งได้แก่สาขากำกับศิลป์ และถ่ายภาพสี และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 5 สาขา ซึ่งได้แก่

1.ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ผู้ชนะคือ THE BEST YEARS OF OUR LIVES

2.ผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่ผู้ชนะคือ WILLIAM WYLER จาก THE BEST YEARS OF OUR LIVES

3.นำชาย (GREGORY PECK) แต่ผู้ชนะคือ FREDERIC MARCH จาก THE BEST YEARS OF OUR LIVES

4.นำหญิง (JANE WYMAN) แต่ผู้ชนะคือ OLIVIA DE HAVILLAND จาก TO EACH HIS OWN (1946, MITCHELL LEISEN) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาวในเมืองเล็กที่มีบุตรนอกกฎหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับนักบินร่อนเร่ ต่อมาเธอตัดสินใจยกลูกให้กับครอบครัวอื่น และเฝ้ามองลูกอยู่ห่างๆ http://www.imdb.com/title/tt0039040/

5.ตัดต่อ แต่ผู้ชนะคือ THE BEST YEARS OF OUR LIVES

ยังไม่ได้ดู THE YEARLING เลย แต่ตอนเด็กๆชอบดูหนังดิสนีย์เกี่ยวกับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามเมื่อราว 100 ปีก่อนเป็นอย่างมาก เพราะหนังเหล่านี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าหากตัวเองได้ไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติเหล่านี้ คงจะมีความสุขราวกับได้อยู่ในสวรรค์

หนังที่เหมาะดูควบกับ THE YEARLING

1.CROSS CREEK (1983, MARTIN RITT) หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของ MARJORIE KINNAN RAWLINGS (MARY STEENBURGEN) ผู้แต่งนิยายเรื่อง THE YEARLING และ JACOB’S LADDER โดยใช้ฉากหลังเป็นปี 1930 และพูดถึงความสัมพันธ์ของ RAWLINGS กับชาวบ้านในชนบท ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอแต่งนิยายเรื่องต่างๆออกมา อย่าจำหนังเรื่องนี้สลับกับ

A.MEAN CREEK (2004, JACOB AARON ESTES) ที่นำแสดงโดยดาราหนุ่มๆอย่าง RYAN KELLEY, SCOTT MECHLOWICZ กับ TREVOR MORGAN http://www.imdb.com/title/tt0377091/

B. WOLF CREEK (2005, GREG MCLEAN) http://www.imdb.com/title/tt0416315/ หนังเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตที่สร้างจากเรื่องจริง โดยมี NATHAN PHILLIPS ดาราหนุ่มน่ารักน่ากอดจาก AUSTRALIAN RULES (2002, PAUL GOLDMAN, A+++++) มานำแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย

C.THE MIRACLE OF MORGAN’S CREEK (1944, PRESTON STURGES) http://www.amazon.com/gp/product/B0009W5J78/ref=ase_imdb-adbox/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130&tagActionCode=imdb-adbox http://images.amazon.com/images/P/B0009W5J78.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ในหนังตลกเรื่องนี้ BETTY HUTTON รับบทเป็นผู้หญิงที่ชื่นชอบทหารหนุ่มๆ แต่เธอตั้งครรภ์หลังจากไปร่วมงานปาร์ตี้ โดยที่เธอเองก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก และต่อมาเธอก็ให้กำเนิดทารกแฝดถึง 6 คน Eddie Bracken รับบทเป็นเพื่อนชายทึ่มๆที่ซื่อสัตย์กับเธอ, William Dearmarest รับบทเป็นคุณพ่อจอมดุ และ Diana Lynn รับบทเป็นน้องสาวนางเอก

2.OLD YELLER (1957, ROBERT STEVENSON)
http://www.imdb.com/title/tt0050798/

หนังดิสนีย์เกี่ยวกับครอบครัวที่เลี้ยงหมาในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ โดยเน้นไปที่ความผูกพันระหว่างหมากับเด็กชายสองคนในครอบครัว หนังจบแบบเศร้าเคล้าน้ำตา หนังสือเรื่อง OLD YELLER ของ FRED GIPSON เคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของดิฉันสมัยมัธยม และทำให้ดิฉันกลายเป็นคนที่หวาดกลัวโรคพิษสุนัขบ้าอย่างรุนแรง

หนังเรื่องนี้มีภาคต่อชื่อ SAVAGE SAM (1963, NORMAN TOKAR) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ SAVAGE SAM หมาซึ่งเป็นลูกชายของ OLD YELLER โดยหมาตัวนี้ต้องไปช่วยเหลือเด็ก 3 คนที่ถูกอินเดียนแดงจับตัวไป

ต่อมา NORMAN TOKAR ได้กำกับ WHERE THE RED FERN GROWS (1974) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักความผูกพันระหว่างเด็กชายกับหมาล่าเนื้อสองตัว และการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเด็กชายคนนี้ในรัฐโอกลาโฮม่าในทศวรรษ 1930
http://www.imdb.com/title/tt0072402/

3.BAMBI MEETS GODZILLA (1969, MARV NEWLAND)
http://www.imdb.com/title/tt0064064/
หนังแอนิเมชั่นขนาดสั้นที่ฮามาก และมีเครดิตท้ายเรื่องที่ฮามากเช่นกัน โดยเครดิตบอกว่า MARV NEWLAND PRODUCED BY MR. & MRS. NEWLAND และมีการกล่าวขอบคุณคนที่จัดหาเสื้อผ้าให้ BAMBI ด้วย

4.LITTLE HOUSE ON THE PRAIRIE (1974-1983) หรือ “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ที่เคยมาฉายทางโทรทัศน์ตอนเด็กๆ http://www.imdb.com/title/tt0071007/

Sunday, April 16, 2006

BE WITH ME from critcine.com

หนังสิงคโปร์เรื่อง BE WITH ME (A+) ได้ลงโรงฉายที่ HOUSE RCA แล้ว ดูรอบการฉายได้ที่ http://www.houserama.com/

ขอถือโอกาสนี้นำบทวิจารณ์ BE WITH ME (2005, ERIC KHOO) ของ GAIK CHENG KHOO ใน CRITICINE.COM มาแปลให้อ่านกันค่ะ


ข้อความข้างล่างนี้แปลและดัดแปลงมาจากบทวิจารณ์ภาษาอังกฤษใน
http://www.criticine.com/
http://www.criticine.com/review_article.php?id=10

***มี spoilers ค่ะ สมควรดูหนังก่อนมาอ่านบทความข้างล่างนี้***


BE WITH ME เป็นผลงานการกำกับของ ERIC KHOO นักสร้างหนังชาวสิงคโปร์ที่ไม่ได้ทำงานกำกับมานานหลายปี เพราะเขาหันไปทำงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์แทนในระหว่างนั้น โดยผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดก่อนหน้านี้ของเขาคือ 12 STOREYS (1997) และหลังจากเรื่องนั้น เขาก็หันมาอำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดี้อย่างเช่นเรื่อง “15: THE MOVIE” (2002, ROYSTON TAN) และ ZOMBIE DOG (2004, TOH HAI LEONG) โดย BE WITH ME ได้เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ที่คานส์ในปี 2005 ในฐานะภาพยนตร์เปิดเทศกาลของสาย DIRECTORS’ FORTNIGHT และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับคำชมมากพอสมควร แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาจีนกลางและภาษาจีนฮกเกี้ยน

BE WITH ME ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตและอัตชีวประวัติของ Theresa Chan ซึ่งเป็นตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประกอบด้วยเรื่องราวย่อยๆ 3 เรื่อง โดยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเทเรซ่าคือหัวใจและจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเรื่องราวของเธอมอบความรู้สึกอบอุ่นและความรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงให้กับภาพยนตร์ของเอริค คูที่มักให้อารมณ์ที่เคร่งขรึม

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือความเงียบ เพราะบทสนทนาส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดผ่านทางซับไตเติล, sms, การพิมพ์ดีด, จดหมายรักที่เขียนด้วยมือในภาษาจีนกลาง, อีเมล, การแชทกันทางเน็ต และการสื่อสารกันด้วยมือสำหรับคนที่ตาบอดและหูหนวก นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังใช้ดนตรีประกอบน้อยมาก โดยมีการใช้เสียงเปียโนแบบโรแมนติกมาประกอบช่วงครึ่งแรกของเรื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่เน้นเล่าเรื่องราวย่อย 2 เรื่องที่มีชื่อเรื่องว่า FINDING LOVE กับ SO IN LOVE แต่เสียงเปียโนนี้ลดลงไปในส่วนที่มีชื่อว่า MEANT TO BE ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่รักวัยชราคู่หนึ่ง

ในขณะที่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องท่ามกลางความเงียบเป็นส่วนใหญ่ หนังเรื่องนี้ก็แสดงออกมากขึ้นในจุดที่เป็นการวิจารณ์สังคม ซึ่งได้แก่การวิจารณ์รัฐบาลสิงคโปร์ที่กำหนดโทษประหารชีวิตให้กับผู้ค้ายาเสพติด โดยการฉายรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่องนี้ที่คานส์ตรงกับช่วงที่สื่อมวลชนให้ความสนใจกับการลงโทษประหารชีวิตในสิงคโปร์พอดี โดยในตอนนั้นมีชาวสิงคโปร์ชื่อ Shanmugam Murugesu กับชาวออสเตรเลียชื่อ Nguyen Tuong Van ถูกแขวนคอในข้อหาค้ายาเสพติดในปี 2005 และหนังเรื่องนี้ก็พูดถึงประเด็นนี้ในช่วงต้นเรื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแนะนำตัวละครที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ใน MEANT TO BE โดยในฉากนั้น เขากำลังเขียนรายงานเกี่ยวกับครอบครัวที่พยายามหาเงินมายังชีพหลังจากพ่อถูกแขวนคอในข้อหาค้ากัญชา

FINDING LOVE มีเนื้อหาเกี่ยวกับ FATTY ยามรักษาความปลอดภัยที่ขี้อายและมีรูปร่างอ้วน เขาหลงรักมิส แอนน์สาวออฟฟิศคนหนึ่งที่มีเสน่ห์และทำงานในตึกเดียวกับเขา เขาพยายามสะกดรอยตามเธอ แต่หนังแสดงให้เราเห็น 2 ครั้งว่า ถึงแม้เขามีรูปร่างอ้วน เขาก็เป็นคนใจดีมีเมตตา โดยชีวิตแบบคนชายขอบของสังคมของยามคนนี้ทำให้นึกถึงธีมที่มักพบในหนังของคู ซึ่งได้แก่ตัวละครชนชั้นแรงงานที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม นับตั้งแต่คนขายบะหมี่ใน MEE POK MAN ไปจนถึงหญิงสาวผู้ยากจนที่ตกเป็นเป้าการทารุณจากแม่ของเธอเองในอาคารการเคหะในหนังเรื่อง 12 STOREYS ทั้งนี้ อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่า LIM POH HUAT มารับบทเป็นพี่ชายของยามที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนนี้ด้วย โดย LIM นั้นมีอาชีพเป็นยามรักษาความปลอดภัยในชีวิตจริง และเขาทำงานเป็นนักแสดงด้วยในบางครั้ง (LIM เคยแสดงใน ZOMBIE DOG ที่อำนวยการสร้างโดยคู และเขายังเป็นตัวเอกในภาพยนตร์สารคดีสั้นที่ตั้งชื่อตามเขาในปี 2004 ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ LEE WONG)

ส่วน SO IN LOVE มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักวัยรุ่นของหญิงสาวสองคน โดยหนังนำเสนอเนื้อหาในส่วนนี้ผ่านทางช็อตสั้นๆหลายช็อตมาเรียงต่อๆกัน โดยใช้เพลงป็อปใสๆของญี่ปุ่นมาประกอบ โดยเริ่มต้นเรื่องด้วยการที่แซมกับแจ็คกี้ หญิงสาวสองคนนี้แชทกันทางเน็ต, ทั้งสองได้พบกัน และตกหลุมรักกันขณะไปเที่ยวคลับและไปช็อปปิ้ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จบลงรวดเร็วพอๆกับการส่ง SMS เมื่อแซมหันไปหาคนอื่นแทน ทั้งนี้ โครงสร้างการเล่าเรื่องของ SO IN LOVE สะท้อนให้เห็นธรรมชาติความรักของวัยรุ่นที่ไม่มั่นคงและผ่านไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่าสื่อมวลชนจะมุ่งความสนใจไปที่ภาพโปสเตอร์หญิงสาวสองคนจูบกัน ซึ่งเป็นภาพที่ถูกแบนในบางประเทศ หนังเรื่องนี้ก็แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กส์เลย และแทบไม่ได้แสดงจุดยืนที่มีต่อประเด็นเรื่องเพศด้วย

ถึงแม้หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเนื้อหาได้อย่างสมจริงโดยแทบไม่ใช้บทสนทนา เนื้อหาในสองส่วนนี้ก็ไม่น่าประทับใจเท่าใดนัก โดยส่วนที่น่าสนใจกลับเป็นเรื่องราวความหวัง, ความแข็งแกร่ง และการต่อสู้กับชีวิตของเทเรซ่า ชาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนกรอบให้กับเรื่องราวย่อยๆ 3 เรื่องในหนัง และเนื้อหาของชานก็เป็นจุดที่เอริค คูใช้ในการสร้างตัวละครที่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกใส่ใจได้จริงๆ ทั้งนี้ สิ่งที่สร้างความประทับใจอย่างมากให้กับผู้เขียนก็คือ Chiew Sung Ching นักแสดงที่รับบทเป็นเจ้าของร้านขายของวัยชราที่สูญเสียภรรยาและมีอาการซึมเศร้าหดหู่ และหนังเรื่องนี้ก็ถ่ายภาพใบหน้าอันเศร้าสร้อยของ Chiew ได้อย่างงดงามท่ามกลางโทนสีเขียว-เหลืองที่ให้อารมณ์เศร้าๆ

ตัวละครของ Chiew วุ่นวายอยู่กับการจ่ายตลาด, เตรียมอาหาร และทำอาหารให้กับคนที่เขารัก โดยในช่วงต้นของหนัง เราจะเห็นเขาเลือกส่วนผสมที่ดีที่สุดในตลาดสดเพื่อนำมาใช้ทำซุปให้กับภรรยาของเขาที่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และเขาก็จะป้อนอาหารให้เธอและนั่งอยู่ข้างเตียงนอนของเธอจนมืดก่อนจะกลับบ้าน ต่อมาลูกชายของเขาที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ก็แวะมาเยี่ยมเขา และนำหนังสืออัตชีวประวัติของเทเรซ่าฉบับแปลติดมือมาด้วย และหลังจาก Chiew ได้อ่านหนังสือเล่มนั้น เขาก็รู้สึกอยากจะทำอาหารให้เทเรซ่าทาน

ไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้รวมถึงฉากแฟลชแบ็คของ Chiew กลับไปยังช่วงเวลาที่ภรรยาของเขากำลังจะตาย และฉากที่เขาสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่และหลั่งน้ำตาออกมาที่โต๊ะกินข้าวของเทเรซ่าก่อนที่เทเรซาจะโอบกอดเขาเอาไว้ อย่างไรก็ดี ฉากนี้ไม่ได้พูดถึงความรักระหว่างเทเรซ่ากับผู้ชายที่ทำอาการให้เธอกิน 3 มื้อต่อสัปดาห์ แต่พูดถึงว่าคนเราสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากเพียงใดเพื่อคนที่เรารัก ถึงแม้ว่าเราจะต้องสูญเสียคนรักไปก็ตาม โดยเทเรซ่าเองได้กล่าวไว้ว่า “ความรักไม่ได้ตายจากไปถึงแม้ว่าร่างกายอาจจะสูญสลายไปเพราะความเจ็บปวดจากสาเหตุต่างๆ”

การผสมผสานอัตชีวประวัติที่แท้จริงของเทเรซ่าเข้ากับเรื่องแต่งในภาพยนตร์ส่งผลให้เกิดเรื่องราวอันเรียบง่ายแบบคริสเตียนเกี่ยวกับความหวัง, ความรัก และการไถ่บาป เพราะในขณะที่เทเรซ่าบอกเราว่าเธอสูญเสียรักแท้ไปในคริสต์มาสปี 1968 เธอก็อาจจะได้คนรักใหม่ในช่วงคริสต์มาสยุคปัจจุบันเมื่อ Chiew มาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของเธอพร้อมกับอาหารเย็น ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยการที่เทเรซ่าพิมพ์คำว่า “จงอยู่กับฉันเถิด ที่รัก เพื่อที่รอยยิ้มของฉันจะได้ไม่เลือนหายไป” อย่างไรก็ดี ผู้เขียนก็ลังเลที่จะเชื่อมโยงฉากของคนทั้งสองขณะสวมกอดกัน เข้ากับคำที่เทเรซ่าพิมพ์ เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าทั้งสองรักกัน เพราะผู้เขียนคิดว่าถึงแม้วิญญาณของคนในอดีตอาจเดินออกไปจากตัวเนื้อเรื่องแล้ว (อย่างเช่น ภรรยาของ Chiew) แต่ความทรงจำและความรู้สึกที่มีต่อคนเหล่านั้นยังคงดำรงอยู่ และยังคงล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ และกระเพื่อมไหวคล้ายกับจดหมายรักที่เขียนด้วยลายมือที่ปลิวระเรี่ยไปบนพื้นทางเดิน หรือเหมือนกับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นเมื่อสายไปเสียแล้วเมื่อเราจดจำคนบางคนที่อยู่ในชายขอบของสังคมได้หลังจากได้เห็นเขาตกเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์

ในขณะที่บันทึกความทรงจำที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในหนังเรื่องนี้ เป็นบันทึกอันเปี่ยมล้นด้วยพลังของหญิงผู้หนึ่งที่เอาชนะความพิการสองอย่างในตัวได้สำเร็จ (เราได้เห็นเธอทำอาหาร, กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย, ล้างจาน, ว่ายน้ำ และสอนหนังสือ) ความพยายามของหนังเรื่องนี้ในการรักษาเนื้อหาในชีวิตจริงเอาไว้โดยไม่ดัดแปลงกลับส่งผลให้บทภาพยนตร์อ่อนพลังลง ตัวอย่างเช่น บทกวีที่พิมพ์ไว้ในช่วงต้น, ในระหว่างกลาง และในช่วงท้ายเรื่องให้ความรู้สึกจืดชืดเมื่อปรากฏซ้ำกันหลายๆครั้ง (true love truly…, beloved love) และสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษของชาวสิงคโปร์รุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ การผสมผสานเรื่องจริงกับเรื่องแต่งเข้าด้วยกันก็ให้ผลที่ก้ำกึ่ง เพราะมันทำให้เป็นการยากสำหรับผู้ชมที่จะวิจารณ์ข้อความนั้นอย่างโดดๆ เนื่องจากผู้ชมก็ตระหนักว่าเทเรซ่า ชานตัวจริงก็กำลังแสดงในหนังเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นี่คือภาพยนตร์แห่งอารมณ์สัมผัสถึงแม้ไม่มีฉากเซ็กส์ (หนังเรื่องนี้มีเพียงฉากจูบกันไม่กี่ฉาก) และถึงแม้ว่าแทบไม่มีการใช้เสียงและบทสนทนาในหนังเรื่องนี้ และอารมณ์สัมผัสนี้ก็ได้รับการถ่ายทอดผ่านทางสัมผัสทางผิวหนังและทางกลิ่น ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เทเรซ่าต้องพึ่งพาในการดำรงชีวิต แทนที่จะพึ่งพาสัมผัสทางเสียงและทางภาพ ฉากที่แสดงให้เห็นถึงจุดนี้คือฉากที่นักสังคมสงเคราะห์สื่อสารกับเทเรซ่าผ่านทางการใช้นิ้วของเขาเขียนลงบนฝ่ามือของเธอ และฉากที่เทเรซ่าร้อยรัดนิ้วของเธอเข้ากับนิ้วของเด็กนักเรียนเพื่อสอนเขาเรื่องการสานกระดาษ

นอกจากการถ่ายภาพแบบโคลสอัพในฉากการสื่อสารกันด้วยมือแล้ว หนังเรื่องนี้ยังให้สัมผัสอันน่ารื่นรมย์สำหรับผู้ชมชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยผ่านทางการนำเสนออาหารและความสำคัญของอาหารในการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นๆโดยไม่ต้องใช้คำพูดด้วย ทั้งนี้ Chiew ปรุงอาหารที่น่าดูหลายจานซึ่งได้รับการนำเสนอขณะที่กำลังต้มอยู่ในหม้อหรือวางอยู่บนโต๊ะ และฉากการจ่ายตลาดของเขาก็ให้ภาพที่น่าชมมาก อย่างไรก็ดี กลิ่นและรสของอาหารคือสิ่งที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับตัวละครในหนังมากที่สุด อาหารจากพ่อค้าเร่ช่วยทดแทนความสุขทางอารมณ์และทางเพศที่ Fatty ต้องการจากมิส แอนน์แต่ไม่สามารถไขว่คว้าหามาได้ ซึ่งรวมถึงอาหารอย่างหอยทอด, สเต็กและมันฝรั่งทอด และอาหารที่เขาหาเพิ่มเติมได้จากในบ้าน อย่างเช่นขนมปังจิ้มหมูตุ๋นกระป๋อง ส่วนแซมเองนั้นก็นอกใจแจ็คกีเมื่อเธอเลือกที่จะไปกินไอติมกับชายหนุ่มคนหนึ่งแทน ทางด้าน Chiew เองนั้นก็รู้สึกมีความสุขที่สุดขณะที่เขาทำอาหารให้คนอื่น ส่วนเทเรซ่าซึ่งเคยมีพ่ออยู่ในธุรกิจร้านอาหารก็เชื่อมโยงกับชายชราคนนี้ผ่านทางอาหารที่เขาทำมาให้กิน หลังจากที่ในตอนแรกนั้นเทเรซ่าเคยสานสัมพันธ์กับนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นบุตรชายของ Chiew มาแล้วเมื่อทั้งสองเดินทางไปจับจ่ายซื้อของชำด้วยกัน

Be With Me ได้รับคำชมเป็นส่วนใหญ่นับตั้งแต่เปิดฉายที่คานส์ อย่างไรก็ดี ถึงแม้หนังเรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนในสิงคโปร์ หนังเรื่องนี้ก็ทำรายได้ในสิงคโปร์ต่ำกว่าที่คาด หนังเรื่องนี้ได้รับการซื้อไปฉายในต่างประเทศแล้ว ส่วนดีวีดีของหนังเรื่องนี้จะได้รับการจัดจำหน่ายโดยบริษัท Film Movement ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในสหรัฐที่ “นำภาพยนตร์ต่างชาติและภาพยนตร์อินดี้ที่ได้รับรางวัลมาสู่แฟนๆทั่วประเทศโดยผ่านทาง DVD-of-the-Month Club, the Film Movement Series และผ่านทางช่องทางปกติ” ดังนั้นผู้ชมที่อยู่ในเมืองที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าฉายก็สามารถหาดูได้จากทางดีวีดีเช่นกัน

จบบทความของ Gaik Cheng Khoo

(ขอขอบคุณคุณ ALEXIS TIOSECO บรรณาธิการ CRITICINE เป็นอย่างมากสำหรับบทความนี้)

--ส่วนความเห็นบ้าๆบอๆของดิฉันที่มีต่อหนังเรื่องนี้ สามารถอ่านได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=27131

--อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BE WITH ME ได้ที่
http://www.houserama.com/shownews.php?no=000229
http://www.houserama.com/shownews.php?no=000226

--เว็บไซท์ของหนังเรื่องนี้
http://www.zhaowei.com/bewithme.html

--DVD หนังเรื่อง MEE POK MAN (1995) ของ ERIC KHOO
http://www.amazon.com/gp/product/B00008974M/qid=1145165812/sr=1-1/ref=sr_1_1/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00008974M.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

--DVD หนังเรื่อง 15 (2003) ของ ROYSTAN TAN
http://www.amazon.com/gp/product/B000B5IOM0/ref=pd_sim_d_3/002-0172376-3992012?%5Fencoding=UTF8&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B000B5IOM0.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


--ในขณะที่ THERESA CHAN แสดงเป็นตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆใน BE WITH ME หนังที่นำเสนอการแสดงของหญิงชราเรื่องอื่นๆที่น่าดูมาก ก็มีเช่น

1.INNOCENCE (2000, PAUL COX, A+)
นำแสดงโดย JULIA BLAKE ในบทของหญิงชราที่ได้พบกับคนรักเก่าที่พลัดพรากจากกันเมื่อ 50 ปีก่อน
มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B00006SFJT/qid=1145166274/sr=1-7/ref=sr_1_7/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B00006SFJT.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


2.A WOMAN’S TALE (1991, PAUL COX)
นำแสดงโดย SHEILA FLORANCE ในบทของหญิงชราที่ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
http://www.amazon.com/gp/product/6302645905/ref=imdbap_t_4/002-0172376-3992012?%5Fencoding=UTF8&v=glance&amp;n=404272


3.THE TRIP TO BOUNTIFUL (1986, PETER MASTERSON)
นำแสดงโดย GERALDINE PAGE ในบทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขาดารานำหญิง
มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B00079ZA2W/qid=1145166567/sr=1-1/ref=sr_1_1/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B00079ZA2W.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


4.I SENT A LETTER TO MY LOVE (1980, MOSHE MIZRAHI, A+)
นำแสดงโดย SIMONE SIGNORET ในบทของน้องสาววัย 50 กว่าปีที่หลงรักพี่ชายตัวเอง
http://www.imdb.com/title/tt0082182/

อันนี้เป็นภาพของ SIMONE SIGNORET จากหนังเรื่อง MADAME ROSA (1977, MOSHE MIZRAHI) ซึ่งในหนังเรื่องนี้เธอรับบทเป็นโสเภณีที่ปลดระวางแล้วและเป็นชาวยิวที่รอดชีวิตมาจากค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง เธอทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกๆให้กับโสเภณีคนอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กที่ชื่อโมโม (SAMY BEN-YOUB) โดยมาดามโรซ่าบังคับให้โมโมสัญญาว่าเขาจะต้องไม่ยึดอาชีพขายตัวหรือแมงดาเป็นอันขาด
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/33/14/18473821.jpg

MADAME ROSA สร้างจากนิยายของ ROMAIN GARY ซึ่งเคยแต่งงานกับ JEAN SEBERG ระหว่างปี 1962-1970 และมีลูกด้วยกัน 2 คน เขาเกิดปี 1914 และยิงตัวเองตายในปี 1980
http://www.imdb.com/name/nm0308900/


5.THE GOLDEN GIRLS (1985-1992)
ละครทีวียอดฮิตที่มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี นำแสดงโดย BEA ARTHUR, BETTY WHITE, RUE MCCLANAHAN และ ESTELLE GETTY ในบทของหญิงชรา 4 คนที่เคยแต่งงานและหย่ากันมาแล้วหลายครั้งจนกระทั่งได้มาอาศัยอยู่ในที่เดียวกันในวัยชราในเมืองไมอามี่
http://www.amazon.com/gp/product/B0002W4SX6/qid=1145167800/sr=1-1/ref=sr_1_1/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B0002W4SX6.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B0007KTBJO.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B000AJJNJK.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B000C1VBAA.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B000EBGFQI.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

รู้สึกว่าคนแก่หลายคนในสหรัฐมักไปอาศัยอยู่ที่ฟลอริด้าในวัยชรา เพราะเคยมีตัวละครทำนองนี้ใน IN HER SHOES (2005, CURTIS HANSON, A+) และใน TORCH SONG TRILOGY (1988, PAUL BOGART, A+)


6.MARTHA JELLNECK (1988, KAI WESSEL)
http://www.imdb.com/title/tt0095594/

MARTHA JELLNECK (HAIDEMARIE HATHEYER) ซึ่งมีอายุ 72 ปี อาศัยอยู่ตามลำพังในอพาร์ทเมนท์ขนาดเล็กในเมืองฮัมบวร์ก เธอเดินไม่ค่อยได้ ดังนั้นเธอก็เลยไม่ได้ออกจากบ้านเลย หนทางเดียวที่เธอจะติดต่อกับโลกภายนอกได้ก็คือผ่านทางโธมัส (DOMINIQUE HORWITZ) ซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์ และผ่านทางเด็กชายข้างบ้านที่พาหมาของเธอไปเดินเล่น

วันหนึ่งโธมัสบอกเธอว่าฟรานซ์ เลาบ์ (ULRICH MATSCHOSS) หนึ่งในคนที่เขาดูแลกำลังจะครบรอบวันเกิด เธอก็เลยนึกสงสัยขึ้นมา เพราะเธอเคยมีน้องชายที่เกิดวันนั้นและมีชื่อว่า FRANZ LAUB เหมือนกัน แต่น้องชายคนนั้นเสียชีวิตไปแล้วในสงครามโลกครั้งที่สอง

อันนี้เป็นปกดีวีดีหนังเรื่อง FIRST KISS ของ KAI WESSEL ซึ่งเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ + coming of age โดยหนังเรื่องนี้เริ่มต้นเรื่องด้วยการที่ TRISTAN สูญเสียภรรยาที่แต่งงานกันมานาน 16 ปีไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเขาก็หวนระลึกไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เขาหวนนึกไปถึงตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่มขี้อายวัย 15 ปีที่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรักอย่างไรดีกับหญิงสาวที่เขาชอบ และเขาจะต้องรีบแสดงออกให้เร็วที่สุดก่อนที่พ่อกับแม่ของเขาจะหย่ากันและเขาจะต้องติดตามแม่ไปอยู่เมืองอื่น
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0001YIE1M.01.LZZZZZZZ.jpg
http://www.german-cinema.de/archive/film_view.php?film_id=1151


7.ANITA: DANCES OF VICE (1987, ROSA VON PRAUNHEIM)
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00009PM89.03.LZZZZZZZ.jpg
นำแสดงโดย LOTTI HUBER ในบทของหญิงชราในโรงพยาบาลบ้าที่พยายามทำให้คนอื่นๆเชื่อว่าเธอเคยเป็น ANITA นักเต้นรำชื่อดังในอดีตในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ANITA เป็นนักเต้นที่กล้าหาญมาก เธอเคยเปิดเผยร่างเปลือยของตัวเองต่อหน้าผู้ชม เพราะเธอต้องการดูปฏิกิริยาของผู้ชม เธอเป็นฝ่ายที่ทำให้ผู้ชมตกเป็น object ของเธอ

หนังเรื่องนี้นำเสนอเหตุการณ์ในอดีตยุคทศวรรษ 1920 ด้วยภาพสี และนำเสนอเหตุการณ์ในโรงพยาบาลบ้าในทศวรรษ 1980 ด้วยภาพขาวดำ และหนังเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นว่าถึงแม้หญิงชราคนนี้จะเป็นคนเสียสติในสายตาของคนอื่น แต่เธอก็มีทัศนคติต่อชีวิตที่เข้าท่ากว่าคนที่มีสติดีๆหลายคน

นักแสดงหลายคนแสดงสองบทบาทในเรื่องนี้ ทั้งบทบาทในอดีตและปัจจุบัน อย่างเช่น INA BLUM ที่รับบทเป็นนางพยาบาลในยุคปัจจุบัน และรับบทเป็น ANITA BARBER ในอดีต, MIKAEL HONESSEAU ที่รับบทเป็นหมอในปัจจุบัน และรับบทเป็นนักเต้นเกย์ในอดีต โดยฉากการเต้นระบำเปลือยกายของเขาในเรื่องนี้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมี EVA-MARIA KURZ ที่รับบทเป็นคนไข้ในยุคปัจจุบัน และรับบทเป็น ROSA LUXEMBURG นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดังที่มีตัวตนจริงในอดีต (เทคนิคการให้นักแสดง 1 คนรับบทเป็นตัวละครหลายคนเพิ่งถูกนำมาใช้ในละครเวทีเรื่อง “ปลิว” (2006, จตุรชัย ศรีจันทร์วันเพ็ญ, A+) ได้อย่างน่าสนใจมากๆ)

เคยมีการสร้างหนังเรื่อง ROSA LUXEMBURG (1986, MARGARETHE VON TROTTA) มาแล้วเช่นกัน โดยมี BARBARA SUKOWA รับบทเป็นโรซ่า ลักเซมเบิร์กในหนังเรื่องนี้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ROSA VON PRAUNHEIM ได้ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 3”


8.VOYAGES (1999, EMMANUEL FINKIEL, A+)
นำแสดงโดย ESTHER GORINTIN (SINCE OTAR LEFT) ในบทของหญิงชราชาวยิวจากรัสเซียที่มาระหกระเหินร่อนเร่ในอิสราเอล


9.SEPTEMBER (1987, WOODY ALLEN, A+)
ELAINE STRITCH (เกิดปี 1925) แสดงได้อย่างน่าประทับใจมากในหนังเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวเรื่องนี้ ก่อนที่เธอจะกลับมาประกาศศักดาอีกครั้งในบทแม่ผัวของเจน ฟอนด้าใน MONSTER-IN-LAW (2005, ROBERT LUKETIC, B+)


10.THE CLIENT (TV SERIES) (1995-1996, A-)
ละครทีวีที่ดัดแปลงจากนิยายของ JOHN GRISHAM เรื่องนี้ให้ความสำคัญกับบทแม่นางเอกมากพอสมควร และ POLLY HOLLIDAY ซึ่งเกิดปี 1937 ก็รับบทแม่นางเอกได้อย่างอบอุ่นน่าประทับใจและน่าเอาใจช่วยอย่างมากๆ โดยมี JOBETH WILLIAMS รับบทเป็นลูกสาวของเธอ
http://www.imdb.com/name/nm0391072/

ชอบ DAVID BARRY GRAY ที่รับบทเป็นลูกสมุนนางเอกใน THE CLIENT ด้วยเหมือนกัน แต่เขาหายจากวงการไปไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้สึกว่าเขาน่ารักมาก แต่ทำไมเขาได้งานทำน้อยจังเลย
http://www.imdb.com/name/nm0336558/

LUNA PARK

เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงแรมโอเรียนเต็ล เผยรายชื่อนวนิยายส่งเข้าประกวดชิงรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2549 ทั้งหมด 64 เรื่อง ดังนี้ 1."29 กุมภาฯ" เกรียงไกร วชิรธรรมพร นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 2."เกียวบาวนาจอก" ภาณุมาศ ภูมิถาวร สนพ.มิ่งมิตร 3."เขียนฝันด้วยชีวิต" ประชาคม ลุนาชัย สนพ.มติชน 4."เงาจันทร์บนแผ่นน้ำ" วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล อีกหนึ่งสำนักพิมพ์ 5."เจ้าหนูขลุ่ยผิว" สุริยัน สุดศรีวงศ์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 6."เชื่อมฟ้าฝากดิน สำนึกถิ่นดงขุมดำ" บุญยงค์ เกศเทศ สนพ.หลักพิมพ์ 7."เด็กกำพร้าแห่งสรวงสวรรค์" ภาณุ ตรัยเวช นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 8."เมื่อวานนี้" ศรี เกศมณี นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ 9."เริงคารม" เจนจรรโลง (ล้วน เจนใจ) 10."เล่นเงา" จิรภัทร อังศุมาลี สนพ.มติชน 11."เวรกรรม" ฮ.นิกฮูกี้ สนพ.ปรัชญ์ 12."แกะรอยฆาตกรรม" ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 13."แจ๊ค ณ ขอบฟ้า" เชษฐา สุวรรณเสา นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 14."โรงครู" มาโนช นิสรา สนพ.มติชน 15."โลกสีเทา" อุเทน พรมแดง นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 16."ในกรงขัง" อุเทน พรมแดง สนพ.วสี ครีเอชั่น 17."ไมรอน" พัณณิดา ภูมิวัฒน์ สนพ.สถาพรบุ๊คส์ 18."กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด" ศิริวร แก้วกาญจน์ ผจญภัยสำนักพิมพ์ 19."กระจกเงา เงากระจก" อุทิศ เหมะมูล สนพ.หวีกล้วย 20."กระต่ายกับเต่า ภาค 2 เราไปวิ่งแข่งกันแล้ว" ฮ.นิกฮูกี้ สนพ.ดอกหญ้ากรุ๊ป 21."กระบือบาล" ดำรงค์ อารีกุล สนพ.มติชน 22."กลางทะเลลึก" ประชาคม ลุนาชัย สนพ.มติชน 23."ก่อนดวงอาทิตย์ใกล้ดับ" ประมวล ดาระดาษ สนพ.โลก 24."กัมปง ตูวา" หมู่บ้านชรา อนุสรณ์ มาราสา สนพ.สยามอินเตอร์บุ๊คส์ 25."ขุนโจรแม่เล่ย์" อ.โรสินี (เอนก ทองพัดภู่) สนพ.สาลศานต 26."ความรักของพ่อเฒ่า" อัณณพ ชูบำรุง นูพริ้นท์ 27."ความสุขของกะทิ" งามพรรณ เวชชาชีวะ แพรวสำนักพิมพ์ 28."คำใส" วีระศักดิ์ สุยะลา นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 29."ชันสูตรฯ ลับ ฉบับหมอเจ็บ" น.พ.ปิยพงษ์ สาครเย็น สนพ.มติชน 30."ชีวิตเหมือนฝันอันอาดูร" เงาจันทร์ สนพ.ดอกหญ้ากรุ๊ป 31."ต้นไม้ปฏิวัติ" อุดม วิเศษสาธร สนพ.หลักพิมพ์ 32."ต้นกล้า" แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข ณ เพชร สำนักพิมพ์ 33."ทรามวัยกับไอ้ตู่อยากขอลองสู้เพื่อสร้างโลกสีสวย" มายา สวัสดี เม็ดทรายพริ้นติ้ง 34."ทริปส์" วิสิทธิ์ โพธิวัฒน์ คนรู้ใจสำนักพิมพ์ 35."ทองดี" ล่ำซำ วิฬาร นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 36."ทะเล เกลียวคลื่น และดวงดาว" วัชรินทร์ อำพัน สนพ.เรือนปัญญา 37."ทางเลี้ยวเข้าสุสาน" นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ สนพ.สยามอินเตอร์บุ๊คส์ 38."นกเพลง" ทินกร หุตางกูร สนพ.เม่นวรรณกรรม 39."นอน" ศักดิ์ชัย ลัคนาวิเชียร แพรวสำนักพิมพ์ 40. "นารีผล เล่า 1-2 "สุทัสสา อ่อนค้อม สนพ.บีเฮลท์ตี้41."บ้านเรา" สว่าง คงยก นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 42."ปีกนางฟ้า" สุวิชานนท์ รัตนภิมล สนพ.รูปจันทร์ 43."ปีศาจหัวโต" องอาจ ชัยชาญชีพ สำนักเป็ดเต่าควาย 44."ปุชิตา" บินหลา สันกาลาคีรี สนพ.วงกลม 45."ฝนดับไฟ" ภาณุมาศ ภูมิถาวร สนพ.มิ่งมิตร 46. "พับแพว เกมมหัศจรรย์" สาคร พูลสุข นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ 47."มักกะลีผล เล่ม 1-2 "สุทัสสา อ่อนค้อม สนพ.บีเฮลท์ตี้ 48."ยายมาลี ส้มซ่า ฮ่า...ฮ่า" ศรี เกศมณี นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น 49."ยิ้มก่อนอ่าน ทรมานก่อนจะจบ" พรชัย เแสนยะมูล สนพ.ไม้ยมก 50."ระบำเมถุน" อุทิศ เหมะมูล สนพ.สเกล 51."ร่างพระร่วง" เทพศิริ สุขโสภา สนพ.มติชน 52."ลูกสาวฤษี" ปริทรรศ หุตางกูร แพรวสำนักพิมพ์ 53. "วัฏจักรชีวิต" สุทัสสา อ่อนค้อม สนพ.บีเฮลท์ตี้ 54. "ว่ายเวิ้งฟ้า" เฉกชนม์ สนพ.เพื่อนหรรษา 55."สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เล่ม 1-2" สุทัสสา อ่อนค้อม สนพ.บีเฮลท์ตี้ 56."สำนักมานุษ" วีระศักดิ์ ขันแก้ว สนพ.คนเขียน 57."สุริยคราส" อุเทน พรมแดง สนพ.ดอกหญ้ากรุ๊ป 58."หยาดน้ำฟ้า" ณรงค์ฤทธิ์ ศักดาณรงค์ สนพ.หลักพิมพ์ 59."หลิวลู่ลม" พรรณวดี (พงษ์ลดา อิทธิเมฆินทร์) สนพ.ออปจูน 60."หวนคืนกลับสู่ความหวังที่เลือนหาย" ปองวุฒิ ริระชาคร สนพ.คนรักหนังสือ 61."หัวใจทองในใจเธอ" เก็ตตะหวา นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น 62."หากเธอมีคืนหนาว ขอให้ฉันเป็นดาวอุ่น" พรชัย แสนยะมูล สนพ.ไม้ยมก 63."หุบพงไพร" ประมวล ดาระดาษ แพรวสำนักพิมพ์ 64."อารีดม" พรชัย แสนยะมูล สนพ.ไม้ยมกทั้งนี้ คณะกรรมการจะตัดสินรอบคัดเลือประมาณปลายเดือนมิ.ย.นี้

ตอบน้อง merveillesxx

--ทีวีเสียเป็นสิ่งที่ดิฉันหวาดกลัวมากค่ะ เพราะการหอบทีวีไปขึ้นแท็กซึ่เพื่อไปร้านซ่อมนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก ไม่เหมือนเครื่องเล่นวิดีโอหรือเครื่องเล่นเทปที่สามารถหอบหิ้วไปขึ้นรถแท็กซี่ได้อย่างสบาย

--พูดถึง SYSTEM F หรือ FERRY CORSTEN ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เห็นนิตยสาร MIXMAG ที่วางขายในร้าน B2S มีแถมซีดีรวมเพลงที่ FERRY CORSTEN เลือกมาด้วย ความยาวน่าจะประมาณ 70 นาที จริงๆแล้วก็รู้สึกอยากซื้อนิตยสารนี้อย่างมากๆ เพราะรู้สึกว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในนิตยสารเพลงแดนซ์ที่ดีที่สุด แต่ซื้อมาแล้วก็คงต้องเกิดกิเลสทำให้อยากซื้อซีดีเพลงต่างๆอีกมากมายตามมา
http://en.wikipedia.org/wiki/Ferry_Corsten

--เห็นชื่อเพลง LUNA PARK ของ PET SHOP BOYS แล้วทำให้นึกถึงหนึ่งในหนังที่อยากดูที่สุด นั่นก็คือหนังรัสเซียเรื่อง LUNA PARK (1991, PAVEL LONGUINE) เพราะว่าหนังเรื่องนี้ออกแบบปกวิดีโอได้น้ำลายไหลมากๆ
http://www.amazon.com/gp/product/6303139639/qid=1145186975/sr=8-2/ref=pd_bbs_2/002-0172376-3992012?%5Fencoding=UTF8&v=glance&n=404272
http://ec1.images-amazon.com/images/P/6303139639.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

LUNA PARK มีเนื้อหาเกี่ยวกับอังเดร (ANDREI GOUTINE) ผู้นำของแก็ง THE CLEANERS ซึ่งเป็นแก๊งชายหนุ่มที่อาละวาดทำลายธุรกิจของชาวยิวหลังสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียต โดยสมาชิกแก๊งนี้มักป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ LUNA PARK และมักใช้เวลาไปกับการเล่นกล้าม

อังเดรเชื่อว่าเขาเป็นชาวรัสเซียที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ เขาเชื่อว่าพ่อของเขาเป็นวีรบุรุษสงครามของโซเวียตที่เคยไปรบในแอฟกานิสถาน แต่เขาได้ทราบความจริงในเวลาต่อมาว่าที่จริงแล้วพ่อของเขาเป็นนักดนตรีชาวยิว และมีคุณสมบัติหลายๆอย่างที่ตรงกับสิ่งที่แก๊งของอังเดรเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง อังเดรตัดสินใจสืบหาพ่อของเขาขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อย่างไรก็ดี เมื่ออังเดรเริ่มหันมาสนใจในสไตล์การใช้ชีวิตของพ่อของเขาในเวลาต่อมา อังเดรก็ตกอยู่ในสถานะที่เป็นปฏิปักษ์กับแก๊งของเขาเอง

--อ่านเรื่องย่อของ LUNA PARK แล้วทำให้นึกถึงข่าวที่ได้ยินเป็นประจำจากรัสเซีย นั่นก็คือข่าวนีโอนาซีฆ่าชาวต่างชาติ โดยข่าวที่สะเทือนขวัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือข่าวเด็กหญิงชาวทาจิกิสถานวัย 9 ขวบถูกฆ่าตายเพียงเพราะเธอเป็นชาวต่างชาติ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ศาลในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ได้ตัดสินให้วัยรุ่นคนหนึ่งพ้นผิดในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิงคนนี้ แต่ตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุก 5 ปีครึ่งในข้อหาทำตัวเป็นอันธพาลแทน

เมื่อต้นปีนี้ก็มีวัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่งบุกเข้าไปในโบสถ์ยิวในกรุงมอสโคว์ด้วย โดยวัยรุ่นคนนี้ร้องตะโกนว่า HEIL HITLER และไล่แทงคนหลายคนในโบสถ์

เมื่อปลายปีที่แล้ว กลุ่มนีโอ-ฟาสซิสต์ของรัสเซียก็เดินขบวนในมอสโคว์ โดยมีชายหนุ่มหลายพันคนทำท่าทางเชิดชูนาซีในระหว่างการเดินขบวนครั้งนี้


--นำบทความเกี่ยวกับหนังเรื่อง BE WITH ME ไปโพสท์ไว้ที่ T-BOARD ค่ะ เข้าไปอ่านได้ที่
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=10837

--อิจฉาพี่ KIT จังเลย ได้อยู่ในที่อากาศเย็นๆท่ามกลางหนุ่มหล่อหุ่นดี ถ้าหากพูดถึงเนเธอร์แลนด์แล้ว จะนึกถึงหนังเกย์สองเรื่องที่อยากดูมากค่ะ ซึ่งก็คือเรื่อง

1.FOR A LOST SOLDIER (1992, ROELAND KERBOSCH)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0000687FH.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

2.SIMON (2004, EDDY TERSTALL)
http://www.simondefilm.nl/
http://www.imdb.com/title/tt0393775/

ถ้าเผอิญพี่ KIT ได้มีโอกาสได้ดูหนังสองเรื่องนี้ ก็อย่าลืมนำมาเล่าให้เราฟังด้วยนะคะ


ตอบน้องสะใภ้ PETER SARSGAARD

--ตายแล้ว คิดจะเป็นนางพญาเทครัวหรือคะ อยากให้ PETER SARSGAARD กับ JAKE GYLLENHAAL ได้กันเองเหมือนกัน

--เออใช่ ลืม THE UNTOUCHABLES (B+) ไปเลย ได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนเด็กๆ ตอนนั้น KEVIN COSTNER กับ ANDY GARCIA ยังใสปิ๊งมากๆ

--ดีใจมากค่ะที่คุณ OLIVER ก็ชอบ CASUALTIES OF WAR เหมือนกัน รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงสิ่งที่แคบกว่า PLATOON (B+) และ BORN ON THE FOURTH OF JULY (A+/A) แต่กลับประทับใจกับ CASUALTIES OF WAR มากกว่า และถ้าหากนำไปเทียบกับหนังอย่าง THE DEER HUNTER (A+) แล้ว ก็จะรู้สึกว่า THE DEER HUNTER ดีกว่า แต่ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจและฝังใจกับ CASUALTIES OF WAR มากที่สุดอยู่ดี

ตอบคุณเจ้าชายน้อย

บทความใน culture vulture ที่ทำลิงค์ไว้นั้นแค่พูดถึงหนังเรื่อง O.K. ค่ะ ไม่ได้พูดถึง SHANE กับ A HISTORY OF VIOLENCE และก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าบทความเรื่อง POISON มาจากเว็บไซท์อะไร
http://www.culturevulture.net/Movies13/OK.htm

ส่วนสาเหตุที่ดิฉันหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงในกระทู้ของคุณเจ้าชายน้อยนั้น เป็นเพราะว่าเคยอ่านบทความเกี่ยวกับ A HISTORY OF VIOLENCE แล้วนักวิจารณ์บอกว่ามีบางคนนำ SHANE มาเปรียบเทียบกับ A HISTORY OF VIOLENCE ค่ะ แต่ตัวดิฉันเองก็ไม่เคยเห็นบทความยาวๆที่พูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน

อย่างไรก็ดี ลอง search ดูใน internet ก็พบว่ามีหลายบทความเหมือนกันที่เอ่ยถึงหนังเรื่อง SHANE ในการวิจารณ์ A HISTORY OF VIOLENCE แต่ไม่ได้มีการเปรียบเทียบกันยาวๆ

ตัวอย่างบทความทำนองนี้มีให้อ่านใน

1.POLITICAL AFFAIRS
http://www.politicalaffairs.net/article/articleview/1953/1/123/

2.TAKE ONE
http://www.findarticles.com/p/articles/mi_m0JSF/is_51_14/ai_n15653930/print

3.TELEGRAPH
http://www.telegraph.co.uk/arts/main.jhtml?view=DETAILS&grid=P8&xml=/arts/2006/03/18/bfdvds18.xml
A History of Violence is rich and strange, a psychoanalytically charged variation on a whole body of films including Shane, Unforgiven, Out of the Past, The Killers, Affliction, Total Recall and The Incredibles. The plot that unfolds often looks and feels like a hyperrealistic dream, though is never revealed as such. Tom's atavistic act of violence has disturbing, monstrous consequences - as Hollywood violence mostly doesn't - including the infusion of a jolt of animalistic passion into his marital sex life, and the hideous disfigurement of his enemies' faces.

4.REVIEWJOURNAL.COM
http://www.reviewjournal.com/lvrj_home/2005/Sep-30-Fri-2005/weekly/3566859.html

Working from a graphic novel by John Wagner and Vince Locke, screenwriter Josh Olson creates a modern-day parallel to all those classic Westerns (from "The Gunfighter" to "Shane" to "The Shootist" to "Unforgiven") in which world-weary gunslingers naively think they can hang up their six-shooters -- at least until, inevitably, their violent pasts catch up with them. (As William Faulkner once wrote, "The past is not dead. In fact. it's not even past.")

5.SMART-POPCORN.COM
http://www.smart-popcorn.com/reviews/1005/
while American cinema revels in the dissection of themes of violence and how violence effects our society. Movies like Shane and Straw Dogs explore violence as a rite of passage that must necessarily precede manhood. Stone and Tarantino have dismantled violence through postmodernism, building on and then burlesquing the mystique of violence that has been erected through a century of American cinema.

6.THE OBSERVER
http://observer.guardian.co.uk/screen/story/0,,1582663,00.html
First, a pair of ruthless criminals take over Tom's diner, but when the lives of his waitress and short-order cook are threatened, he suddenly turns on the intruders, killing both and getting wounded himself. It's an exhilarating moment, as sudden and exciting as Alan Ladd first pulling his gun in Shane, former CIA man Gene Hackman revealing his lethal skills in Arthur Penn's Target, and one-armed former soldier Spencer Tracy turning on his tormentors in Bad Day at Black Rock.

รู้สึกว่าเนื้อหาข้างบนนี้จะพูดถึงหนังหลายเรื่องที่ดิฉันไม่เคยดูมาก่อน อย่างเช่นเรื่อง

1.OUT OF THE PAST (1947, JACQUES TOURNEUR) มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B000244EYW/qid=1145184590/sr=1-1/ref=sr_1_1/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B000244EYW.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังฟิล์มนัวร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Robert Mitchum ในบทของนักสืบเอกชนที่ถูกล่อลวงโดยหญิงสาวสวยใจคด (JANE GREER) ที่เป็นคนรักของมาเฟียใหญ่ (KIRK DOUGLAS) โดยในตอนแรกนั้นผู้สร้างตั้งใจจะให้ HUMPHREY BOGART มารับบทพระเอกหนังเรื่องนี้


2.THE GUNFIGHTER (1950, HENRY KING)
http://www.amazon.com/gp/product/6301801733/qid=1145184723/sr=1-3/ref=sr_1_3/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/6301801733.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

มือปืนผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ (GREGORY PECK) พยายามจะลงหลักปักฐานในชีวิต แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงตามไปสร้างความยากลำบากให้กับเขาในทุกๆที่ที่เขาเดินทางไป นักวิจารณ์บอกว่าหนังคลาสสิคเรื่องนี้คือหนึ่งในการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเกรกอรี่ เปค และหนังเรื่องนี้แทบไม่มีฉากแอคชัน เพราะนี่เป็นหนังแนว character study


3.THE SHOOTIST (1976, DON SIEGEL) มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B00005JSGL/qid=1145185152/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/002-0172376-3992012?%5Fencoding=UTF8&v=glance&n=130
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00005JSGL.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

นี่คือหนังเรื่องสุดท้ายของ JOHN WAYNE และเป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อคารวะยุคสมัยของหนังคาวบอยในอดีต โดยในเรื่องนี้เวย์นรับบทเป็นมือปืนชื่อเสียงโด่งดังที่กำลังจะตายจากมะเร็ง เขาพยายามแสวงหาสถานที่ที่จะได้ตายอย่างสงบ แต่เขากลับตกเป็นเหยื่อของชื่อเสียงของตัวเองในที่สุด

LAUREN BACALL และ JAMES STEWART ร่วมแสดงในเรื่องนี้


4.TARGET (1985, ARTHUR PENN) มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B0008KLVAU/qid=1145185547/sr=1-2/ref=sr_1_2/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B0008KLVAU.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังแนวตื่นเต้นลุ้นระทึกเรื่องนี้เดาเนื้อเรื่องได้ง่าย แต่ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับพ่อ (GENE HACKMAN) และลูกชาย (MATT DILLON) ที่เลิกทะเลาะเบาะแว้งกันเมื่อทั้งสองต่างก็ตกเป็นเป้าหมายขององค์การสายลับข้ามชาติ


5.BAD DAY AT BLACK ROCK (1955, JOHN STURGES) มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B0007TKNH4/qid=1145185715/sr=1-1/ref=sr_1_1/002-0172376-3992012?s=dvd&v=glance&n=130
http://images.amazon.com/images/P/B0007TKNH4.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
SPENCER TRACY แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมากในหนังแอคชันดราม่าที่น่าตื่นเต้นเรื่องนี้ โดยเขารับบทเป็นชายแขนเดียวที่สร้างปัญหาเมื่อเขาเดินทางมาถึงเมืองหนึ่งในฝั่งตะวันตกของสหรัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประชากรหลายคนซุกซ่อนความลับและความผิดของตัวเองเอาไว้ ส่วนดาราที่ร่วมแสดงในเรื่องนี้รวมถึง Robert Ryan ในบทของผู้ร้ายตัวเอ้ และ Lee Marvin กับ Ernest Borgnine ในบทของลูกสมุนที่ซาดิสท์และโหดร้าย

--รู้สึกว่านักวิจารณ์แต่ละคนจะนำ A HISTORY OF VIOLENCE (A+) ไปโยงกับหนังคลาสสิคมากมายที่ดิฉันยังไม่เคยได้ดูเลย ส่วนตัวดิฉันเองนั้น ช่วงต้นๆของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังห่วยเรื่อง THE LONG KISS GOODNIGHT (1996, RENNY HARLIN, C+) ค่ะ แหะแหะแหะ แต่เดาว่า THE LONG KISS GOODNIGHT ก็อาจจะมีต้นแบบมาจากหนังคลาสสิคเช่นกัน แต่ทำออกมาได้น่าผิดหวังมาก (ยกเว้น CRAIG BIERKO ในบทผู้ร้ายที่หล่อมากๆ)
http://www.thewritesite.co.uk/pdf/craig_bierko1.jpg

ตอบคุณเจ้าชายน้อย

--เข้าไปดู TEDDY SCARES ตามที่บอกมาแล้ว เป็นอะไรที่น่ารักน่าชังมาก

--ยินดีด้วยค่ะกับการได้ลง OPEN ONLINE

--หนังที่ควรดูควบกับ THE TENANT (ROMAN POLANSKI, A) ก็คือ THE IDOL (2002, SAMANTHA LANG, A) ที่คงได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจาก THE TENANT และใช้ GERARD BRACH มาเขียนบทเหมือนกัน

--พูดถึง JEAN SEBERG กับ ROMAN POLANSKI ก็ต้องนึกถึงหนังเรื่อง HARD CANDY (2005, DAVID SLADE) ด้วยเหมือนกัน เพราะในหนังเรื่องนี้มีฉากที่นางเอกอ่านอัตชีวประวัติของ JEAN SEBERG และมีฉากที่นางเอกคุยกับผู้ร้าย โดยผู้ร้ายซึ่งเป็นพวกที่ชอบมีเซ็กส์กับเด็กบอกนางเอกว่า นางเอกอย่าเอาเรื่องของเขาไปบอกตำรวจ เพราะมันจะส่งผลร้ายต่อหน้าที่การงานของเขา แต่นางเอกตอบกลับไปว่า “โรมัน โปลันสกีเพิ่งได้ออสการ์ไปไม่ใช่เหรอ”

--ได้ดู BREATHLESS (1983, JIM MCBRIDE, B-) เวอร์ชันอเมริกันด้วยเหมือนกัน จำได้อย่างเดียวว่า RICHARD GERE หล่อมาก