Friday, October 22, 2004

OURS DOESN'T WORK

หนังสั้นที่ได้ดูในวันนี้
1.SHOWING THEM (1992, SIVAN ARBEL) A-
2.EXPECTING (2001, SILALIT LIPHS-H-I-T-Z) B+
3.SLIDING FLORA (2003, TALYA LAVIE) B+
4.THE PRICE IS RIGHT (1994, DAFNA LEVIN) B+
5.MINUS PLUS (2001, SHAHAR COHEN) B+
6.PARTY LINE (1993, OHAV FLANTZ) B-

อันดับหนังยาวที่ได้ดูตั้งแต่วันเสาร์ เรียงตามความรู้สึกส่วนตัวที่ขึ้นๆลงๆตลอดเวลา

1.OURS DOESN’T WORK (2003, NICOLAS ALVAREZ + IVAN WOLOVIK) A+

OURS DOESN’T WORK เป็นหนังที่เกี่ยวกับการล่องเรือตลอดทั้งเรื่องเหมือนกับ A TALKING PICTURE แต่ต่างกันตรงที่ตัวละครใน OURS DOESN’T WORK ไม่พูดคุยกันเลย ตอนนี้หนังเรื่องนี้ครองอันดับ 1 ในใจดิฉันประจำเทศกาลนี้ไปแล้ว เพราะนี่เป็นหนังที่มีช่องว่างให้ดิฉันหายใจหายคอได้มากที่สุด และเป็นหนังที่ทำให้สมองของดิฉันได้พักผ่อนมากที่สุด ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็คิดไปถึงความสุขที่ตัวเองได้รับจากการเดินทางไปต่างจังหวัด ความสุขที่ได้รับจากการที่มีสายลมพัดมาปะทะใบหน้าขณะนั่งเรือ ความสุขที่ได้รับจากการนั่งมองกระแสน้ำ (ที่ไม่ใช่น้ำครำ) ความสุขที่ได้รับเมื่อมีแสงแดดอุ่นๆมาโลมเลียใบหน้า ฉากที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้รวมถึงฉากที่นางเอกเล่นสนุกกับขอนไม้ขนาดใหญ่ และฉากที่นางเอกกับแฟนลอยเท้งเต้งอยู่กลางผืนน้ำอันกว้างใหญ่

หนังหลายๆเรื่องมีฉากที่แสดงให้เห็นถึงพลังของสายลม แต่มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่พอดิฉันเห็นภาพต้นไม้ใบหญ้าไหวไปตามลมในหนังเรื่องนั้น ใจของดิฉันก็รู้สึกเหมือนกับได้สัมผัสกับสายลมนั้นด้วยตัวเอง OURS DOESN’T WORK เป็นหนึ่งในหนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึกได้ถึง “ลมพัด” (ที่ไม่ได้มาจากแอร์ของโรงภาพยนตร์) หนังอีกสองเรื่องที่ทำให้ดิฉันรู้สึกได้ถึง “สายลมที่พัดโบก” ก็คือ PETERKA: YEAR OF DECISION (A+) และ VOYAGES (1999, EMMANUEL FINKIEL, A+) ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดภาพลมพัดในหนังเหล่านี้ถึงมีอิทธิพลทางจิตกับดิฉันมากกว่าภาพลมพัดในหนังเรื่องอื่นๆ

2.OR (2003, KAREN REDAYA) A+
3.LITTLE MEN (2003, NARIMAN TUREBAYEV) A+
มีชื่อของ Tony Gatlif กับ Abderrahmane Sissako ในเครดิตท้ายหนังเรื่องนี้

Little Men เป็นหนังที่น่ารักมากๆ หนังเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของชายหนุ่มสองคน ชีวิตของชายหนุ่มสองคนนี้ย่ำแย่และสิ้นหวังไม่แพ้ชีวิตของผู้หญิงใน Or แต่โทนของหนังสองเรื่องนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง OR เน้นอารมณ์ที่ขมขื่น, ห้องที่คับแคบ และสีสันที่ซีดเซียว แต่ LITTLE MEN มีอารมณ์กุ๊กกิ๊ก, สถานที่โล่งๆ และสีสันที่สดใสฉูดฉาด

ชอบตอนจบของ LITTLE MEN มาก เป็นตอนจบที่ “จงใจ” พอสมควร แต่ก็น่ารักดีจริงๆ

ตอนแรกๆที่ดู LITTLE MEN รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ต้องไม่เข้าทางตัวเองอย่างแน่นอน หนังเปิดฉากด้วยตัวละครชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งมีบุคลิกเซื่องๆ, ขี้แพ้, ไม่กล้าสู้คน ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มหล่อที่หน้าตาเหมือนตัวโกงอย่างรุนแรง, เป็นคนเจ้าชู้, ท่าทางนิสัยไม่ดี, เหลี่ยมจัด ทั้งสองทำงานเป็นเซลส์แมนขายของกิ๊กก๊อก และมีฐานะยากจน

ตอนแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ เดาว่าพล็อตหนังเรื่องนี้ต้องเป็นว่า “พระเอก” จะค่อยๆเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นคนกล้า, เรียนรู้ที่จะจีบผู้หญิง, เรียนรู้ที่จะทำงานที่ดีกว่าเดิม, เรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ และเรียนรู้อะไรดีๆอีกมากมาย รวมทั้งเรียนรู้ที่จะไม่หลงเชื่อเพื่อนตัวโกงของตัวเองด้วย ทั้งสองอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน และพระเอกก็ต้องได้รับบทเรียนอะไรบางอย่างในชีวิตเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์กับหญิงคนรักของตัวเองเอาไว้ให้ได้ ดิฉันเดาว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้ ต้องเป็นตอนจบแบบหนังบางเรื่องของอากิ เคาริสมากิ นั่นก็คือหลังจากพระเอกเผชิญกับพิษเศรษฐกิจและอุปสรรคต่างๆ ในที่สุดหนังก็จะจบลงด้วยภาพของพระเอกมีกิจการเป็นของตัวเองและยืนยิ้มอยู่กับหญิงคนรักหน้าร้านของตัวเอง

แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า พล็อตหนังและตอนจบของ LITTLE MEN ไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่ดิฉันเดาเอาไว้ในช่วงต้นเรื่องเลย และนั่นก็เลยทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มาก

ถ้าหากชอบหนังเกี่ยวกับชีวิตเซลส์แมนแร้นแค้นอย่าง Little Men ขอแนะนำให้ดูหนังเรื่อง The Housewife’s Flower (1999, Dominik Wessely, A+)

ถ้าสนใจหนังสะท้อนสภาพสังคมคาซัคสถานอย่าง Little Men ขอแนะนำให้หาดีวีดีหนังเรื่อง Killer (1998, Darezhan Omirbayev, A+) ที่เคยมีเข้ามาขายในไทยแล้ว

ถ้าสนใจหนังโทนน่ารักๆตลกๆเกี่ยวกับผู้ชายที่ต้องกระเสือกกระสนกลางสภาพเศรษฐกิจอย่าง Little Men ขอแนะนำให้ดูหนังอาร์เจนตินาเรื่อง The Magic Gloves (2003, Martin Rejtman, A+)

4.PETERKA: YEAR OF DECISION (2003, VLADO SKAFAR) A+
ฉากที่ประทับใจมากๆใน PETERKA: YEAR OF DECISION คือฉากที่นักสกีกับแฟนสาวให้สัมภาษณ์ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่มีสายลมพัดแรง และอีกฉากนึงที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือฉากที่แฟนสาวพูดอะไรออกมาอย่างนึง และนักสกีก็แสดงอาการนิ่งขรึมผิดปกติ โดยที่นักสกีไม่ยอมให้คำอธิบายอะไรทั้งสิ้นว่าทำไมเขาถึงมีอาการนิ่งขรึมผิดปกติอย่างนั้น ถึงแม้แฟนสาวของเขาจะพยายามถามเขาก็ตาม ฉากนี้มันคาใจยังไงไม่รู้ แต่ฉากนี้ในหนังสารคดีเรื่องนี้ มันก็ทำให้นึกถึงความจริงในการพูดคุยของคนเรา เพราะสิ่งที่สำคัญอาจจะไม่ใช่ว่าคนในหนังสารคดีเรื่องนั้นพูดอะไรออกมาบ้าง (หรือคนที่เราคุยด้วยพูดอะไรออกมาบ้าง) แต่สิ่งที่สำคัญก็คือว่าคนในหนังสารคดีเรื่องนั้นคิดอะไรอยู่แต่ไม่ยอมพูดออกมา

5.SEVEN DAYS SEVEN NIGHTS (2003, JOEL CANO) A+
ฉากที่สาวนักทำแท้งไปร้องเพลงกล่อม Norma ในโรงพยาบาลเป็นฉากที่ฝังใจมาก และก็เลยทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิม

6.PLATFORM (2001, JIA ZHANGKE) A+
ฉากที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือฉากที่รถบรรทุกวิ่งมากลางทะเลทรายแล้วก็วิ่งกลับไป

7.TORREMOLINOS 73 (2003, PABLO BERGER) A+
คำเตือน: เนื้อหาบางส่วนของหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการร่วมรักกับสัตว์ 4 ขา

8.A TALKING PICTURE (2003, MANOEL DE OLIVEIRA) A+

9.BURNING DREAMS (2003, WAYNE PENG) A+
ทั้งหนังสารคดีเรื่องนี้และ NEAPOLITAN HEART ต่างก็เก็บช่วงที่ dramatic หรือเก็บฉากที่ให้อารมณ์รุนแรงที่สุดไว้ในช่วงท้ายเรื่อง

หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพเมืองได้สวยงามมาก หนังถ่ายออกมาเป็นขาวดำ และทำให้ภาพเมืองในโลกแห่งความเป็นจริงดูสวยขึ้นมาราวกับอยู่ในโลกสมมุติ

10.THE COLDEST DAY (2003, XIE DONG) A
ชอบโทนสีของหนังเรื่องนี้มาก หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบ Springtime in a Small Town (A+) ของเทียนจวงจวง

11.THE FIFTH REACTION (2003, TAHMINEH MILANI) A
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ดีมากเท่าไหร่ แต่เป็นหนังที่สนุก, สะใจ และก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังแนวนี้บ่อยนักในไทย เพราะหนังอิหร่านที่เข้ามาในไทยมักจะเป็นหนังที่เรียบง่ายแบบหนังของ Abbas Kiarostami หรือไม่ก็จะเป็นหนังที่มี “ความสุขุม” อยู่ในตัว แต่หนังของมิลานีเป็นหนังที่เมโลดรามามาก

12.ALI ZAOUA: PRINCE OF THE STREETS (2000, NABIL AYOUCH) A
ชีวิตเด็กๆใน Nobody Knows (A) ช่างมีความสุขอย่างล้นเหลือหากมาเทียบกับชีวิตเด็กๆในหนังเรื่องนี้

13.TWO WOMEN (1999, TAHMINEH MILANI) A 14.THE SILENCE OF THE PALACE (1994, MOUFIDA TLATLI) A 15.ALEXANDRIE…NEW YORK (2004, YOUSSEF CHAHINE) A
หนังเรื่องนี้เหมาะดูเทียบกับ Lost Embrace และ Bad Boys – A True Story เพราะทั้ง 3 เรื่องนี้พูดถึงปัญหาความสัมพันธ์ขั้นวิกฤติระหว่างพ่อกับลูกชายเหมือนกัน ใน Alexandrie…New York ลูกชายไม่ยอมรับพ่อเพราะพ่อเป็นอาหรับ ส่วนใน Lost Embrace ลูกชายไม่ยอมรับพ่อเพราะพ่อทิ้งครอบครัวเพื่อไปรบให้อิสราเอล

Alexandrie…New York เป็นหนังที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “ฉันรักหนังน้ำเน่า” และหนังก็เชิดชูความน้ำเน่าของตัวเองอย่างหน้าชื่นตาบานมาก

16.CZECH DREAM (2004, VIT KLUSAK + FILIP REMUNDA) A-
หนังสารคดีเรื่องนี้ดูสนุกมากๆ แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสารคดี แต่เป็นเรื่องแต่ง ดิฉันคงชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก ดูแล้วรู้สึกสงสารชาวบ้านที่โดนหลอกน่ะค่ะ

สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ “เพลง” ที่ใช้โฆษณาไฮเปอร์มาร์เก็ต เพราะท่วงทำนองของเพลงนี้มันช่างซาบซึ้งราวกับเพลงประกอบการแข่งขันโอลิมปิก ในขณะที่เนื้อเพลงนี้ก็ดีมาก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “ถ้าหากคุณไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการช้อปปิ้ง คุณก็ไปกู้เงินมาสิ”

17.WEST BEIRUT (1998, ZIAD DOUEIRI) A-
18.THE PLIGHT (2002, R. SARATH) A-
19.LOST EMBRACE (2004, DANIEL BURMAN) A-
20.BAD BOYS – A TRUE STORY (2003, ALEKSI MAKELA) A- 21.NEAPOLITAN HEART (2002, PAOLO SANTONI) B+
22.AVIV (2003, TOMER HEYMANN) B+
ประโยคที่ชอบมากในหนังคือประโยคทำนองที่ว่า “Physically, he looks like a toad. Spiritually, he’s a turn-on.”
23.WE SING TO GOD (2002, ZOLTAN SPIRANDELLI) B+
24.SHOUF SHOUF HABIBI! (2003, ALBERT TER HEERDT) B+
25.COLUMBIA – THE TRAGIC LOSS (2004, NAFTALY GLIKSBERG) B+ 26.PRESENCE (2003, JAN TROELL) B
27.FADO BLUES (2004, LUIS GALVAO TELES) C
พระเอกหนังเรื่องนี้น่ารักที่สุดเลย แต่ก็ไม่สามารถยกระดับความชอบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้มากกว่านี้


No comments: