Tuesday, August 29, 2006

MINAMATA: THE VICTIMS AND THEIR WORLD

ข้อความข้างล่างนี้ก็อปปี้มาจากเว็บบอร์ด SCREENOUT ค่ะ
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3600


ช่วงนี้ไม่ว่างเลยค่ะ เพราะว่า JEREMY PIVEN สามี (ในจินตนาการ) ของดิฉันเพิ่งได้รับรางวัลเอ็มมี่สาขาดาราประกอบชายยอดเยี่ยมจาก ENTOURAGE เพราะฉะนั้นช่วงนี้ดิฉันก็เลยวุ่นวายกับการจัดงานฉลองให้สามีของดิฉัน เพราะฉะนั้นช่วงนี้ดิฉันก็เลยยังไม่ว่างเขียนถึงหนังที่ได้ดูมา วันนี้ขอมาแจ้งข่าวเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ

1.มีการจัดงาน VIDEO INSTALLATION ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระในช่วงนี้ค่ะ ทางเว็บไซท์ของสถาบันเกอเธ่ได้ลงรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษไว้ดังนี้
http://www.goethe.de/ins/th/ban/th1636333.htm

What`s Love got to do with It
Media Arts Project by Dagmar Keller and Martin Wittwer

ExhibitionAugust 25 – September 8, 2006PSG Art Gallery, Silpakorn University

Keller and Wittwers’ exhibition "What`s Love got to do with It" will be their first solo exhibition in Southeast Asia. They will bring their previous works from Europe and produce a new video work, which will be based on their experience in Bangkok, Thailand
In their video installation "Say Hello to Peace and Tranquility", we find ourselves in a projected world of deserted suburbia. The absence of people appears completely normal. It is a collage of synthetic noises, reduced natural sounds and, at times rhythmic, pulsing modulations, carefully give the images their flow."What you want to see" shows a camera panning through „no man’s land“. The scene could have been shot anywhere. It’s night and only some windows are enlighted. A woman and a man talk together on the phone. It seems to be the end of communication. This video installation with sound has recently been finished in Rome.
Co-organisers: Goethe-Institut Bangkok, Pro Helvetia Switzerland
BiographyDagmar Keller (born 1972, Germany) and Martin Wittwer (born 1969, Switzerland) are duo artists since 1997. During 1995-1999, they had both studied in the class of “Integration Art and Architecture” under Prof. Christan Megert at Academy of Fine Arts Düsseldorf, Germany. In 2001, Keller also completed another degree on Media Arts at Academy of Media Arts Cologne, Germany. Keller and Wittwer have gained an international reputation through their visual art practice, especially photography, video and installation. The works of this duo artist have been widely exhibited all over Europe, for instance, solo show at Gallery Gilles Peyroulet & Cie, Paris in 2005, Fiedler Contemporary, Colonge in 2003, Argos Centre for Audiovisual Arts, Brussel, Belgium in 2002 and several group exhibitions in respectable art spaces such as Museum of Contemporary Art, Barcelona, Spain and Utrecht Leidsche Rijin, Netherlands in 2005, Goethe Institut, Lithuania and Wood Street Galleries, Pittbsburg, USA in 2004, Taipei Fine Arts Museums, Taiwan and Khoj 2003 at Venkatappa Art Gallery, Bangalore, India in 2003.


2.ละครเวทีเรื่อง MOUTH จัดแสดงสุดสัปดาห์นี้ อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.theatre8x8.com/
http://www.lakorn.org/website/renovate2006/news005.htm

คณะละครแปดคูณแปด ขอบอกเล่าเก้าสิบ ผ่านละครเวที ว่าด้วยเรื่องของ...ปาก “เม้าท์ MOUTH”

“คิดดี ทำดี และที่สำคัญ ต้องพูดดีด้วย.... ถึงจะครบสูตร”คนเรา ไม่ได้ใช้คำพูด แค่ในการสื่อสารพูดจากัน เท่านั้นการพูดเป็นการระบายความรู้สึกทางหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นคนเราใช้คำพูดเป็นอาวุธ และเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการ "เม้าท์ลับหลัง เม้าท์ ต่อหน้า เม้าท์ อ้อมๆ เม้าท์ไม่จบไม่สิ้น พูดจนน้ำไหลไฟดับ สรรเสริญ เยินยอ โกหกหลอกลวง ออดอ้อน ออเซาะ ฉอเลาะ นินทาว่าร้าย กระทบกระเทียบ แดกดัน เหน็บแนม เสียดสี ใส่ไฟ ใส่ไคร้ใส่ความ ปล่อยข่าวให้ร่ำลือ ด่าทอ ผรุสวาท ตลบตะแลง ตอแหล ล่อลวง เกลี้ยกล่อม ยุแยงตะแคงรั่ว แก้ต่างแก้ตัว ยั่วให้โกรธ ฯลฯ"เพราะคนเรามีปาก เรื่องราวมันจึงไม่จบไม่สิ้น กำกับการแสดงโดย นิกร แซ่ตั้ง จัดแสดงที่ โรงละครแปดคูณแปด สามย่าน จุฬาฯ ซ.42 วันที่ 25, 26, 27 สิงหาคม และ 1, 2, 3 กันยายน 2549 เวลา 19.30 น. บัตรราคา 250 บาท จำกัดที่นั่ง 25 ที่ต่อรอบการแสดง พิเศษ นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ หรือแสดงบัตร ราคา 200 บาท สอบถามรายละเอียดและจองบัตรที่ 0-1685-7588 / 0-1623-2747



3.ละครเวทีเรื่อง INSTALL จัดแสดงสุดสัปดาห์นี้
อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.lakorn.org/website/renovate2006/news008.htm


4.ละครเวทีเรื่องอื่นๆในเดือนก.ย. อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.lakorn.org/website/renovate2006/news001.htm
5.ละครเวทีเรื่อง THE STRING OF FRAGMENTATION โดย “อัตตาหิ อัตตโนนาโถ โปรดักชั่น” ที่ภัทราวดีเธียเตอร์ในเดือนก.ย. อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.patravaditheatre.com/

เปิดโรงละคร อย่างเป็นทางการวันสาร์ ที่ 9 กันยายน 2549 นี้ ด้วยละครเรื่อง ราว..ร้อย..เรื่อง The String of fragmentation อฺตตาหิ อฺตตโนนาโถ โปรดักชั่น งาน Ab - search จากนักเขียน Sodsai Award ปี 2000 งานแสดงคนเดียว เดี่ยวเดี่ยว ว่าด้วยเรื่องราวรอบๆตัวของหนุ่มสาวยุคปัจจุบันที่น้ำมันลิตรละ30บาท ยุคที่ชีวิตคนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายในแต่ละวัน เป็นเรื่องบ้าง ไม่เป็นเรื่องบ้าง ขาดๆเกินๆ ดูเหมือนไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ร้อยเรียงกันอยู่ เรื่องบางเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นเรื่อง เริ่มวัน เสาร์ที่ 9 กันยายน 2549 และ ทุกวันศุกร์-เสาร์ ตลอดเดือนกันยายนศกนี้ เวลา 19.30น. แสดงที่ Studio 9, Creative Arts Space and Technology ภัทราวดีเธียเตอร์ ซอยวัดระฆัง บัตรราคา 300 บาททุกที่นั่ง (นักเรียนนักศึกษาราคา 250 บาท)คนทำงาน ภาณิศา ภูวภิรมย์ขวัญ (เขียนบท/กำกับ/แสดง) จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท Master of the Arts Management, the University of Melbourne, Australia เคยได้รับรางวัลบทละครยอดเยี่ยมและผู้กำกับดีเด่นจาก เวทีสดใสอวอร์ด รางวัลละครเวทีระดับอุดมศึกษาประจำปีพ.ศ.2543 รูเบน โพเลนโด (ร่วมกำกับการแสดง) จากTheatre MITU นิวยอร์ค สก็อตต์ สปาร์ (ร่วมกำกับลีลา) นักออกแบบท่าเต้นจากTheatre MITU นิวยอร์ค รูธ พงศ์สถาพร (ออกแบบเสื้อผ้า)นักออกแบบเครื่องแต่งกายและฉากละครเวทีลูกครึ่งไทย-อเมริกัน จากนิวยอร์ค แพทริก พาลูกี้ (ออกแบบฉาก แสง และบรรยากาศ) Multimedia Artist จาก เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี



--ได้ดูหนังหลายเรื่องมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีเวลาเขียนถึงเลย เอาไว้ว่างๆค่อยมาเขียนถึงอีกทีแล้วกัน

--เห็นเลขานุการิณีของคุณเจ้าชายน้อยบอกว่าชอบเพลง WALK ON BY ของ DIONNE WARWICK ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง ROUGH NIGHT (2001, SAMARK IMKHAM, A+++++++++++++++) ก็เลยลองค้นใน YOUTUBE ดู ปรากฏว่ามีเพลงนี้ให้ฟังด้วย
http://www.youtube.com/watch?v=dSUYEYv6fuM

--คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในคืนที่มีความสุขที่สุดของปีนี้ เพราะได้ดู ROUGH NIGHT ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสั้นที่ชอบที่สุดในชีวิต

--ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาร้องไห้ไป 3 ครั้ง เพราะประทับใจมากๆกับหนังที่ได้ดู โดยร้องไห้ให้กับภาพยนตร์เรื่อง

1.ROUGH NIGHT ตอนที่เพลง WALK ON BY ดังขึ้นมา รู้สึกว่าผู้กำกับควบคุมจังหวะของหนังเรื่องนี้ได้ถูกใจดิฉันมากๆ โดยผู้กำกับให้เราได้เห็นฉากนางเอกตัดสินใจแยกทางกับพระเอกเพื่อเปิดโอกาสให้พระเอกได้แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น หลังจากนั้นผู้กำกับก็ให้เราได้เห็นภาพแสงไฟยามค่ำคืนในกรุงเทพท่ามกลางความเงียบเป็นเวลานาน ซึ่งการได้เห็นอะไรเงียบๆมืดๆเหงาๆเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกของดิฉันดำดิ่งมากๆ มากจนถึงจุดนึง แล้วพอเพลง WALK ON BY ดังขึ้นมา ความรู้สึกที่เป็นเส้นกราฟแบบดิ่งลงก็ REBOUND ขึ้นมาอย่างรุนแรง คิดว่าถ้าหากผู้กำกับไม่ทิ้งจังหวะของความเงียบเป็นเวลานาน ความรู้สึกในช่วงท้ายเรื่องก็จะไม่ดีดกลับขึ้นมาอย่างรุนแรงเช่นนี้

If you see me walking down the street And I start to cry each time we meet Walk on by, walk on by Make believe that you don't see the tears Just let me grieve in private 'cause each time I see you I break down and cry And walk on by (don't stop) And walk on by (don't stop) And walk on by I just can't get over losing you And so if I seem broken and blue Walk on by, walk on by Foolish pride Is all that I have left So let me hide The tears and the sadness you gave me When you said goodbye Walk on by and walk on by and walk by (don't stop) Walk on by, walk on by Foolish pride Is all that I have left So let me hide The tears and the sadness you gave me When you said goodbye Walk on by (don't stop) and walk on by (don't stop) and walk by (don't stop)

คิดว่าภาพยนตร์เรื่อง ROUGH NIGHT เหมาะจะฉายต่อจากภาพยนตร์เรื่อง THE ECLIPSE (MICHELANGELO ANTONIONI, A+) และฉายก่อนภาพยนตร์เรื่อง FRIDAY NIGHT (CLAIRE DENIS, A+)


2.MINAMATA: THE VICTIMS AND THEIR WORLD (1971, NORIAKI TSUCHIMOTO, A++++++++++)

ช่วง 15 นาทีสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ เมื่อชาวบ้านเผชิญหน้ากับประธานบริษัทที่ชั่วช้าสารเลวที่สุดในชีวิต เป็นช่วงที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป รู้สึกว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้เก่งมากๆในการควบคุมเสียงในฉากนั้น โดยให้ผู้ชมได้ยินเสียงเซ็งแซ่ในการประชุมก่อนในช่วงแรก ก่อนที่จะเหลือเพียงเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนเดียวขณะเผชิญหน้ากับประธานบริษัท การไล่ระดับเสียงจากเสียงดังเซ็งแซ่จนเหลือเพียงเสียงหญิงสาวคนเดียวในฉากนั้น ทำให้อารมณ์ในฉากนั้นพุ่งปรี๊ดมากๆ

รู้สึกตรงกันกับคุณ “เก้าอี้มีพนัก” ว่า หนังเรื่องนี้อาจติดท็อปเทนประจำปีนี้


3.MEN OF GOLD (2006, VINCENT MOLOI, A++++++++++)
หนังสารคดีเกี่ยวกับผู้ชายวัยชราคนนึงที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้วในชีวิตนี้ อย่างไรก็ดี เขายังมีเพื่อนเหลืออยู่คนนึง แต่เมื่อหนังสารคดีเรื่องนี้ดำเนินมาได้กลางเรื่อง เพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตของเขาก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยและเป็นปริศนา เขาคอยแวะเวียนไปดูตามห้องดับจิต แต่ก็ไม่เจอเพื่อนของเขา

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่การได้เห็นใบหน้าและแววตาของชายคนที่เป็น SUBJECT ของหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้อดร้องไห้ออกมาไม่ได้

No comments: