Sunday, June 25, 2006

BO WIDERBERG

http://riverdale-dreams.blogspot.com

วันนี้ขอตอบสั้นๆก่อนแล้วกันนะคะ

--ดีใจมากค่ะที่วันนี้ได้คุยกับคุณเก้าอี้มีพนัก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีวีซีดีลิขสิทธิ์ที่น่าสนใจออกขายในไทยมากขนาดนี้

เห็นพี่สนธยาบอกว่าเจอวีซีดีลิขสิทธิ์ของหนังเรื่อง NEA – YOUNG EMMANUELLE (1976, NELLY KAPLAN) วางขายในไทยด้วยเหมือนกัน
http://www.imdb.com/title/tt0077979/
http://images.amazon.com/images/P/B00007G1XN.01.LZZZZZZZ.jpg

NELLY KAPLAN เป็นผู้กำกับหญิงที่น่าสนใจมากๆ ที่ร้านคิโนะคุนิยะ สาขาพารากอน มีหนังสือวิจารณ์ NELLY KAPLAN วางขายอยู่ด้วย หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า SURREALISM AND CINEMA เป็นผลงานของ MICHAEL RICHARDSON
http://www.amazon.ca/exec/obidos/ASIN/1845202252/sr=8-11/qid=1151236426/ref=sr_1_11/702-4181192-9664005?%5Fencoding=UTF8&s=gateway&v=glance
http://images.amazon.com/images/P/1845202252.01.LZZZZZZZ.jpg

SURREALISM AND CINEMA พูดถึงผลงานภาพยนตร์ของ

A.NELLY KAPLAN

B.LUIS BUNUEL

C.JACQUES PREVERT (1900-1977) ผู้เขียนบท THE CRIME OF MONSIEUR LANGE (1936), DROLE DE DRAME (1937), PORT OF SHADOWS (1938, MARCEL CARNE, A-), DAYBREAK (1939, MARCEL CARNE, A) และ CHILDREN OF PARADISE (1945, MARCEL CARNE, A+)
http://www.imdb.com/name/nm0699535/

D.WALERIAN BOROWCYZK (1923-2006) ผู้กำกับ “GOTO, ISLAND OF LOVE” (1968), IMMORAL TALES (1974), THE BEAST (1975), BEHIND CONVENT WALLS (1977), THE ART OF LOVE (1983), EMMANUELLE V (1987), LOVE RITES (1988)
http://images.amazon.com/images/P/B000E6EK4M.01.LZZZZZZZ.jpg
http://images.amazon.com/images/P/6305808104.01.LZZZZZZZ.jpg
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00005OW2P.08.LZZZZZZZ.jpg
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00009P9KZ.01.LZZZZZZZ.jpg
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0000583B8.02.LZZZZZZZ.jpg
http://images-eu.amazon.com/images/P/B00005AFM2.02.LZZZZZZZ.jpg
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0007ZSHUI.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1110879175_.jpg

E.JAN SVANKMAJER

F.RAUL RUIZ

G.ALEJANDRO JODOROWSKY


--การพลาดดู 1/3 OF THE EYE ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดค่ะ เพราะเทศกาลหนังทดลองเล่นฉายทีเดียวพร้อมกัน 10 จอ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราไปดูหนังในงานนี้ตลอดทั้งเทศกาล เราก็ได้ดูเพียงแค่ 1/10 ของหนังที่ฉายในงานอยู่ดี ตอนที่ดิฉันเลือกดู 1/3 OF THE EYE ดิฉันก็ไม่รู้มาก่อนว่าหนังเรื่องนี้โด่งดังหรือได้รับคำวิจารณ์อะไรมาบ้าง แต่ดูจากแผ่นพับที่แจกในงานแล้วเห็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังยาว ไม่ใช่หนังสั้นเหมือนที่ฉายตามจออื่นๆ ก็เลยตัดสินใจปักหลักนั่งดูหนังเรื่องนี้

--ปกติแล้วดิฉันไม่ชอบหนังเกี่ยวกับเด็ก โดยเฉพาะหนังที่ขายความน่ารักของเด็ก แต่ FIMPEN, THE KID เป็นหนังที่รักษาระยะห่างระหว่างตัวละครกับผู้ชมสูงมาก รู้สึกว่าจุดที่ชอบอันนึงในหนังเรื่องนี้คือหนังแทบไม่ได้เข้าใกล้ตัวละครตัวใดเลย หนังเหมือนอยู่ห่างจากตัวละครทุกตัว และก็ไม่ได้ให้คำอธิบายอย่างชัดเจนต่ออะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่อง หนังแทบไม่ได้ให้ FIMPEN พูดแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ, ไม่ได้แนะนำให้เรารู้จักสมาชิกในครอบครัวของ FIMPEN อย่างจริงจัง, ไม่ได้พาเราเข้าไปใกล้ชีวิตของโค้ชหรือนักฟุตบอล แต่หนังกลับดูเพลิดเพลินมาก และก็ชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะตอนจบของหนังเรื่องนี้มันดูเหมือนว่า FIMPEN ยังต้องเผชิญกับปัญหาอื่นๆในชีวิตต่อไป และคนรอบข้าง FIMPEN ก็ต้องทำใจยอมรับปัญหาชีวิตที่อาจจะแก้ไม่ได้ง่ายๆ (ตอนจบแบบนี้ทำให้นึกถึง THE KEYS TO THE HOUSE (2004, A+) ของ GIANNI AMELIO)

--เคยดูหนังของ BO WIDERBERG อีกแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ ALL THINGS FAIR (1995, A-) รู้สึกว่าเป็นหนังดราม่าที่พอใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
http://images.amazon.com/images/P/B0001GH5S8.01.LZZZZZZZ.jpg

--เคยดูหนังสารคดีเกี่ยวกับ BO WIDERBERG เรื่อง LIFE AT ANY COST (1998, STEFAN JARL, A-) แต่จำอะไรไม่ได้มากแล้ว จำได้แต่ว่าดาราชายที่มาให้สัมภาษณ์บางคนหล่อมาก

--ไม่ได้ติดตามฟุตบอลเลยค่ะ และก็ไม่ได้เชียร์ทีมอะไรทั้งสิ้น ปกติแล้วไม่ได้ติดตามดูกีฬาอะไรเลย ดิฉันเดาว่าคนที่ติดตามดูฟุตบอลโลกในช่วงนี้คงมีความรู้สึกคล้ายๆกับดิฉันเวลาดูหนังในเทศกาลหนัง คือรู้สึกสนุกและมีความสุขกับมันอย่างมากๆจนแทบทำให้ลืมอะไรทุกสิ่งและอยากจะทิ้งงานทุกๆอย่าง

--ส่วนหนังเกี่ยวกับนักฟุตบอลเรื่องนึงที่ชอบมากคือ ONE MAN UP (2001, PAOLO SORRENTINO, A+) จากอิตาลีที่มาฉายในเทศกาลหนังยุโรปเมื่อปีที่แล้ว จุดที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นชีวิตของนักฟุตบอลที่ประสบกับความล้มเหลว ชีวิตของเขาดำดิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ และก็ไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้อีกเลย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะตอนแรกดิฉันนึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังประเภทให้กำลังใจชีวิต เป็นหนังประเภท “ล้มแล้วต้องลุก” แต่กลับกลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังประเภท “ล้มแล้วก็ไม่มีวันที่จะลุกขึ้นได้อีก” “ล้มแล้วก็ดิ่งลงสู่นรกแต่เพียงทางเดียวเท่านั้น” และอีกอย่างนึงที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือการใช้เพลง I WILL SURVIVE มาประกอบในหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ IRONY อย่างมากๆ เพราะตัวละครในหนังไม่ได้ SURVIVE แต่อย่างใด

--ดิฉันก็จะหมกมุ่นกับสิ่งต่างๆไปตามวัยของตัวเองค่ะ ตอนอยู่ประถมก็จะชอบอ่านหนังสือการ์ตูนมากที่สุด, มัธยมต้นก็จะชอบเช่านิยายมาอ่าน พออยู่มัธยมปลายกับมหาลัยก็จะชอบฟังเพลง แต่พอจบมหาลัยออกมาแล้วก็จะชอบดูหนัง ส่วนทีวีนั้นแทบไม่ได้ดูเลยหลังจากจบมหาลัย

--รู้สึกว่า DURAS เป็นคนที่ทำงานหลายแขนง และเล่นกับความก้ำกึ่งกันของศิลปะแขนงต่างๆได้อย่างน่าทึ่งมาก เธอเขียนทั้งนิยาย, บทละครเวที, บทภาพยนตร์ และกำกับภาพยนตร์ แต่งานหลายชิ้นของเธอมีความเชื่อมโยงกัน และหนังที่เธอกำกับเองก็น่าพิศวงมาก

--เคยดูหนังของ OTAR IOSSELIANI เรื่องเดียว คือ CHASING BUTTERFLIES (1992, A+) ตอนมาฉายที่ ALLIANCE FRANCAISE เป็นหนังที่แทบไม่มีเนื้อเรื่องเลย แต่ดูแล้วอิ่มเอมมาก ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังที่แทบไม่มีเนื้อเรื่องอย่างเช่น NATHALIE GRANGER (1972, MARGUERITE DURAS, A+) และ THE CORRIDOR (1994, SHARUNAS BARTAS, A+) โดยหนังทั้ง 3 เรื่องนี้มีจุดที่เหมือนกัน นั่นก็คือการแสดงให้เห็นกิจวัตรเล็กๆน้อยๆของคนในสถานที่เดียว โดยใน CHASING BUTTERFLIES นั้นเราจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของหญิงชรา, ใน NATHALIE GRANGER เราจะได้เห็นกิจวัตรของหญิงวัยกลางคนหน้าตาบอกบุญไม่รับสองคน ส่วนใน THE CORRIDOR เราจะได้เห็นประชาชนชาวแฟลตในลิธัวเนียเดินไปเดินมาตลอดเรื่อง

--ชอบ THERESE ของ ALAIN CAVALIER มากๆเช่นกัน ไม่รู้ว่าสไตล์ของหนังเรื่องนี้เรียกว่า MINIMALIST ได้หรือเปล่า



งานมีตติ้งเมื่อวานนี้มีคนมากันอุ่นหนาฝาคั่งมากเลยค่ะ แถมยังจัดยาวกันถึง 10 ชั่วโมง โดยมีคุณ BEATRICE (น้องสะใภ้ PETER SARSGAARD) เป็นแม่งานหลั ก และมีดิฉัน (เจอรัลดีน), คุณนาตาลี (เลขานุการิณีของคุณเจ้าชายน้อย) และคุณพริสซิลล่า (หรือคุณอ้วน) ที่อยู่กันยาวร่วม 10 ชั่วโมงเช่นกัน โดยสมาชิกที่มาร่วมงานเมื่อวานนี้รวมถึงคุณ SENSITIVEMAN, ชายผู้มาจากดาวอังคาร, คุณ KICHO ที่แวะมาแป๊บนึง, น้องอะไรก็ได้ของ PETER SARSGAARD, เทพธิดาพยากรณ์แฟรงเกนสไตน์, คุณ LEONIDAS, คุณ SENSIBILITY, น้อง VESPERTINE, คุณ TARENCE และคุณ JO รู้สึกว่างานเมื่อวานนี้คงเป็นวันที่ดิฉันจดจำไปอีกยาวนาน เพราะไม่เคยมีตติ้งเป็นเวลายาวนานอย่างนี้มาก่อน
เลย

เรื่องที่คุยกันเมื่อวานนี้รวมถึงโครงการหนังเรื่องต่างๆที่คุณพริสซิลล่าอาจจะสนใจกำกับ ซึ่งดิฉันก็ได้เสนอแนะความเห็นไปบ้างเมื่อวานนี้ พอมาถึงวันนี้ ดิฉันได้ข้อสรุปว่าคุณพริสซิลล่าน่าจะกำกับหนังเรื่อง

1.ผู้หญิงคนนั้นชื่อพริสซิลล่า

2.เสียดาย 3 ภาคอยากมีผัวซาดิสท์

3.ศาลาคนเงี่ยน

4.ผีกะเทย VS. เทพธิดาพยากรณ์

5.ตอนเช้าล้างตู้เย็น ตอนเย็นล้างป่าช้า

ถ้าหากคุณพริสซิลล่าสนใจจะกำกับหนังเรื่องไหน ก็มาเล่าให้ฟังด้วยนะคะ

เมื่อวานนี้เหมือนได้ยินแว่วๆว่าจะมีการจัดทริป SCREENOUT ไปที่ SOFITEL HUA HIN ในเร็วๆนี้ ไม่รู้ว่าได้ยินมาถูกต้องหรือเปล่า (ล้อเล่นค่ะ)


ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND

--ถ้าหากกระทู้ SCREENOUT ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ก็น่าจะมีการจัดมีตติ้งกันอีกต่อไปในอนาคต และเราก็น่าจะได้เจอกันอย่างแน่นอนค่ะ

--ชอบสิ่งที่คุณ CHRIS’S GIRLFRIEND เขียน เกี่ยวกับเพื่อนชายที่เป็น STRAIGHT มากค่ะ ดิฉันมีเพื่อนแบบนี้น้อยมากๆ ดิฉันมีเพื่อนแบบนี้มากที่สุดตอนอยู่ม.ต้น ตอนนั้นจะสนิทกับเพื่อนชายกลุ่มนึงที่เป็นเด็กเรียน เพื่อนผู้ชายกลุ่มนี้จะเรียบร้อยและตั้งใจเรียนมาก และในห้องดิฉัน มีดิฉันเป็นเกย์แค่คนเดียว แต่พอดิฉันขึ้นม.3 ดิฉันก็เริ่มสนิทกับเกย์ที่อยู่ห้องอื่นๆ และก็ไม่สนิทกับเพื่อนผู้ชายกลุ่มนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ดี ยังมีเพื่อนผู้ชายคนนึงในกลุ่มนี้ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกดีมากๆ เพราะถึงแม้เขาจะเห็นว่าดิฉันเป็นเกย์สาวแต๋วแตก เขาก็ยังคงทักทายและช่วยเหลือดิฉันอย่างดีมาตลอดแม้แต่ตอนเข้ามหาลัยแล้ว ถึงแม้จะไม่สนิทกันอีก แต่เวลาทักทายกันเมื่อเดินเจอกันโดยบังเอิญ ดิฉันก็รู้สึกว่าแววตาของเขามันแสดงให้เห็นถึง “มิตรภาพ” ที่จริงใจมากๆ

ดิฉันเคยเรียนคณะบัญชีอยู่ปีนึง ตอนนั้นก็จะสนิทกับเพื่อนผู้ชาย STRAIGHT ที่นิสัยดีมากคนนึงค่ะ แต่หลังจากนั้นดิฉันก็ไปเอ็นท์เข้าคณะอื่นๆ และก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้อีกเลย และหลังจากนั้นดิฉันก็แทบไม่มีเพื่อนที่เป็น STRAIGHT อีก นอกจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักดูหนังบางคนเท่านั้น

No comments: