Monday, September 21, 2015

THE OLD MAN AND THE TREE (2015, directed by Tup-anan Tanadulyawat, written by Vich Sanardharn, stage play, A+20)

THE OLD MAN AND THE TREE (2015, directed by Tup-anan Tanadulyawat, written by Vich Sanardharn, stage play, A+20)
ทฤษฎีไม้ยมก

--ตอนดูช่วงแรกๆจะนึกถึงหนังเรื่อง TAKE SHELTER (2011, Jeff Nichols) ในแง่ที่ว่า ทั้ง TAKE SHELTER และ THE OLD MAN AND THE TREE ช่วงแรกๆ มันเปิดให้คนดูตัดสินเองว่า พระเอกมันบ้าหรือดี เราจะเชื่อพระเอกดีหรือไม่ เหมือนช่วงแรกๆของละครมันเปิดกว้างพอสมควร มันไม่ได้ตัดสินให้เราว่าพระเอกบ้าหรือดี เราต้องตัดสินด้วยตัวเอง

--แต่พอดูละครไปเรื่อยๆ เราก็ตัดสินได้ว่า พระเอกบ้า ความน่าสนใจก็เลยลดลงนิดนึงหลังจากเราตัดสินใจได้แล้ว แต่ละครมันก็ยังน่าสนใจอยู่ในระดับนึงนะ

คือช่วงแรกๆเราจะไม่แน่ใจว่าเราควรจะ “เห็นใจ” หรือ “สมเพช” พระเอกดีน่ะ แต่พอเหมือนผ่านไปครึ่งเรื่อง เราก็แน่ใจแล้วว่า เราควรจะ “สมเพช” พระเอก

--ตอนช่วงแรกๆที่ดู เราจะพยายามตีความด้วยนะว่า ละครเรื่องนี้ต้องการเสียดสีอะไรแบบเฉพาะเจาะจงหรือเปล่า อย่างเช่นเสียดสีธรรมกายหรือเปล่า หรือเสียดสีความเชื่อของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจงหรือเปล่า

แต่พอดูไปได้ระยะนึง เราก็เลิกสนใจประเด็นนี้ เพราะละครเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ต้องการพาดพิงถึงความเชื่ออะไรเป็นการเฉพาะเจาะจงก็ได้

--พอดูจบแล้ว เราก็ไม่แน่ใจนะว่าจริงๆแล้วละครเรื่องนี้ต้องการสื่ออะไร เพียงแต่ว่าละครเรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงแง่มุมบางอย่างของตัวเองและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวน่ะ

คือเราไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้ว ทฤษฎีไม้ยมกของตัวละครในเรื่องหมายถึงอะไรกันแน่ แต่เราคิดถึงตัวเองในแง่ที่ว่า จริงๆแล้วเราและคนอื่นๆหลายๆคนอาจจะมีอะไรบางอย่างคล้ายตัวละครในเรื่อง ในแง่ที่ว่า แต่ละคนจะมีความภาคภูมิใจในความคิดความเชื่ออะไรบางอย่างของตนเอง แต่มันต่างกันตรงที่ว่า แต่ละคนพยายามจะเผยแพร่ความเชื่อของตัวเองออกไปด้วยวิธีการใด และมั่นใจแค่ไหนว่าสิ่งที่ดีสำหรับตนเองเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนอื่นๆด้วย

คืออย่างเราก็อาจจะภูมิใจว่า เราดูหนังเยอะ และเราก็จะเผยแพร่หนังที่ตัวเองชอบออกไปด้วยการเขียนถึงมันใน facebook แต่เราจะต่างจากพระเอกของ “ทฤษฎีไม้ยมก” ในแง่ที่ว่า เรามั่นใจว่า “หนังที่ดีสำหรับเรา” มัน “ไม่ใช่หนังที่ดีสำหรับทุกๆคน มันเป็นหนังที่ดีสำหรับบางคนเท่านั้น” เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีความกระเหี้ยนกระหือรือในการทำให้คนอื่นๆมาชอบหนังที่เราชอบ หรือมาเชื่อเหมือนเรา คือถ้ามาเชื่อเรื่องหนังเหมือนเราก็ดี แต่ถ้าไม่มาเชื่อเรื่องหนังเหมือนเรามันก็เป็นเรื่องปกติ

และเราว่าคนหลายๆคนก็จะมีอะไรแบบนี้แหละ ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดา เขาก็จะเผยแพร่ความเชื่อของตัวเองออกไป โดยไม่บังคับคนอื่นๆ ให้มาเชื่อตาม

แต่สิ่งที่น่าสนใจในละครเรื่องนี้ก็คือว่า มันทำให้เราคิดว่า มันก็อาจจะมีหลายๆคนเช่นกัน ที่พอบังคับให้คนอื่นๆเชื่อตามตัวเองไม่ได้ ก็จะมาบังคับให้ “สมาชิกในครอบครัว” เชื่อตามตนเองให้ได้ เพราะฉะนั้นลูกเมียของเขา ก็จะตกเป็นเหยื่อรายแรก ที่ถูกพ่อยัดเยียดความเชื่อของตัวเองให้อย่างรุนแรง และในที่สุดถ้าหากลูกเมียคนไหนทนไม่ได้ ก็จะต้องหนีไป

--องค์ประกอบอื่นๆของละครเรื่องนี้ เราว่าออกมาดีใช้ได้นะ แต่มันเหมือนอยู่ในกรอบของ “ละครเล่าเรื่องที่ดี” น่ะ คือการแสดงดี เส้นอารมณ์ของเรื่องขึ้นลง “ตามขนบ” ที่ควรจะเป็น อะไรทำนองนี้ คือมันดี แต่เหมือนมันอยู่ในสูตรที่ลงตัวแล้วหรืออะไรทำนองนี้ มันก็เลยเหมือนขาดความฟรีสไตล์อะไรสักอย่าง เราก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

No comments: