Thursday, September 17, 2015

WHERE IS TOMORROW? (2015, Parnupong Chaiyo, A+30)

WHERE IS TOMORROW? (พรุ่งนี้ของเรา) (2015, Parnupong Chaiyo, 15min, A+30)

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่

1.อย่างที่เราเพิ่งเขียนไปเมื่อเร็วๆนี้ว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของหนังเกย์จริงๆ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยตอกย้ำสิ่งนี้ เพราะมันเป็นหนังที่เราชอบสุดๆ และมีเนื้อหาเกี่ยวกับ LGBT โดยที่จริงๆแล้วเนื้อหาของมันอาจจะไม่ใหม่มากนัก เพราะประเด็นเรื่องพรบ.คู่ชีวิตที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ เคยได้รับการนำเสนอมาแล้วในหนังเลสเบียนเรื่อง 1448 LOVE AMONG US (2014, Arunsak Ongla-or, A+) ที่นำแสดงโดยสายป่าน แต่ในขณะที่หนังเรื่อง 1448 ดูเหมือนจะมีสิ่งดีเพียงสิ่งเดียว คือประเด็นเรื่องพรบ.คู่ชีวิตที่มันนำเสนอ เพราะองค์ประกอบส่วนอื่นๆของหนังดูขัดๆเขินๆ ไม่ลงตัวไปเกือบหมด หนังเรื่อง WHERE IS TOMORROW? กลับตรงกันข้าม เพราะทุกอย่างออกมาดูดีกว่า 1448 มากๆ แทบจะเรียกได้ว่ามันเหมือนเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดใน 1448 และสามารถกลายเป็นตัวแทนอย่างน่าภาคภูมิใจของหนังที่สะท้อนปัญหาทางกฎหมายในประเด็นนี้

2.เราดูแล้วร้องไห้ ร้องไห้ตั้งแต่ต้นๆเรื่องเลยด้วย ในนาทีที่ 4 ที่เริ่มมีการแฟลชแบ็ค และเราได้เห็นภาพตัดสลับอย่างรวดเร็วของมือชายหนุ่มสองคนที่เกาะกุมกันในหลายๆครั้ง เราว่าการนำเสนอในฉากนี้มันออกมาดีและลงตัวมากๆ คือแค่เราเห็นการตัดสลับภาพมือเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแหละ เราก็สามารถเข้าใจความรักของพวกเขาได้เกือบหมด และก็รู้สึกเศร้าอย่างรุนแรงจนร้องไห้ได้แล้ว

3.เราว่าปัจจัยที่ทำให้เราร้องไห้รวมถึง

3.1 การแสดงของพระเอกที่ดีมากๆ เราว่าการแสดงของเขามันสะท้อนความรู้สึก “รักจริง เจ็บจริง” ออกมาได้ทรงพลังมากๆเลยน่ะ คือเราดูหน้าของเขาแค่ไม่กี่นาที เราก็รู้สึกได้เลยว่า ตัวละครตัวนี้มันรักผัวมันจริงๆ และมันโศกเศร้ากับการตายของผัวมันจริงๆ และมันโศกเศร้ากับปัญหาเหี้ยห่าต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจริงๆด้วย คือพอตัวพระเอกมันเล่นได้สมจริงสุดๆอย่างนี้แล้ว มันก็เลยถ่ายทอดความเศร้าของมันมาถึงตัวเราได้อย่างเต็มที่

3.2 เราว่าหนังค่อยๆหยอด “ฉากอดีต” เข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมด้วย คือตอนฉากแฟลชแบ็คโผล่มาครั้งแรกนั้น มันโผล่มาในแบบที่ลงตัวสุดๆ เราก็เลยร้องไห้เลย แล้วหลังจากนั้นมันก็ค่อยๆทยอยโผล่มาในแบบที่พอเหมาะ ในจังหวะที่พอเหมาะ

คือเราว่าโครงสร้างหนังเรื่องนี้ค่อนข้างลงตัวสำหรับเรานะ คือหนังต้องทำทั้งนำเสนอประเด็นเรื่องพรบ.คู่ชีวิต, สะท้อนความเศร้าของพระเอกในปัจจุบัน, สะท้อนความรักของพระเอกกับคู่รักในอดีต และสะท้อนบุคคลต่างๆที่รายรอบตัวพระเอก และหนัง balance สิ่งต่างๆเหล่านี้ออกมาได้ดีน่ะ เราชอบการตัดสลับระหว่าง “ปัญหาเหี้ยห่าในปัจจุบัน” กับ “ความรักในอดีต” และเราว่าการตัดสลับอะไรแบบนี้ให้ออกมาลงตัวแบบนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ

3.3 เราว่าหนังไม่ฟูมฟายมากเกินไปด้วย คือหนังแนวนี้มันเอื้อให้ฟูมฟายเกินไปได้ง่ายมาก ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ปริ่มๆจะเป็นแบบนั้นแล้วล่ะ แต่ยังดีที่มันไม่หล่นลงขอบเหวของความฟูมฟายมากเกินไป เราว่ามันเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้ใช้เพลงประกอบแบบฟูมฟาย และในบาง moment ที่พระเอกร้องไห้นั้น หนังก็ถ่าย “ด้านหลังของพระเอก” มันก็เลยช่วยลดความฟูมฟายลงไปได้มาก

3.4 อีกปัจจัยที่ทำให้เราร้องไห้ มันเป็นเพราะว่า ชีวิตในอดีตของพระเอกมันตรงกับ fantasy ของเราน่ะ คือเราว่าเราและผู้ชมบางคนที่เป็นเกย์ก็น่าจะเคยมี fantasy แบบนี้แหละ fantasy ของการมีผัวหนุ่มหล่อ ได้อยู่บ้านเดียวกัน เขาเคยนอนโอบกอดเรา เขาเคยกุมมือเรา และสิ่งของแต่ละอย่างในบ้านของเรา ก็ล้วนทำให้นึกถึงเขาทั้งนั้น

แล้วพอชีวิตในอดีตของพระเอก มันตรงกับ fantasy ของเรา เราก็เลยมีอารมณ์ร่วมกับพระเอกได้อย่างรุนแรงในทันที คือมันเหมือนกับว่า ผัวของพระเอกมันตรงกับผัวในจินตนาการของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยจินตนาการได้ในทันทีว่า ถ้าหากผัวในจินตนาการของเราตายไป เราจะรู้สึกโศกเศร้ามากแค่ไหน

4.อย่างที่เราเขียนไปว่า หนังเรื่องนี้มีจุดที่ดีสุดๆคือการแสดงของพระเอก แต่ปัญหาก็คือว่า การจะหานักแสดงที่เก่งแบบนี้หลายๆคนมันเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมากที่ตัวละครอื่นๆในหนังเรื่องนี้โผล่มาแค่เสียงโทรศัพท์เท่านั้น เราว่ามันช่วยแก้ปัญหาเรื่องการหานักแสดงเก่งๆได้ดี คือถ้าตัวละครเหล่านี้โผล่หน้ามาให้เห็นในหนัง แล้วนักแสดงมันเล่นไม่เก่งจริง หนังเรื่องนี้มันก็จะเข้าใกล้หนังแบบ 1448 ได้ง่ายๆ 555 แต่พอตัวละครเหล่านี้โผล่มาแค่เสียงโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยตัดปัญหาเรื่องการหานักแสดงเก่งๆไปได้เลย แถมยังช่วยให้ถ่ายทำได้ง่ายขึ้น และช่วยตอกย้ำความเหงาอ้างว้างของพระเอกได้ดีมากๆเลยด้วย

5.จริงๆก็คือชอบบทหนังเรื่องนี้มากพอสมควรนะ คือนอกจากเราจะชอบการตัดสลับระหว่าง “อดีตของความรักอันแสนหวาน” กับ “ปัจจุบันอันขมขื่น” แล้ว เรายังชอบการคิดตัวประกอบในหนังเรื่องนี้ด้วย ทั้งแม่พระเอกผู้เป็นห่วงเป็นใย, ทนายความ, เพื่อนพระเอกที่พูดสาวๆหน่อย และพี่สาวผัวพระเอก ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เกลียดพระเอกมากนัก แต่ก็ไม่ได้ชอบพระเอกมากนักด้วย เราว่าหนังคิดตัวประกอบเหล่านี้ออกมาดีพอสมควรน่ะ มันทำให้ชีวิตของพระเอกดูสมจริง เพราะถ้าพระเอกเป็นมนุษย์จริงๆ มันก็คงต้องรายรอบด้วยคนแบบนี้แหละ และตัวประกอบเหล่านี้ยังช่วยสะท้อนประเด็นเรื่องพรบ.คู่ชีวิตได้ดีด้วย

จริงๆแล้วชอบตัวละครเพื่อนพระเอกมากนะ นึกถึงตัวเองเลย คือถ้าหากเราเป็นเพื่อนพระเอก เราก็คงทำตัวเรียบร้อยในงานศพเหมือนกันน่ะแหละ แต่ลับหลังเราอาจจะพูดว่า “หนอย คุณพ่อเพื่อน ทำเป็นเกลียดเกย์ เดี๋ยวกูจิกหัวตบแล้วจับยัดลงโลงไปด้วยเลย อีห่า” อะไรทำนองนี้ 555

ตัวละครพี่สาวผัวพระเอกก็ดีมากนะ คือมันเป็นตัวละครเทาๆ ไม่ขาวจัดดำจัดน่ะ และคนจริงๆก็เป็นแบบนี้น่ะแหละ

6.ถ้าจะมีจุดที่รู้สึกติดขัดอยู่บ้าง อาจจะมีแค่ 2 moments เท่านั้นแหละ moment แรกคือตอนที่กล้องโฟกัสไปที่อุปกรณ์ประกอบฉากที่เป็นตุ๊กตาสองตัวอย่างเด่นชัดน่ะ คือเราว่าหนังเรื่องนี้ดีมากๆเลย ที่ใช้อุปกรณ์ต่างๆในบ้านในการสื่อความหมาย สื่อถึงอดีต หรือสะท้อนความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะการติดอะไรต่างๆไว้ที่ประตูตู้เย็น แต่บาง moment พอมันเด่นชัดเกินไป มันก็เลยรู้สึกว่า “ไม่ต้องเน้นขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

อีก moment นึงคือช่วงที่เสียงดนตรีประกอบมันหึ่งๆๆๆแล้วก็เงียบไปทันทีก่อนที่พระเอกจะกวาดของตรงประตูตู้เย็นทิ้งน่ะ เราว่าการใช้ดนตรีประกอบในจุดนั้นก็ชี้นำอารมณ์จนเด่นชัดเกินไปเหมือนกัน และเหมือนจะเคยได้ยินการใช้ดนตรีแบบนี้ในหนังเรื่องอื่นๆของสุระวีด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิด 555 แต่เหมือนกับว่า moment นี้ในหนังเรื่องนี้ มันอาจจะไม่ลงตัวกับดนตรีนี้แบบ 100% เต็มน่ะ แต่มันก็ไม่น่าเกลียดอะไรนะ

คือจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้แทบไม่มีอะไรที่เราไม่ชอบเลยแหละ 555 สองจุดที่ว่ามานี้จริงๆแล้วก็เป็นสองจุดที่เรารู้สึกว่ามันเล็กน้อยมากๆด้วย


สรุปว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วร้องไห้อย่างรุนแรง พระเอกเล่นดีมาก บทเราก็ชอบมากด้วย เราว่าหนังเรื่องนี้นอกจากมันจะนำเสนอประเด็นปัญหาทางกฎหมายที่มีผลกระทบต่อเราโดยตรงแล้ว มันยังนำเสนอตัวละครออกมาได้อย่างเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อจริงๆ รักจริง เจ็บปวดจริงๆด้วย

No comments: