CITIZEN KANE (1941, Orson Welles, A+30)
--เพิ่งได้ดูที่ Bangkok Screening Room มันก็ดีนะ แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วหนังที่ดีขึ้นหิ้งหลายๆเรื่องมักจะไม่โดนเราเป็นการส่วนตัวมากนัก
555 ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยเรียนด้านภาพยนตร์มาด้วยแหละ
เราก็เลยไม่รู้ว่าการถ่ายภาพในแต่ละฉากของหนังเรื่องนี้มันช่วยสร้างคุณูปการให้กับวงการภาพยนตร์อย่างไรบ้าง
เหมือนเวลาดูหนังเรื่องนี้เราจะมุ่งความสนใจไปที่การถ่ายภาพชัดลึกในแต่ละฉาก คล้ายๆกับเวลาเราดู
paintings เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้วมุ่งความสนใจไปที่เทคนิคการสร้างความลึกให้กับภาพ
paintings นั้นๆ หรือการจัดองค์ประกอบภาพของ paintings
นั้นๆ
--จริงๆแล้วอยากให้ Orson Welles ทำหนังสยองขวัญนะ
เราว่าการถ่ายภาพของเขามันพัฒนาไปทางหนังสยองขวัญได้สบายมาก
--มีบางจุดในตัวละคร Charles Foster Kane ที่ทำให้นึกถึงพระเอกของ
COSMOPOLIS (2012, David Cronenberg) เพราะสิ่งที่พระเอกของ COSMOPOLIS
ต้องการมากที่สุดคือการกลับไปตัดผมที่ร้านตัดผมที่คุ้นเคยในวัยเด็ก
(ถ้าจำไม่ผิด) มันเป็นตัวละครคนรวยที่ไม่มีใครรักจริง และดูเหมือนจะไม่รักใครจริง
และโหยหาอะไรบางอย่างในวัยเด็กคล้ายๆกัน
--สรุปว่าในบรรดาหนังของ Orson Welles เราก็ยังคงชอบ F
FOR FAKE (1973) มากที่สุดตามเดิม
--ในบรรดา 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลของ Sight and Sound นั้น
เรายังไม่ได้ดู TOKYO STORY กับ 2001: A SPACE
ODYSSEY ส่วนที่เหลืออีก 8 เรื่องนั้น
เราเรียงตามความชอบส่วนตัวได้ดังนี้
1. THE PASSION OF JOAN OF ARC (1927, Carl Dreyer)
2. SUNRISE: A SONG OF TWO HUMANS (1927, F. W. Murnau)
3. MAN WITH A MOVIE CAMERA (1929, Dziga Vertov)
4. 8 1/2 (1963, Federico Fellini) จริงๆแล้วของ Fellini
เราชอบ JULIET OF THE SPIRITS (1965) มากที่สุด
5. RULE OF THE GAME (1939, Jean Renoir)
6. CITIZEN KANE
7. VERTIGO (1958, Alfred Hitchcock) จริงๆแล้วของ Hitchcock
เราชอบ THE LADY VANISHES (1938) มากที่สุด
8. THE SEARCHERS (1956, John Ford)
--ถ้าให้เราโหวตเลือกหนังยุคเก่าจริงๆ เราคงโหวต THE
BLOOD OF A POET (1932, Jean Cocteau) อันนี้นี่แหละที่โดนเราอย่างรุนแรง
T2 TRAINSPOTTING (2017, Danny Boyle, UK, A+10)
--ชอบฉากที่ Renton พูดอันนี้มากๆ
คือฉากนี้ชอบระดับ A+30 เลย
“'Choose
life'. 'Choose life' was a well meaning slogan from a 1980's anti-drug campaign
and we used to add things to it, so I might say for example, choose... designer
lingerie, in the vain hope of kicking some life back into a dead relationship.
Choose handbags, choose high-heeled shoes, cashmere and silk, to make yourself
feel what passes for happy. Choose an iPhone made in China by a woman who
jumped out of a window and stick it in the pocket of your jacket fresh from a
South-Asian Firetrap. Choose Facebook, Twitter, Snapchat, Instagram and a
thousand others ways to spew your bile across people you've never met. Choose
updating your profile, tell the world what you had for breakfast and hope that
someone, somewhere cares. Choose looking up old flames, desperate to believe
that you don't look as bad as they do. Choose live-blogging, from your first
wank 'til your last breath; human interaction reduced to nothing more than
data. Choose ten things you never knew about celebrities who've had surgery.
Choose screaming about abortion. Choose rape jokes, slut-shaming, revenge porn
and an endless tide of depressing misogyny. Choose 9/11 never happened, and if
it did, it was the Jews. Choose a zero-hour contract and a two-hour journey to
work. And choose the same for your kids, only worse, and maybe tell yourself
that it's better that they never happened. And then sit back and smother the
pain with an unknown dose of an unknown drug made in somebody's fucking
kitchen. Choose unfulfilled promise and wishing you'd done it all differently.
Choose never learning from your own mistakes. Choose watching history repeat
itself. Choose the slow reconciliation towards what you can get, rather than
what you always hoped for. Settle for less and keep a brave face on it. Choose disappointment
and choose losing the ones you love, then as they fall from view, a piece of
you dies with them until you can see that one day in the future, piece by
piece, they will all be gone and there'll be nothing left of you to call alive
or dead. Choose your future, Veronika. Choose life.”
--ชอบที่ Spud (Ewen Bremner) เหมือนกลายเป็นพระเอกอีกคนของเรื่อง
--แต่ก็ชอบในระดับแค่ A+10 นะ คือมันดูเพลินๆ
แต่เราว่าตัวละครมันดู “โง่” เกินไปจนน่ารำคาญน่ะ หรือโง่เกินไปจนเราไม่อิน
ถ้าเทียบกับหนังภาคต่ออย่าง BRIDGET JONES’S BABY (2016, Sharon Maguire) แล้ว เราชอบ BRIDGET JONES มากกว่า
เราว่าตัวละครในภาคต่อของบริดเจ็ต โจนส์ดูเป็นมนุษย์กว่า ในขณะที่ตัวละครใน
T2 ดูเหมือนมาเพื่อสร้างสถานการณ์เท่ๆ มากไปหน่อย
--มีบางจุดที่ทำให้นึกถึงละครทีวีฮ่องกงเรื่อง ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
ที่นำแสดงโดยหลินจุ้นเสียน, เซียะหนิง กับเฉินหมิ่นเอ๋อ 555 คือในศักดิ์ศรีลูกผู้ชายนั้น
พระเอกแก้ปัญหาชีวิตด้วยการเดินทางไปต่างประเทศนานหลายปี
และพอเขากลับมาฮ่องกงอีกครั้ง เขาก็พบว่าเฉินหมิ่นเอ๋อมีผัวที่ดี
มีชีวิตที่ดีไปแล้ว
เราว่าพล็อต “การจากไป และการกลับมา” ของพระเอกในศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
มันเศร้าสะเทือนใจเรามากๆ แต่ใน T2 นั้น
หนังไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเศร้าหรือสะเทือนใจอะไรกับช่วง 20 ปีที่หายไปน่ะ
มันเหมือนกับว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมามันไม่เกิดขึ้นจริงยังไงไม่รู้
มันเหมือนกับตัวละครแค่เปลี่ยนแปลงไปแค่สภาพร่างกาย
แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตผ่านช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้จริงๆ
BOY AND THE WORLD (2012, Alê Abreu, Brazil, animation, 80min, A+30)
Easily one of the most beautiful animations I have ever seen.
แค่ฉากเปิดเราก็รู้แล้วว่า หนังเรื่องนี้เข้าทางเราแน่ๆ เพราะฉากเปิดเป็นภาพเรขาคณิตสวยๆประมาณ
5 นาที โดยไม่มีเนื้อเรื่องอะไรทั้งสิ้น
จริงๆแล้วประเด็นของหนังสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหนังแย่ได้ง่ายมากนะ
เพราะมันเป็นหนังอนุรักษ์ธรรมชาติ ต่อต้านทุนนิยม
แต่หนังมันทำออกมาได้สุดฝีมือมากน่ะ ดูแล้วแทบร้องไห้