Wednesday, September 06, 2017

14/10/2016 – THE DAY AFTER (2017, Teeraphan Ngowjeenanan, documentary, 127min, A+30)

14/10/2016 – THE DAY AFTER (2017, Teeraphan Ngowjeenanan, documentary, 127min, A+30)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเวลาและสถานที่นั้นๆมากๆ เพราะฉะนั้นจุด focus ของมันจะแตกต่างจาก “สวรรคาลัย” (2017, Abhichon Rattanabhayon, A+30) เพราะสวรรคาลัยทำให้เรา focus ไปที่ปฏิกิริยาของผู้คนในสถานที่นั้นๆ เหมือนกับว่า “ดวงตา” และ “หู” ของเราอยู่ในสถานที่นั้นๆ แต่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า “ร่างกาย” ของเราอยู่ในสถานที่นั้นๆด้วย ในขณะที่ 14/10/2016 – THE DAY AFTER ทำให้เรารู้สึกว่าร่างกายของเราอยู่ในสถานที่นั้นๆด้วย

ในแง่หนึ่งมันก็เลยทำให้นึกถึง THE MOST BEAUTIFUL TIME (2014, Teeraphan Ngowjeenanan, 30min, A+30) เพราะเรารู้สึกว่า THE MOST BEAUTIFUL TIME มันก็เป็นภาพยนตร์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกทางร่างกายเหมือนกัน มันเหมือนกับว่าร่างกายของเรารู้สึกได้ถึงความทรมานจากรถติดในขณะดู THE MOST BEAUTIFUL TIME ด้วย คือในขณะที่หนังสารคดีทั่วไปอาจจะทำให้เรารู้สึกเหมือนตาและหูของเราอยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกับคนถ่าย แต่หนังทั้งสองเรื่องของ Teeraphan Ngowjeenanan ก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงต่อ “ร่างกาย” ของเราด้วย ไม่ใช่แค่เพียงประสาทตาและประสาทหูแบบหนังสารคดีทั่วไป

สรุปได้ว่า การดู 14/10/2016 – THE DAY AFTER เป็น “physical experience” ที่รุนแรงมากสำหรับเรา และเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในหนังทั่วไป หนังเรื่องนี้ติดอันดับประจำปีของเราแน่นอนค่ะ

THE LAST THING (ETC) ON NEW YEAR’S EVE (2017, Bowornlak Somroob, 20min, A+30)
เรื่องสุดท้าย (ฯลฯ) ในวันสิ้นปี    

1.นี่แหละ หนังแบบที่กูต้องการจากเทศกาลหนังสั้นมาราธอน 555 มันคือหนังแบบที่ไม่ต้องสนใจคุณค่าทางโปรดักชั่นหรือความลงตัวทาง aesthetics อะไรมากนัก แต่มันเป็นหนังแบบที่ดูจบแล้วต้องอุทานว่า “มันเป็นไปได้อย่างไร” “แต่มันก็เป็นไปแล้ว” “มันมีคนสร้างหนังไทยแบบนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ” 555 คือเราถูกโฉลกกับหนังแบบนี้อย่างสุดๆน่ะ และมันเป็นหนังประเภทที่ทำให้เรารักเทศกาลหนังสั้นมาราธอนมากๆ นั่นก็คือมันเป็นหนังที่อาจจะมีข้อบกพร่องมากมายอะไรก็ได้ แต่ขอให้มันมีองค์ประกอบอะไรสักอย่างที่พีคสุดๆหรือเข้าทางเราอย่างสุดๆ แค่นั้นก็พอแล้ว เราไม่ได้แสวงหาความงดงามของทุกองค์ประกอบทางสุนทรียะในหนัง เราขอองค์ประกอบที่จั๋งหนับสุดๆสักอย่างสองอย่าง เราก็พอใจแล้ว

2.ในส่วนของหนังเรื่องนี้นั้น สิ่งที่เรากรีดร้องด้วยความชอบใจอย่างสุดๆ ก็คือการตัดจบของมันน่ะ คือมันจบในแบบที่ปมปัญหาอะไรของตัวละครไม่คลี่คลายอะไรเลยทั้งสิ้น ทั้งปมเรื่องพ่อ, ปมเรื่องแม่, ปมที่ว่าใครพูดจริงใครพูดเท็จ, ปมเรื่องสาวเลสเบียนคนรัก และปมปริศนาการหายตัวไปของตัวละครสำคัญตัวหนึ่ง (ลองนึกถึง L’AVVENTURA (1960, Michelangelo Antonioni) ดูสิ) แต่เรารู้สึกว่าการตัดจบแบบนี้มัน “ใช่” ในทางอารมณ์มากๆ คือมันลงตัวทางอารมณ์สุดๆที่ตัดจบแบบนั้นไปเลย โดยที่ทุกปัญหาค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

3.คือการตัดจบแบบลงตัวทางอารมณ์มันทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังบางเรื่องอย่าง

3.1 หนังประเภทที่ตัดจบเพราะดูเหมือนผู้กำกับถ่ายไม่เสร็จ อย่างเช่น ORANGE JUICE (2017, เขมรุจิ ทีรฆวงศ์) และเรื่องเล่าของนิน (คีตาลักษณ์ โตมานิตย์) คือเราไม่รู้ว่าหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ผู้กำกับถ่ายไม่เสร็จจริงหรือเปล่านะ แต่มันให้อารมณ์เหมือนกับถ่ายไม่เสร็จน่ะ

3.2 หนังประเภทที่ผู้กำกับจงใจตัดจบ คือถ่ายเสร็จแล้ว แต่อารมณ์ของคนดูยังค้างเติ่งอยู่ หรือยังไม่ไปไหน อย่างเช่น หนังบางเรื่องของ Seriphab Sutthisri ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ชอบหนังบางเรื่องของคุณ Seriphab อย่างสุดๆนะ เพราะหนังบางเรื่องของเขามันให้อารมณ์จบจริงๆ แต่มันก็มีหนังบางเรื่องของเขาที่จบอย่างงงๆว่า อ้าว จบแล้วเหรอ

4.เราว่าคู่แฝดของหนังเรื่องนี้คือ เราโอเค YEAH I’M FINE (2017, Kingkarn Suwanjinda, A+30) น่ะ เพราะว่า

4.1 เราโอเค YEAH I’M FINE เป็นหนังเกย์ ส่วน “เรื่องสุดท้าย” เป็นหนังเลสเบียน

4.2 แม่ของตัวละครเอกของหนังสองเรื่องนี้ ถูกสามีทอดทิ้งเหมือนกัน  และตัวละครเอกของหนังสองเรื่องนี้ ต้องรับมือกับความชอกช้ำใจของแม่เหมือนกัน

4.3 ตัวละครเอกของหนังสองเรื่องนี้ มีคนรักที่ดูเหมือนจะรักกันดี แต่ก็ดูเหมือนจะมีความไม่ลงตัวบางอย่างทางความสัมพันธ์เหมือนกัน

4.4 หนังทั้งสองเรื่องนี้นำเสนอเพียง “เสี้ยวชีวิตสั้นๆ” ของตัวละครเอกเหมือนกัน เมื่อถึงตอนจบของหนังเรื่องนี้ ตัวละครเอกก็ดูเหมือนไม่สามารถคลี่คลายปัญหาใดๆในชีวิตของตัวเองได้ดีไปกว่าในช่วงเริ่มต้นเรื่อง แต่สิ่งที่ตัวละครเอกของหนังทั้งสองเรื่องทำ ก็คือก้าวเดินในชีวิตต่อไป


5.สรุปว่า เรารักเทศกาลหนังสั้น เพราะหนังแบบนี้นี่แหละ หนังแบบที่เราดูจบแล้วต้องอุทานว่า “มันเป็นไปได้อย่างไร” แต่มันก็มีคนทำหนังแบบนี้ออกมาแล้วจริงๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่า ทำไมผู้ชม L’AVVENTURA ในปี 1960 ถึงรู้สึกช็อค 555

No comments: