THAI FILMS I SAW ON THURSDAY, JULY 12, 2018
1.เซือคำซา
/ เดชธนา อาสาธนาคูณ / 43.15
นาที A+30
ชอบสุดๆ
หนังเล่าเรื่องของพระเอกที่กลับไปเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัด
แล้วพบว่าคนในหมู่บ้านมีอาการแปลกๆ หนังใช้ setting เหมือน “ไทบ้านเดอะซีรีส์”
แต่ทำออกมาเป็นหนัง sci-fi thriller
อีกจุดที่ชอบสุดๆคือประเด็นในหนังมันตรงกับสิ่งที่เราคิดด้วย
นั่นก็คือ คนหลายคนเลือกจะเชื่อในสิ่งที่ “ว่างเปล่า” หรือสิ่งที่ “ไม่รู้ว่าเป็นความจริง”
หรือเปล่า แต่ก็เลือกที่จะเชื่อ เพราะมันทำให้มีความสุข, สบายใจ, มีสิ่งยึดเหนี่ยว
ซึ่งเราเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน อย่างคำสอนทางศาสนาหลายๆคำสอน เราก็พิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า
เรารู้แต่ว่าเชื่อแล้วสบายใจ เราก็เลยเชื่อมันไปก่อน แต่เราก็ยอมรับตลอดเวลานะว่า
มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และมันเป็นสิ่งที่อาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้
หรือยกตัวอย่างง่ายๆก็ตุ๊กตาหมีที่เราเล่นอยู่ทุกวันนี่แหละ
เรารู้ตลอดเวลาว่ามันไม่มีชีวิต
แต่เราก็เล่นกับมันเหมือนกับว่าตุ๊กตาหมีมันมีชีวิต เพราะทำแบบนี้แล้วมีความสุขดี
เรา treat สิ่งที่ว่างเปล่าให้มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่างเปล่า และเราก็มีความสุขไปกับมัน
รู้สึกว่าหนังที่สามารถปะทะกับเรื่องนี้ได้ก็คือ
ฝาก (RIPE) (2017,
Pannaruj Peerachaikarn) ของม.ธรรมศาสตร์ เพราะทั้ง RIPE และ เซือคำซา ต่างก็นำเอาประเด็นสังคม/การเมือง มาดัดแปลงเป็นหนัง sci-fi
thriller ที่ถูกใจเราสุดๆเหมือนกัน
อีกจุดที่ชอบเป็นพิเศษก็คือว่า
เซือคำซา มันดูแตกต่างจากหนังนักศึกษาโดยทั่วไปด้วยแหละ
เพราะปกติแล้วเราจะไม่ค่อยเห็นนักศึกษาทำหนัง sci-fi thriller ประเด็นการเมืองที่ใช้
setting เป็นชนบท และทำออกมาได้ดีขนาดนี้
แต่เราว่าจังหวะ
thriller ในหนังยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่นะ แต่ก็เป็นจุดที่มองข้ามได้
2.Heaven no.1504
and sedimentation of the renewal / สิปปกร เอาตระกูล / 25.35
นาที A+30
งดงามสุดๆ ชอบที่หนังเปลี่ยน texture
ของภาพไปเรื่อยๆ มันช่วยให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมา
เพราะปกติแล้วนักศึกษาไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำหนังที่เล่นกับ texture ของภาพ
หนังเรื่องนี้โดดเด่นตั้งแต่ซีนแรกแล้ว
ที่เป็นจอสีแดงทั้งจอ แล้วสีแดงก็ค่อยๆเลือนหายไปทีละน้อยแล้วปรากฏภาพบาร์เหล้าคาราโอเกะขึ้นมา
คือแค่ซีนเปิดก็ไม่ซ้ำแบบใครแล้ว
แต่ช่วงที่ชอบที่สุดของหนังคือช่วงต่อจากซีนคาราโอเกะนะ
มันเป็นช่วงที่บรรยายเป็นตัวอักษรได้ยากมาก มันเหมือนเป็นภาพอะไรวูบไหวบนจอทีวี
ซ้อนกับภาพถ่ายเก่าๆที่มีร่องรอยของการเสื่อมสลาย เราว่าส่วนนี้ของหนังนี่เป็นส่วนที่
indescribable
จริงๆ และเล่นกับความงดงามของสื่อภาพยนตร์จริงๆ
คือมันเป็นความงามที่ถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ยากน่ะ ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆที่เน้น
“เนื้อเรื่อง” นี่ เราสามารถเล่าเนื้อเรื่องผ่านทางตัวอักษรก็ได้
อีกฉากที่ชอบสุดๆในหนังคือฉากผู้หญิงสองคนที่น้ำตก
แล้วค่อยๆมี graphic เข้ามาทำให้ซีนนั้นมันดูคล้ายๆภาพวาด
impressionist คือ moment นี้นี่ก็งดงามสุดๆเหมือนกัน
ชอบความ “คุมอารมณ์ได้อยู่”
ของผู้กำกับด้วย คือเราเดาว่าผู้กำกับคงทำหนังเกี่ยวกับครอบครัวตัวเอง
ซึ่งถ้าคุมไม่ดี มันจะดูเป็นการยกย่องเชิดชูครอบครัวตัวเองมากเกินไปน่ะ
เราก็เลยชอบฉากจบ ที่ดูเหมือนถ่ายคนที่น่าจะเป็นพ่อ กิน junk
food อะไรสักอย่าง คือมันเป็น moment
ง่ายๆธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรเลย แต่ moment แบบนี้นี่แหละที่ผู้กำกับที่ตาคมจริงๆเท่านั้นจะสามารถทำให้มันดูงดงามขึ้นมาได้
อีกซีนที่เราว่าเลือกวิธีการถ่ายทอดได้ดี
คือซีนหนุ่มสาวที่เปียโน ซึ่งเราเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นผู้กำกับกับแฟน
คือซีนนี้ถ่ายจากด้านหลังแบบเฉียงๆ และดูเป็น moment
ที่ไม่ช่วยให้เราได้รู้จักบุคคลในหนังแต่อย่างใด
หนังจงใจสร้างระยะห่างระหว่างผู้ชมกับตัว subjects ในฉากนั้นอย่างจงใจ
แต่มันเป็นการสร้างระยะห่างที่เหมาะสม เพราะถ้าหากหนังมันเข้าใกล้ subjects
กว่านั้น ผู้ชมก็อาจจะหมั่นไส้ตัว subjects ได้
แต่จุดด้อยของหนังในมุมมองของเราเป็นการส่วนตัว
ก็คือว่า content ของมันที่เป็นผู้กำกับนำเสนอ
“ครอบครัวตัวเองในด้านบวก” หรือถ่ายทอด “ความรักที่มีต่อครอบครัวตัวเอง”
มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับหนังสั้นของนักศึกษาไทยอีกหลายร้อยเรื่องน่ะ และมันเป็นสิ่งที่เราไม่อินเป็นการส่วนตัวด้วย
เราก็เลยอาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากเป็นอันดับหนึ่งของวันนี้
แต่ถึงเราจะเฉยๆกับ content
แต่ในแง่ form หรือ style แล้ว นี่เป็นหนังที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในปีนี้จริงๆ
3.Hollow
Girl / อรุณกร พิค & กันตพล ดวงดี / 7.25
นาที A+30
การตัดผู้หญิงทิ้งไปจากฉากอีโรติกนี่มันช่างตอบสนองความใคร่ของเราได้ดีจริงๆ
พระเอกเล่นเก่งสุดๆเลยด้วย
4.ดนตรี, ดอกไม้, ความหวัง / เอกลักษณ์ อนันตสมบูรณ์ / 26.10 นาที
DOCUMENTARY A+30
ชอบเรื่องราวชีวิตของตัว
subject มากๆ ที่แม่ติดยาเสพติด แถมขโมยเงินยาย ส่วนพ่อก็ติดการพนัน
ลุงกับญาติก็ทุบตีตัว subject เวลาได้ฟังเรื่องราวของคนแบบนี้เราจะรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป
5.ฟ้าหลังฝน
/ นภา อินทรโชติ / 17.32
นาที A+30
งดงามมากๆ สามารถปะทะกับ SCENE
AND LIFE (2018, Boonsong Nakphoo) ได้เลย
6.Gift / เกียรติคุณ
บุญเย็น / 30.44 นาที A+30
ถ่ายฉากวิวทิวทัศน์ได้งดงามมากๆ ชอบมากที่หนังนำเสนอตัวละครแบบที่เราเกลียด
แล้วหนังก็ลงโทษตัวละครตัวนั้นอย่างสาสม
7.เสือ / ปัฐษร ดอกขัน / 18 นาที A+15
เหมือนเป็นหนังโชว์
production
design เพราะในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น มันดูพร่องๆยังไงไม่รู้
8.self / ธนวัฒน์ สุขทวีดำรงค์ / 9.38 นาที A+
หนังจากม.ขอนแก่น ถ้าหนังไม่หักมุมช่วงท้าย เราจะชอบมาก เพราะช่วงแรกของหนังเป็นการถ่ายสาวสวยพูดคุยหยอกล้อกับแฟนอย่างเป็นธรรมชาติไปเรื่อยๆ คือเราชอบการจับ moment ธรรมดาแบบหนุ่มสาวคุยกันแบบนี้น่ะ คือถ้าทำจุดนี้ให้ดีๆ มันจะเป็นเหมือนอย่างหนังเรื่อง THE BANNED WOMAN (1997, Philippe Harel) ที่กล้องของหนังใช้แทนสายตาพระเอกขณะมองแฟนสาวตลอดเวลา แต่พอหนังเรื่อง SELF หักมุมช่วงท้าย ระดับความชอบของเราที่มีต่อ SELF ก็เลยลดลง
No comments:
Post a Comment