Thursday, April 25, 2019

HOMETOWN (2019, Apichayapa Nuniam, A+30)


HOMETOWN บ้านเกิด (2019, Apichayapa Nuniam, A+30)

1.มันจะต้องมีการผลิตหนังสั้นไทย genre นี้ออกมาทุกปีในช่วงสิบปีที่ผ่านมา 555 ซึ่งก็คือ genre ตัวละครหนุ่มสาวในกรุงเทพ เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด 

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทำไมถึงมีการผลิตหนังสั้นไทgenre นี้ออกมามากมาย เพราะมันน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของนิสิตหลายๆคนนั่นแหละ ซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่ต้องเข้ามาเรียนหนังสือและทำงานในกรุงเทพ และพอมีเหตุอันควร ก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด

เพราะฉะนั้นหนังเรื่อง "บ้านเกิด" นี้ก็เลยเผชิญกับตัวเปรียบเทียบมากมาย เพราะมันมีหนังที่อยู่ใน genre เดียวกันให้เปรียบเทียบราว 100 เรื่อง และก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่หนังเรื่องนี้ออกมาโอเคสำหรับเรา ไม่ได้จมหายไปเมื่อเทียบกับหนังใน genre เดียวกัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้โดดเด้งมากนักก็ตาม

2.สาเหตุสำคัญอันแรกที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะมันไม่ “ตกหลุมพราง” สำคัญ 3 อันที่เรามักจะเจอในหนัง genre นี้ 555 ซึ่งหลุมพรางสำคัญที่เราเกลียดมากๆในหนัง genre นี้ก็คือว่า

2.1 หนังหลายๆเรื่องใน genre นี้ชอบเล่นกับ  “อารมณ์ซาบซึ้งฟูมฟาย”

2.2 หนังหลายๆเรื่องใน genre นี้ชอบเล่นกับทัศนคติ “สำนึกรักบ้านเกิด” คือตัวละครนำในหนัง genre นี้หลายๆเรื่องมักจะ

2.2.1 เกลียด+เบื่อ กรุงเทพ ก็เลยกลับบ้านเกิดเพื่อพักผ่อนจิตใจ
2.2.2 หมกมุ่นกับการทำงานที่กรุงเทพ ไม่อยากกลับบ้านเกิด แต่พอกลับบ้านเกิด แล้วก็เริ่มเห็นคุณค่าของบ้านเกิดขึ้นมา

คือหนัง genre นี้มักจะเทิดทูนคุณค่าของบ้านเกิดมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ identify ด้วย หรือไม่อินกับอะไรประเภทนี้เลย และจริงๆแล้วหนังเรื่อง “บ้านเกิด” นี้ก็เข้าข่าย 2.2.2 นะ 555 แต่ยังดีที่มันไม่เน้นย้ำมันมาก คือมันใส่เข้ามาแบบจางๆ พอเป็นธรรมชาติน่ะ มันไม่ได้สั่งสอนคนดูตรงๆว่า “มึงควรรักบ้านเกิดนะ” แต่มันเหมือนบอกว่า พระเอกแค่รู้สึกดีๆกับบ้านเกิดมากขึ้น แค่นั้นเอง เราก็เลยยอมรับหนังเรื่องนี้ได้ คือมันเกือบจะติดกับดักอันนี้แล้ว ยังดีที่มันใส่เข้ามาแค่จางๆ มันก็เลยรอด

2.3 หนังหลายๆเรื่องใน genre นี้ ชอบให้ตัวละครเริ่มต้นจากการเป็นคน “ไม่กตัญญู” และพัฒนากลายมาเป็น “เด็กที่กตัญญู รักพ่อแม่โคตรเหง้าปู่ยาตาทวด” ในตอนจบ

ซึ่งยังดีที่ “บ้านเกิด” ไม่ตกหลุมพรางนี้เช่นกัน คือเหมือนพระเอกรักแม่อยู่แล้วตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็เลยไม่ต้องมีพัฒนาการของตัวละครที่ซ้ำๆซากๆแบบหนังเรื่องอื่นๆ

3.นอกจาก “บ้านเกิด” จะหลบจุดอ่อนสำคัญๆของหนัง genre นี้ได้แล้ว “บ้านเกิด” ยังสร้างจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครให้กับตัวเองได้ด้วย นั่นก็คือการ focus ไปที่ “พิธีกรรมบูชาครูหมอโนรา” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในหนังสั้นเรื่องอื่นๆ ถึงแม้มันจะไปคาบเกี่ยวกับหนังเรื่อง “เทริด” ก็ตาม

จริงๆแล้วเราก็ไม่ได้อินหรือตื่นเต้นอะไรกับโนราในหนังเรื่อง “บ้านเกิด” นะ แต่เราว่ามันช่วยสร้าง “จุดจดจำ” ให้กับหนังเรื่องนี้ได้น่ะ คือการที่หนังเรื่องนี้เน้น “โนรา” ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังสั้นเรื่องอื่นๆไม่ทำกัน มันช่วยให้หนังเรื่องนี้เป็นที่จดจำได้ง่ายขึ้น

4.ชอบการใช้ภาษาใต้ในหนังด้วย

5.แต่จริงๆแล้ว สาเหตุหลักอีกอันที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้ก็คือว่า “พระเอกหล่อ” 555 และตากล้องของหนังเรื่องนี้นี่ก็ช่างรู้ใจคนดูสุดๆ คือ close up หน้าพระเอกเกือบตลอดเวลา เรียกว่าตากล้องของหนังเรื่องนี้รู้วิธีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้ดีมากๆ

6.อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้โดยตรงนะ แต่จะเสริมว่า ถ้าหากเราจะสร้างหนังใน genre ที่มันคล้ายกับหนังสั้นของหลายๆคน บางทีมันก็ต้องหาจุดเด่น จุดแข็งให้กับตัวเองแบบหนังเรื่องนี้แหละ อย่างหนังเรื่องนี้พอมัน focus ไปที่ “โนรา” มันก็เลยมีจุดเด่น จุดแข็งที่ช่วยให้หนังเรื่องนี้มีความ unique ขึ้นมาได้

อย่างในปีที่แล้ว มันก็มีหนัง genre นี้ออกมาหลายเรื่องเช่นกัน และหนังที่มันน่าจดจำ ก็คือหนังที่มันเหมือนมีความ unique อะไรบางอย่างของมันนั่นแหละ อย่างเช่น

6.1. NO PLACE LIKE HOME (2018, ไอศวรรนยา ภูมิเลิศ) นางเอกกลับบ้านเกิด แต่ตอนจบนางเอกกลับพบว่า เธอน่าจะมีความสุขกับการไปเที่ยวชายหาดแบบแร่ดๆมากกว่า

6.2 NEW RECORDING (2018, จิตราพร กาญจนศุภศักดิ์) นางเอกกลับบ้านเกิด และพบว่ายายของเธอพยายามยุยงให้แม่ของเธอหย่ากับพ่อของเธอ หรืออะไรทำนองนี้

6.3 AT THE BACK OF BEYOND (2018, ปวริศร คุณวรผาติ) เรื่องนี้สุดยอดมากๆ เพราะหนัง focus ไปที่คนชราที่บ้านเกิด ที่รอให้หลานๆมาเยี่ยม คือพอหนังย้ายจุด focus แบบนี้แล้ว มันทำให้เกิดมุมมองที่น่าสนใจมากๆ

แต่จริงๆแล้วถ้าหากผู้กำกับคนไหนมีความสามารถขั้นสูงจริงๆ ก็อาจจะไม่ต้องพึ่งพาเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ก็ได้นะ เพราะหนังที่เราชอบที่สุดใน genre นี้อาจจะเป็นเรื่อง “กาลนิรันดร์” (2008, Issara Boonprasit, 30min) ที่เล่าเรื่องพระเอกกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านเกิด ซึ่งเราจำเนื้อหาอะไรของหนังไม่ได้เลย เหมือนเนื้อหาของหนังมันไม่มีอะไรแปลกใหม่พิสดารเลย จำได้แต่ว่าหนังมันให้อารมณ์ที่งดงามสุดๆมากๆ ถ้าจำไม่ผิด หนังมันแค่จับกิจวัตรประจำวันของตัวละครไปเรื่อยๆ แต่มันสามารถถ่ายทอดอะไรที่ธรรมดาสามัญเหล่านี้ให้ออกมางดงามพิลาสพิไลสุดๆได้

No comments: