Thursday, May 02, 2019

THE END OF THE TRACK (1970, Mou Tun-fei, Taiwan, A+30)


สุดถนนบนทางเปลี่ยว
THE END OF THE TRACK (1970, Mou Tun-fei, Taiwan, A+30)

อันดับหนึ่งประจำปี 2019 ของเราในตอนนี้

SPOILERS ALERT 
--
--
--
--
--
1.ชอบอย่างสุดขีดคลั่งตั้งแต่ฉากเปิดจนฉากปิดของเรื่อง ชอบทั้งงานด้านภาพ, การจัดองค์ประกอบภาพ, การตัดต่อ, การใช้ภาพนิ่ง, เนื้อเรื่อง, ความ homoerotic, การให้ความสำคัญกับอาชีพตัวละคร, ยุคสมัย, ตัวละครประกอบ, การตัดสินใจของตัวละคร และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ 

คือแค่ฉากเปิดก็กราบตีนแล้ว ที่เป็นดวงไฟสองดวงล่องลอยไปมาท่ามกลางความมืด จนในเวลาต่อมาเราถึงพบว่า ที่แท้แล้วมันเป็นแสงไฟฉายจากหมวกนิรภัยของพระเอกกับเด็กหนุ่มเพื่อนสนิท ทั้งสองค่อยๆโผล่ออกมาจากเหมืองร้าง

ฉากเปิดนี้มันล้อกับฉากปิดของเรื่องด้วย

คือแค่ฉากเปิดก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Mou Tun-fei มีความสามารถในการ "ถ่ายทอดด้วยภาพเคลื่อนไหว"น่ะ

2.การจัดองค์ประกอบภาพก็งดงามมากๆ ฉากที่ติดตามากคือฉากแบบ extreme long shot ที่เราเห็นพระเอกยืนตัวเล็กๆอยู่หน้าแม่น้ำ 

ฉากนี้ทำให้นึกถึงฉากที่ติดตาสุดๆใน I DIDN'T DARE TO TELL YOU (1969, Mou Tun-fei) ด้วย ซึ่งเป็นฉากแบบ extreme long shot เข่นกัน ที่ถ่ายพระเอกยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวท่ามกลางกำแพงที่กว้างใหญ่ 

คืออารมณ์ในสองฉากนี้มันมาจากการจัดองค์ประกอบภาพน่ะ ที่เลือกถ่ายตัวละครเอกจากระยะไกล เพื่อให้พระเอกดูตัวเล็กมากๆท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดูใหญ่โตมโหฬาร ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นเพียงแค่แม่น้ำธรรมดา หรือกำแพงโรงเรียนธรรมดา

3.ชอบเนื้อเรื่องอย่างสุดๆด้วย ดูแล้วอยากรีเมคใหม่มากๆ แต่จะเปลี่ยนให้ตัวละครแก่กว่าในเรื่องนี้สัก 5 ปี เป็นเรื่องของคู่รักเกย์หนุ่มหล่อกล้ามโตอายุ 18 ปีสองคนที่ถอดเสื้อเกือบตลอดทั้งเรื่อง 555

แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ หนังมันก็งดงามมากๆแล้วล่ะ ช่วงแรกนี่นึกว่าสรวงสวรรค์อีเดนสำหรับตัวละครเอกมากๆ คือชีวิตพวกเขาไม่ได้สุขสบายนะ แต่เราสัมผัสได้ถึงความสุขใน "โลกของพวกเขาสองคน" น่ะ โลกที่ทั้งสองเล่นสนุกกันไปมา เล่นน้ำ สำรวจถ้ำ ทำการบ้าน กอดปล้ำกัน เย้าแหย่กัน มีกันและกันตลอดเวลา

พอในช่วงต่อมา พระเอกก็เหมือนตกจากสวรรค์ และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดบาป เราว่าเนื้อเรื่องช่วงหลังนี่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่า มันไม่มีเหตุการณ์ภายนอกมาทำร้ายพระเอกเลย พระเอกถูกทำร้ายจากความรู้สึกในใจตนเองเท่านั้น คือเหมือนหนังมันเล่นท่ายากมากพอสมควรด้วยแหละ คือมันไม่ได้พึ่งพา " เนื้อเรื่อง หรือ เหตุการณ์" ในการขับเคลื่อนเรื่องไปข้างหน้าแล้ว หนังพึ่งพาความรู้สึกในใจพระเอก ในการผลักเรื่องไปข้างหน้าอย่างเดียวเลย และหนังเรื่องนี้ก็ทำได้สำเร็จอย่างงดงามมากๆในจุดนี้ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำแบบนี้ได้

4.ชอบที่หนังลงรายละเอียดเยอะมากเรื่องการประกอบอาชีพขายบะหมี่ (หรือก๋วยเตี๋ยว?) ด้วย ทั้งการต้องเข็นแผงไปขายให้ทันเวลาคนงานเลิกงาน และความฝันที่จะมีร้านแบบเป็นหลักแหล่ง

5.สิ่งที่ชอบสุดๆอีกอย่างคิอตัวละครประกอบ 4 ตัว ซึ่งได้แก่คู่สามีภรรยาขายบะหมี่ และพ่อแม่ของพระเอก เพราะทั้ง 4 ตัวละครนี้เป็นคนดีหมดเลยน่ะ เพราะฉะนั้นมันก็เลยผิดคาดมากๆ เพราะตอนแรกเรานึกว่า พ่อแม่พระเอกจะไม่เข้าใจพระเอก และพยายามขัดขวางการไถ่บาปของพระเอก แต่ปรากฏว่าพ่อแม่พระเอกกลับเข้าใจพระเอกเป็นอย่างดี และพยายามช่วยเหลือลูกในการไถ่บาปด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีงามมากๆ และแสดงให้เห็นว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้เลือกการสร้างอุปสรรคเพื่อทำร้ายพระเอกแบบหนังทั่วไป พระเอกในหนังเรื่องนี้ไม่ได้เผชิญอุปสรรคจาก "คนเลว" หรือ "ความไม่เข้าใจ" หรือ ""การรักลูกแบบผิดๆ" แบบหนังทั่วไป แต่เผชิญอุปสรรคจากหลุมดำในใจตัวเองล้วนๆ

คู่สามีภรรยาขายบะหมี่ก็ดีงามมากๆ 

5.ชอบการแข่งขันดีดลูกคิดในหนังเรื่องนี้ด้วย เหมือนเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในหนังเรื่องอื่นๆเลย และมันทำให้เรานึกขึ้นมาได้ว่า เราไม่เห็นคนใช้ลูกคิดในชีวิตจริงมานาน 30 กว่าปีแล้ว คือเหมือนตอนเด็กๆเราเคยเห็นร้านขายของชำบางร้านใช้ลูกคิดอยู่ แต่เราก็ไม่ได้เห็นมันมานานมากแล้ว

6.ชอบลมหมุนในลู่วิ่งมากๆเลยด้วย ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่เราก็ชอบมองดูสิ่งนี้

7.ฉาก "สามัคคีคือพลัง" ตอนพายุฝนถล่มนี่ทรงพลังมากๆ ซึ้งมากๆ

แอบนึกด้วยว่า หนังอาจจะเลือกทางออกง่ายๆด้วยการให้พระเอกเป็นบาดทะยักตายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ขาในฉากนั้น แต่ดีที่หนังไม่ได้เลิอกทางออกแบบนั้น

8.แต่สิ่งที่สุดขีดมากๆคือการตัดสินใจฆ่าตัวตายของตัวละคร (เราเดาว่าตัวละครตัดสินใจแบบนั้นนะ ถึงหนังไม่ได้บอกตรงๆ) คือตามหลักเหตุผลแล้ว ตัวละครไม่ควรต้องฆ่าตัวตายเลย เพราะเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เขาเป็นผู้ชายที่จิตใจดีงาม เหมาะจะเติบโตขึ้นมาเป็นสามีของเรามากๆ

แต่หนังก็ทำให้เรารู้สึกเข้าใจมากๆว่าทำไมตัวละครถึงตัดสินใจแบบนั้น เหมือนบ่อความเศร้าในใจมนุษย์ในชีวิตจริง มันก็เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย และไร้เหตุผลแบบนี้นี่แหละ และหนังเรื่องนี้ก็เข้าใจดีถึงความซับซ้อนนี้ (อาจจะมีต่อ)
THE END OF THE TRACK (ต่อ)

SPOILER ALERT
--
--
--
--
--

9.ความเศร้าของตัวละครในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงหนังอีกหลายๆเรื่อง และประเด็นเรื่อง survivor’s guilt ด้วย ซึ่งจริงๆตัวละครใน THE END OF THE TRACK ไม่ได้มี survivor’s guilt นะ แต่มันเป็นตัวละครที่รู้สึก guilt ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนๆกับพวก survivor’s guilt น่ะ

คือเมื่อเร็วๆนี้ได้อ่านเรื่องผู้หญิงที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงที่โรงเรียนมัธยมในอเมริกา แต่เธอก็ฆ่าตัวตายในอีก 1 ปีต่อมา ทั้งๆที่เธอเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงนั้น คือเหมือนเหตุการณ์กราดยิงอาจจะทำให้เธอรู้สึกผิดที่เธอรอดชีวิต หรือมันอาจจะสร้างบาดแผลทางใจที่ใหญ่มากจนไม่มีวันรักษาให้หายได้ในใจเธอ เธอก็เลยฆ่าตัวตายในอีกราว 1 ปีต่อมา ซึ่งเราว่าเรื่องแบบนี้มันน่าสนใจดี มันดูเหมือนอยู่นอกเหนือคำอธิบาย และมันไม่ใช่ความผิดของใครโดยตรงเลย คือเหมือนคนผิดจริงๆคงมีเพียงแค่ผู้กราดยิง แต่เราเชื่อว่าทุกคนรอบตัวเธอ พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนๆของเธอก็น่าจะ treat เธอในฐานะผู้รอดชีวิตอย่างดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังคงช่วยประคับประคองจิตใจเธอไม่ได้ ซึ่งเรื่องราวแบบนี้มันก็เลยทำให้นึกถึงตัวละครใน THE END OF THE TRACK ที่จมดิ่งลงในความเศร้า ถึงแม้ทุกๆคนรอบข้างเขาพยายามช่วยเหลือเขาอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม

ตัวละครประเภท survivor’s guilt นี้ ยังทำให้นึกถึง

9.1 ตัวละครประกอบตัวนึงใน PHOENIX (2014, Christian Petzold) ที่รอดชีวิตจาก holocaust แต่ก็ฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา

9.2 Stefan Zweig ซึ่งเป็นนักเขียนชื่อดัง กับภรรยาของเขา ทั้งสองสามารถหนีรอดจาก Holocaust มาได้เช่นกัน แต่ทั้งสองก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายอยู่ดี โดยชีวิตของทั้งสองถูกนำมาสร้างเป็นหนังเรื่อง STEFAN ZWEIG: FAREWELL TO EUROPE ด้วย

10. ความเศร้าในใจตัวละครเอกใน THE END OF THE TRACK ยังทำให้นึกถึงตัวละครเอกในหนังที่เราชอบสุดๆอีกหลายเรื่องด้วย อย่างเช่น

10.1 พระเอกของ THE DEVIL, PROBABLY (1977, Robert Bresson)

10.2 พระเอกของ THE FIRE WITHIN (LE FEU FOLLET) (1963, Louis Malle)

10.3 นางเอกของ GILLES’ WIFE (2004, Frédéric Fonteyne)

10.4 นางเอกของ NO PLACE TO GO (2000, Oskar Roehler)

คือเหมือนตัวละครทั้ง 4 ตัวนี้ และพระเอกของ THE END OF THE TRACK ต่างก็ไม่ได้ถูกทำร้ายโดยคนรอบข้างอย่างตรงๆน่ะ ความเศร้าในใจของพวกเขา ดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือเหตุผลหรือคำอธิบายอย่างง่ายๆ และไม่ได้เกิดจากความผิดของใคร แต่มันเป็นเรื่องของความซับซ้อนเกินคำบรรยายในใจมนุษย์จริงๆ

No comments: