Monday, February 25, 2013

FILMS I SAW IN JANUARY 2013


FILMS I SAW IN JANUARY 2013

1.THE FOSTER BOY (2011, Markus Imboden, Switzerland, A+30)

2.ARNULF RAINER (1960, Peter Kubelka, A+30)

3.UN VILLAGE FRANÇAIS (2009-2012, TV series, A+30)

4.TWIN SISTERS (1934, Zheng Zheng Qiu, China, A+30)

5.VIPER IN THE FIST (VIPÈRE AU POING) (2004, Philippe de Broca, A+30)

6.ADRIFT (LA DÉRIVE) (2011, Matthieu Salmon, A+30)

7.GIVE US FREEDOM (ROUGE PARADE) (2012, Elyes Baccar, Switzerland/Tunisia, documentary, A+30)

8.THE GUAVA HOUSE (2000, Nhat Minh Dang, Vietnam, A+30)

9.ON PROGRESS (อยู่ระหว่างการปรับปรุง) (2013, Abhichon Ratanabhayon, documentary, A+30)

10.ACHIEVING THE UNACHIEVABLE (2007, Jean Bergeron, Canada, documentary, A+30)

11.THE LOBSTER'S CRY (2012, Nicolas Guiot, A+30)

12.ITINÉRAIRES (2006, Christophe Otzenberger, A+25)

13.SLEEPING SICKNESS (2011, Ulrich Köhler, Germany, A+20)

14.LITTLE SENEGAL (2001, Rachid Bouchareb, A+20)

15.COLD-BLOODED MURDER (ASSASSINÉE) (2012, Thierry Binisti, A+20)

16.FOR DJAMILA (2011, Caroline Huppert, A+20)

17.CHINESE ZODIAC (2012, Jackie Chan, A+20)

18.KILLING THEM SOFTLY (2012, Andrew Dominik, A+15)

19.SOMEONE ELSE'S PLACE (2012, Naraid Kuapunyakoon, A+15)

20.VERY HAPPY ALEXANDRE (ALEXANDRE LE BIENHEUREUX) (1967, Yves Robert, A+15)

21.HARAM (2010, Benoît Martin, A+15)

22.BREATH OF A TRUMPET (2007-2011, Ole Ukena, video installation, A+15)

23.WALK!!! (2013, Nathan Homsup + Dhan Lhaow, documentary, A+10)

24.THE WOMAN KNIGHT OF MIRROR LAKE (2011, Herman Yau, A+10)

25.MATRU KI BIJLEE KA MANDOLA (2013, Vishal Bhardwaj, India, A+5)

26.DUBBA DUB DUB (2013, Yingsiwat Yamolyong + Paradorn Wesurai + Banpot Wutthipreecha + Pramote Sangsorn, A+)
--DUBBA DUB DUB: BUTCH CASSIDY AND SUNDANCE KID (A)
--DUBBA DUB DUB: THE SEVENTH SEAL (A+)
--THE FOURTH LAND OF HEAVEN (Pramote Sangsorn, A+30)
--THE MIRACULOUS POWER WHICH CAN NEVER BE CONCEALED OF NE WADDAO (กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ของเน วัดดาว) (A+30)

27.TOUSSAINT LOUVERTURE (2011, Philippe Niang, miniseries, A+)

28.LIFE OF PI (2012, Ang Lee, A+)

29.THE SYSTEM -- TO UNDERSTAND EVERYTHING MEANS TO FORGIVE EVERYTHING (2011, Marc Bauder, Germany, A+)

30.BIZARRE, BIZARRE (DRÔLE DE DRAME) (1937, Marcel Carné, A+)

31.CALL TO ARMS (1972, Shen Chiang, A+)

32.NAMIBIA, TIMELESS AFRICA (2011, Éric Bacos, documentary, A+)

33.2013 (2013, Apichatpong Weerasethakul, A+)

34.DOUCE MENACE (2011, Ludovic Habas + Yoan Sender + Margaux Vaxelaire + Mickaël Krebs + Florent Rousseau, animation, A+)

35.LA VÉRITÉ (2011, Patrice Kerbrat, A+)

36.POWER PLAY (LA DÉLOGEUSE) (2008, Julien Rouyet, Switzerland, A+)

37.TEXAS CHAINSAW 3D (2013, John Luessenhop, A+)

38.SWEET MOSQUITO (2012, Audrey Najar + Frédéric Perrot, A+)

39.ECONOMIES OF TOUCH (2013, Sheelah Murthy, video installation, A+)

40.VIDEO MEMORANDUM NO.11: STAR (2013, Wiwat Lertwiwatwongsa, A+)

41.LET ME IN (FAIS CROQUER) (2011, Yassine Qnia, A+)

42.RAPE (1966, Wim van der Linden, A+)

43.GANGSTER SQUAD (2013, Ruben Fleischer, A+/A)

44.REPERCUSSIONS (2008, Caroline Huppert, A)

45.LES DEUX MONDES (2007, Daniel Cohen, A-)

46.THE HITMAN (มือปืน ดอกไม้ คำสั่งฆ่า) (2007, Wichanon Somumjarn, A-)

47.JE RETOURNE CHEZ MA MÈRE (2011, Williams Crépin, A-)

48.DEAL (2011, Wilfried Méance, A-)

49.LILI DAVID (2012, Christophe Barraud, A-/B+)

50.IMPASSIVE LÉO (2010, Nicolas Apicella, A-/B+)

51.APRÈS TOI (2012, Wilfried Méance, B+)

52.THE STUNT (2013, Sathanapong Limwongthong, documentary, B-)
http://thaifilmjournal.blogspot.com/2013/01/review-stunt.html



POWER PLAY เป็นหนังสั้นความยาว 20 นาทีครับ หนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับสเตฟานี่ หญิงสาวที่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในอาคารสำนักงานและในบ้านของคนรวยคู่หนึ่ง สเตฟานี่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์กับชายหนุ่มคนนึงที่น่าจะเป็นแฟนเก่าของเธอ แต่ชายหนุ่มคนนี้ชอบพาเพื่อนผู้ชายเป็นกลุ่มมาสุมหัวกันที่อพาร์ทเมนท์ จนทำให้สเตฟานี่รู้สึกว่า "space" ของเธอเองในอพาร์ทเมนท์ถูกเบียดบังไปเป็นอย่างมาก เพราะผู้ชายที่มาสุมหัวกันที่อพาร์ทเมนท์ของเธอก็ดูเป็นพวกนักเลงๆ ที่ไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไหร่

ส่วนที่บ้านของคนรวยคู่นั้น สเตฟานี่มักจะได้พบกับซูซานน์ เจ้าของบ้านซึ่งทำงานเป็นทนายความและมีบุคลิกค่อนข้างเย่อหยิ่ง โดยก่อนที่ซูซานน์จะออกไปทำงาน เธอก็จะ assign งานต่างๆให้สเตฟานี่ทำ

พอ space ของสเตฟานี่ในอพาร์ทเมนท์ของเธอเองถูกเบียดบังมากขึ้นเรื่อยๆ สเตฟานี่ก็เริ่มสร้าง space ของเธอเองในคฤหาสน์ของคนรวย เธอเอาน้ำหอม เอาเครื่องสำอางของเจ้านายมาใช้ เธออาบน้ำในอ่างอาบน้ำหรูหราของเจ้านาย แต่โชคร้ายที่ซูซานน์กลับบ้านเร็วกว่ากำหนด ซูซานน์กลับมาพบความจริงที่ว่าสเตฟานี่เอาสมบัติส่วนตัวของซูซานน์มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ซูซานน์โกรธมาก แต่สิ่งที่เฮี้ยนมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือ สเตฟานี่ทำท่าทางไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น ซูซานน์จะด่าทอยังไง สเตฟานี่ก็ไม่ยี่หระ ในที่สุดซูซานน์ก็เลยยอมแพ้ เธอตัดสินใจออกเดินทางไปต่างประเทศ และปล่อยให้สเตฟานี่อยู่ในบ้านของเธอ

สเตฟานี่เอาชุดของซูซานน์มาสวม และนั่งเต๊ะท่าอยู่บนโซฟา สามีของซูซานน์กลับมาบ้าน เขามีบุคลิกลักษณะเหมือนคนรวยทั่วไป นั่นคือคงจะเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำ และคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภรรยาสักเท่าไหร่ เขาทักทาย "ซูซานน์" ที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่า ซูซานน์กับสเตฟานี่ต่างกันอย่างไร

หนังเรื่องนี้เหมาะจะฉายควบกับ GUILTY (2008, Laetitia Masson, A+30) อย่างมากๆครับ เพราะ GUILTY มีการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนรวยกับคนใช้ที่น่าสนใจมากๆเหมือนกัน โดย GUILTY มีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่ครัวในบ้านของคนรวยคู่หนึ่ง เธอแอบหลงรักชายหนุ่มเจ้าของบ้านหลังนี้ และต่อมาเธอก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ฆาตกรรม อัยการที่มาสืบคดีนี้พบว่าแม่ครัวคนนี้มีอาการโรคจิตวิปลาส แต่อาการโรคจิตนี่แหละที่ทำให้อัยการคนนี้ตกหลุมรักนางเอกจนทำให้เขากลายเป็นคนโรคจิตตามไปด้วย

ส่วนหนังอีกเรื่องของ Julien Rouyet ที่ชื่อ LAP OF LUXURY (2011, A+) ก็ดีมากๆครับ หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาววัยรุ่นฐานะดีคนนึงที่ไม่พอใจที่พ่อของเธอได้แฟนใหม่เป็นหญิงสาวสวย พ่อของเธอเริ่มพาแฟนใหม่มานอนค้างที่บ้านเป็นประจำ และนั่นก็เลยทำให้เกิดอะไรรุนแรงตามมา


ส่วน "กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ของเน วัดดาว" เป็นหนังที่ดีมากๆครับ หนังเรื่องนี้เอา found footage หนังไทยเก่าๆเกี่ยวกับการกู้ชาติ อย่างเช่น ศึกบางระจัน (1966) มาตัดต่อใหม่ ยำเข้าด้วยกัน และมีการเอาคลิปของแอล โอรสหรือเน วัดดาว ใส่เข้ามาด้วย โดยนอกจากการยำ footage ต่างๆเข้าด้วยกันแล้ว หนังเรื่องนี้ยังสร้างเนื้อเรื่องใหม่ขึ้นมาผ่านทางการพากย์เสียงตัวละคร โดยในหนังเรื่องนี้เราจะเห็นภาพที่เรามักจะเห็นกันทั่วไปในหนังกู้ชาติ แต่ตัวละครกลับคุยกันแบบเด็กแว๊นแทน ผลลัพธ์ที่ได้ก็เลยน่าสนใจมากๆ หนังเหมือนจะตั้งคำถามได้อย่างแสบสันต์ต่อการปลูกฝังค่านิยมความเชื่อเรื่องชาตินิยมในสังคมไทยได้ดี

"กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ของเน วัดดาว" เหมาะจะฉายควบกับ "ฝนห่าไฟ" ของ Taiki Sakpisit มากๆ เพราะเป็นการนำ found footage หนังไทยยุคเก่ามาใช้ได้น่าสนใจเหมือนกัน และอาจจะเหมาะฉายควบกับหนัง found footage ของ Viriyaporn Boonprasert และ Matthias Mueller ด้วย

เสียดายที่ไม่รู้ว่า ผู้กำกับ "กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ของเน วัดดาว" คือใคร


No comments: