THE WALL (2018, Boonsong Nakphoo, A+30)
เณรกระโดดกำแพง
1.ดูแล้วนึกถึง I AM A SEX ADDICT (2005, Caveh Zahedi) ในแง่ที่ว่า หนังทั้งสองเรื่องมันเป็นหนังแนวอัตชีวประวัติเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ทำเป็นสารคดีแบบทื่อๆตรงๆ และหนังทั้งสองเรื่องต่างก็เป็นหนังที่เหมือนเปิดเปลือยปมในใจผู้กำกับออกมาอย่างรุนแรง
เพียงแต่ว่าในกรณีของ THE WALL นั้น ผู้กำกับไม่ได้เป็น sex
addict แต่เป็น filmmaking addict
ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้มากๆในแง่ที่ว่า
มันเหมือนคว้านลึกลงไปในชีวิตจิตใจความทุกข์ความสุขของผู้กำกับออกมาอย่างหมดเปลือกน่ะ
เหมือนผู้กำกับเปลือยร่างกายให้เราเห็นทุกสัดส่วน
เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่การเปลือยกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
แต่เป็นการเปลือยส่วนลึกในใจของตนเอง และประวัติของตนเองออกมา
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายนัก
2.หนังอีกเรื่องที่นึกถึงตอนดูหนังเรื่องนี้ ก็คือ THE LONG DAY CLOSES (1992, Terence
Davies, UK) เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้สะท้อนชีวิตผู้กำกับตอนที่ยังเป็นเด็กเหมือนกัน
โดย THE LONG DAY CLOSES เล่าถึงชีวิตผู้กำกับขณะที่มีอายุ
11 ปี และเด็กชายในหนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็หลงใหลในภาพยนตร์อย่างรุนแรง
และมีการนำคลิปภาพยนตร์เก่าๆมาใช้ประกอบหนังทั้งสองเรื่องนี้เหมือนกันด้วย
หนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็เป็นการสะท้อน “ความทรงจำ”
ของผู้กำกับออกมาได้อย่างงดงามปนเศร้าสร้อย และอย่างทรงพลังมากๆ
3.ดูแล้วนึกถึงหนังสั้นนักศึกษากลุ่มที่เราชอบมากๆ กลุ่มนึง ซึ่งก็คือหนังกลุ่ม
“บำบัดปมในใจผู้กำกับ” เพราะนักศึกษาบางคนทำหนังจากเรื่องส่วนตัว
ประสบการณ์ชีวิตตนเอง โดยเฉพาะปมเศร้าปมทุกข์ที่ฝังลึกในใจตนเอง
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องปัญหาครอบครัว
และหนังกลุ่มนี้มีบางเรื่องที่ออกมาทรงพลังมากๆ ดีมากๆ
เพราะมันเหมือนผู้กำกับกรีดเลือดกรีดหนองในใจตนเองใส่เข้าไปในหนัง
และถ้าทำออกมาดีๆ มันจะก็ส่งทอดความเจ็บปวดเศร้าสร้อยมาถึงผู้ชมได้
แต่หนังกลุ่ม “ฟิล์มบำบัด” นี้เราไม่ค่อยได้เห็นในหนังโรงใหญ่หรือหนังยาวน่ะ
เพราะพอมันเป็นหนังโรงใหญ่หรือหนังยาว ผู้กำกับส่วนใหญ่ก็มักเลือกที่จะพยายามเข้าถึงผู้ชมส่วนมาก
และไม่กล้าใส่ตัวเองเข้าไปในหนังมากนัก
พอดู THE WALL เราก็เลยชอบมากๆตรงจุดนี้ด้วย
เพราะเรารู้สึกว่าความทุกข์ของตัวละครในหนัง
มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความทุกข์จริงๆของผู้กำกับหนังอินดี้ในไทยออกมาน่ะ และมันถ่ายทอดความฝันในวัยเด็กออกมาด้วย
ในแง่นึงเราก็เลยรู้สึกราวกับว่า THE WALL มีลักษณะคล้ายเป็นการบำบัดใจผู้กำกับ
หรือการระบายความในใจของผู้กำกับออกมา คล้ายๆกับหนังกลุ่มฟิล์มบำบัดของนักศึกษา
แต่สิ่งที่ดีมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือว่า
คุณบุญส่งมีชีวิตที่แตกต่างเป็นอย่างมากจากนักศึกษาทำหนังส่วนใหญ่น่ะ
เพราะฉะนั้นถึงแม้ THE WALL จะมี “พลังความทุกข์ความเศร้าของผู้กำกับ”
อัดแน่นอยู่เหมือนหนังกลุ่มฟิล์มบำบัดของนักศึกษา ที่มักจะเล่าเรื่อง แม่ตาย,
แม่ไม่รัก, พ่อตาย, พ่อไม่รัก, คิดถึงเพื่อนเก่า, คิดถึงแฟนเก่า, คิดถึงบ้านในชนบท
ฯลฯ หนังเรื่องนี้ก็เล่าเรื่องที่แตกต่างจากหนังนักศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะการที่ตัวละครเอกมีชีวิตที่ยากจนในวัยเด็ก
และต้องบวชเณร แต่หลงรักการแสดงและภาพยนตร์ตั้งแต่ยังเป็นเณร
มันเป็นชีวิตแบบที่เราไม่เคยพบในหนังไทยเรื่องอื่นๆ มาก่อนน่ะ
และมันก็เลยเป็นข้อได้เปรียบอย่างนึงของหนังเรื่องนี้
และทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร
4.แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้
คือการที่หนังเรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงชีวิตตัวเองตลอดเวลาขณะที่ดูหนังไปด้วย 555
คือเราเป็นคนที่ชอบคิดถึงอดีตของตัวเองเมื่อ 30 ปีก่อนเป็นอย่างมาก
สมัยที่เรายังเรียนมัธยมน่ะ คือพอเราอายุ 45 ปีแล้ว เรากลับพบว่า ช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต
มันคือช่วงปี 1988-1989 ตอนที่เรายังเรียนชั้นม.4-ม.5 น่ะ เพราะฉะนั้น
พอเรานั่งรถผ่านบริเวณโรงเรียนมัธยมของเรา
เราก็มักจะรู้สึกเหมือนเห็นตัวเรากับเพื่อนๆในปี 1988-1989
เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น มันเหมือนกับว่า ความทรงจำของเราที่มีต่อปี 1988-1989
มันฝังแน่นมาก มันหลอนมากๆ มันไม่ยอมปล่อยเราไป จนบางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่า เราจะ exorcise ความทรงจำที่ฝังแน่นนี้ออกมาผ่านทางการสร้างเป็นภาพยนตร์ดีมั้ย
เพื่อจะได้บันทึกความทรงจำที่ฝังแน่นนี้ ที่หลอกหลอนเราด้วยความหอมหวาน
ความฟุ้งฝัน ความ innocence ความมองโลกในแง่ดี
ความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองนี้ ออกไปจากตัวเรา
บางทีพอเราถ่ายทอดมันออกมาเป็นภาพยนตร์ หรือเป็นตัวอักษรแล้ว เราอาจจะ make
peace กับตัวเองได้มากขึ้น
เพราะพอเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านั้นมันได้หายไปหมดแล้ว
ความหอมหวานของวัยเยาว์ได้กลายเป็นความขมขื่น ความฟุ้งฝัน และจินตนาการที่ limiltess ได้กลายเป็นการยอมรับกับความจริงของชีวิต
ความ innocence ได้กลายเป็นความหยาบกร้าน
การมองโลกในแง่ดีได้กลายเป็นการมองโลกในแง่ร้าย และความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง
ได้กลายเป็นการยอมรับว่าตัวเองมีความสามารถที่จำกัดจำเขี่ยมากเพียงใด
ความฝันในวัยเยาว์ที่อยากมีผัวชาวสวีเดนหรือผัวชาวแคนาดาได้หมดไปจากใจเราแล้ว ตอนนี้ขอแค่ใช้ชีวิตได้ถึงตอนเย็นของแต่ละวัน
โดยที่หมอนรองกระดูกยังไม่เคลื่อน กูก็พอใจกับชีวิตแล้ว
การที่หนังของคุณบุญส่งเรื่องนี้ มันมีความหลอนจากวัยรุ่น
ความฝังใจกับชีวิตวัยรุ่นของตนเองเมื่อ 30 ปีก่อนอยู่ในหนัง
มันก็เลยส่งผลกระทบกับเราอย่างรุนแรงมาก
เพราะเราเองก็มีอาการคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
และมันเป็นสิ่งที่เราไม่พบในหนังนักศึกษาไทยด้วย เพราะนักศึกษามันยังอายุไม่ถึง
มันยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตที่ตัวเองเคยเป็นวัยรุ่นเมื่อ 30 ปีก่อน มันก็เลยไม่มีหนังสั้นหรือหนังยาวไทยที่มีลักษณะแบบนี้
หนังแบบนี้มันต้องอาศัยคนทำที่มันมีอายุถึงขั้นนึงจริงๆ มีประสบการณ์ชีวิตจริงๆ มี
memory ที่ฝังใจจริงๆ
มันถึงจะถ่ายทอดออกมาอย่างทรงพลังแบบนี้ได้
อย่างไรก็ดี THE WALL มันก็ต่างจากเราตรงที่ว่า ตัวละครเอกของ THE
WALL ในปัจจุบันยังคงมี “ความฝัน” อยู่ ส่วนตัวเราในปัจจุบันนั้น
ไม่มีความฝันใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
No comments:
Post a Comment