Tuesday, April 26, 2022

SLR

 

วันนี้แชทคุยกับเพื่อน ๆ สมัยประถม พบว่าตัวเองยังจำเหตุการณ์นึงในตอนป.6 ในปี 1984 หรือเมื่อ 38 ปีมาแล้วได้ นั่นก็คือจำได้ว่าตัวเองสอบได้คะแนน 93 เต็ม 100 ในวิชานึง คืองงมากที่ตัวเองยังจำเหตุการณ์นี้ได้ 555555 เพราะตอนนั้นเรา want ครูหนุ่มที่สอนวิชานั้นอย่างรุนแรงมาก ๆ เราก็เลยตั้งอกตั้งใจเรียนวิชานั้น ทุ่มสุดตัว และก็สอบได้คะแนน 93 เต็ม 100 ในวิชานั้น รู้สึกภาคภูมิใจสุด ๆ นี่สินะ พลังแห่งความเงี่ยน พลังแห่งความรัก ฉันตั้งใจเรียนเพราะฉันรักคุณครูอย่างสุดหัวใจ 55555

 

ไม่นึกว่าตัวเองจะยังจำคะแนนวิชานั้นได้อยู่หลังจากเวลาผ่านมานาน 38 ปีแล้ว บางทีที่เราจำได้อาจจะเป็นเพราะว่าคะแนนนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดระดับความเก่งของเรา แต่เป็นตัวชี้วัดระดับความรักและระดับความบ้าผู้ชายของเราในตอนป.6 55555

 ---------------

SLR กล้องติดตาย (2022, Lertsiri Boonmee + Wutthichai Wongnoppadol, A+)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

1. กลายเป็นว่า สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ “เหยื่อ” ของกล้องทั้ง 6 คน 55555 คือชอบมากกว่าตัวละครนำฝ่ายดี 3 คนและตัวร้ายของหนังน่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเหยื่อทั้ง 6 คนนี้มันดูมีอะไรน่าจดจำมากกว่าเหยื่อโง่ ๆ ในหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ

 

คือเรารู้สึกว่าในหนังสยองขวัญโดยทั่ว ๆ ไป หนังจะเน้นไปที่ตัวนำฝ่ายดีและฝ่ายเลวน่ะ แต่เรารู้สึกว่าตัวละครนำฝ่ายดีทั้ง 3 คนและตัวละครนำฝ่ายผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้มันดูไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ มากนัก คือพวกเขาดูหล่อมาก และดูมีเสน่ห์มาก แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เราจะพบตัวละครนำที่หล่อและมีเสน่ห์ในหนังโดยทั่ว ๆ ไป

 

ปมเรื่องรัก 3 เส้า เราก็ว่ามันธรรมดา แต่เราว่าหนังเรื่องนี้ handle ตรงนี้ได้ดีพอสมควรนะ เราชอบที่ปมรัก 3 เส้าไม่ได้ทำให้ตัวละครต้องผิดใจกันจนกลายเป็นคนเลวหรืออะไรทำนองนี้

 

ส่วนปมในใจของพระเอกที่ต้องดิ้นรนเพื่อไปเมืองนอก เราก็ว่ามันยังไม่ได้ดูมีความรุนแรงอะไรมากนักจนถึงขั้นที่มัน “พิเศษ” สำหรับเราน่ะ

 

ส่วนตัวผู้ร้ายที่ดูเหมือนพวกบูชาปีศาจ ลูกสมุนซาตานนั้น เราว่าก็ดู “ใช้ได้” คือจริง ๆ แล้วเราชอบการแสดงของคุณนพพันธ์ บุญใหญ่ในบทนี้มาก ๆ เราว่าเขาแสดงได้ถูกใจเรามาก ๆ แต่ตัวบทมันไม่เอื้อให้ตัวละครตัวนี้มีอะไรที่พิเศษมากนักน่ะ เหมือนเราสามารถพบตัวละครแบบนี้ได้ในหนังสยองขวัญฝรั่งโดยทั่ว ๆ ไปอย่างเช่น HEREDITARY (2018, Ari Aster) อยู่แล้ว

 

แต่สิ่งที่ประทับใจเราจริง ๆ คือการสร้าง characters ให้กับเหยื่อทั้ง 6 คนน่ะ เพราะว่าในหนังสยองขวัญโดยทั่วไป เหยื่อมักจะดู bland มาก ๆ  มักจะเป็นหนุ่มสาววัยรุ่นนิสัยไม่ดี โง่ ๆ หรือหนุ่มหล่อสาวสวยโง่ ๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรน่าจดจำ ทำนองนี้ หรือไม่ก็เป็นคนเลวที่สมควรถูกผีมาล้างแค้น อะไรทำนองนี้

 

แต่เราว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เหยื่อทั้ง 6 คนนี้น่าจดจำสุด ๆ สำหรับเรา เราก็เลยประทับใจมาก ๆ ทั้งเหยื่อคนแรกที่เป็นนักกีฬาพิการ, เหยื่อคนที่ 2 กับ 3 ที่เหมือนเป็นผู้ประกอบการ Gen X เจ้าของร้านผัดไทย และเหยื่อคนที่ 4,5,6 ที่เป็นกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ เจ้าของกิจการสตาร์ทอัพ ที่แต่ละคนก็มีความสามารถแตกต่างกันไป

 

คือเหมือนหนังทำให้เราเชื่อว่า เหยื่อทั้ง 6 คนนี้มีชีวิตมาก่อนหน้านี้แล้ว เหมือนพวกเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อให้ถูกฆ่าตายอย่างโง่ ๆ แบบในหนังสยองขวัญทั่วไปน่ะ โดยเฉพาะเหยื่อคนแรกนี่เห็นชัดมาก ๆ ว่าเขามีอะไรน่าสนใจในตัวเยอะมาก ๆ ทั้งครอบครัวของเขา, ความพิการของเขา, ความเป็นนักกีฬาของเขา และเหยื่อคนที่ 4-5-6 ก็ดูเหมือนเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นราวกับว่าจะโดน spin off ไปเป็นหนังแนว APP WAR แทนที่พวกเขาจะต้องจบชีวิตลงภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที 5555

 

เราก็เลยชอบการสร้างตัวละคร “เหยื่อ” ในหนังเรื่องนี้อย่างมาก ๆ ชอบมาก ๆ ด้วยที่เหยื่อทั้ง 3 กลุ่มดูไม่เหมือนกันเลย ทั้ง “ผู้ด้อยโอกาส”, “เจ้าของกิจการรุ่น GEN X” และ “หนุ่มสาวรุ่นใหม่เจ้าของกิจการสตาร์ทอัพที่กำลังมาแรง” แต่ในที่สุดคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ต่างก็ต้องดับสิ้นลงด้วยน้ำมือของคนอื่นเหมือน ๆ กัน

 

2. เห็นด้วยกับเพื่อนมาก ๆ ที่บอกว่า ตอนแรกนึกว่าจะเป็นหนังการเมือง เพราะสภาพศพที่ผูกคอตายกับคำว่า 6 ต.ค.ในหนัง มันทำให้นึกถึงเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 มาก ๆ แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนหนังจะไม่ได้แตะประเด็นการเมืองอะไรที่ชัดเจน

 

3.ชอบตัวละครคุณแม่ของพระเอกที่คุณดวงใจ หิรัญศรีเล่นมาก ๆ ด้วย กับชอบตัวละครน้องเค้ก สาวร่าน 55555 อยากแต่งเรื่องใหม่ให้กล้องถ่ายรูปคุณแม่กับน้องเค้ก แต่ทั้งสองคนนี้ไม่เป็นอะไรเลย เพราะจริง ๆ แล้วทั้งสองคนนี้มีอิทธิฤทธิ์อะไรบางอย่างในตัวที่กล้องก็ยังสู้พวกเธอไม่ได้ 55555

 

4.ชอบตอนที่พระเอกพูดจาแสดงความเกลียดชังกลุ่มเจ้าของกิจการ startup ด้วย เราว่าตรงนั้นมันทำให้ตัวละครพระเอกดูน่าสนใจขึ้นมาชั่ววูบนึง ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูมีอะไรที่น่าสนใจในตัวขึ้นมาบ้าง แทนที่จะเป็นเพียงแค่หนุ่มหล่อนิสัยดี

 

ตอนที่พระเอกคิดจะใช้กล้องฆ่าลุงของตัวเอง ก็เป็นจุดที่น่าสนใจเช่นกัน

 

5. จุดที่เราผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ ก็คือรู้สึกว่าปัญหาบางอย่างดูแก้ไขง่ายไปน่ะ โดยเฉพาะการได้ของวิเศษสองอย่างมาช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดายมาก และตัวเจ้าของร้านขายของวิเศษ ก็ดูเป็นคนธรรมดามาก ๆ ดูไม่ขลังเลย 55555 คือจริง ๆ มันก็ได้อารมณ์ขำ ๆ ตรงนี้นะ แต่ในแง่นึงเราก็อยากได้อะไรที่มันขลัง ๆ มากกว่าขำ ๆ

 

6.ตอนดูหนังเรื่องนี้เราจะแอบเปรียบเทียบกับ “พี่นาค 3” ตลอดเวลา เพราะมันเป็นหนังเกี่ยวกับคำสาปอาถรรพณ์เหมือน ๆ กัน แต่มันมีจุดที่แตกต่างกันมากหลายจุด และเราว่าจริง ๆ แล้วเราชอบพี่นาค 3 มากกว่า เพราะมันให้อารมณ์เป็นเหมือนการไปผจญภัยบ้า ๆ บอ ๆ กับแก๊งเพื่อนกะเทย 55555

 

จุดที่นึกเปรียบเทียบกัน

 

6.1 พี่นาค 3 ดูเป็นตำนานไทย ๆ มาก ๆ ส่วน SLR ดูเป็นฝรั่งมาก ๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เก๋ดี ดูแล้วนึกถึงทั้ง OCCULUS (2013, Mike Flanagan) และ SINISTER (2012, Scott Derrickson) ที่พูดถึงวัตถุต้องสาปของฝรั่งเหมือนกัน แต่เราว่า OCCULUS กับ SINISTER มันดู “ขลัง” กว่าเยอะน่ะ โดยเฉพาะ SINISTER นี่น่ากลัวสุดขีด แต่ SLR นี่มันดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่สำหรับเรา

 

6.2 จุดที่เราชอบ SLR มากกว่า “พี่นาค 3” ก็คือเรื่องการสร้างตัวละครนี่แหละ เพราะเราว่า “พี่นาค 3” สร้างตัวละครทั้งนำทั้งประกอบได้ไม่น่าสนใจเลย แต่ SLR นี่อย่างน้อยก็สร้างตัวละครประกอบได้น่าสนใจสุด ๆ สำหรับเรา

 

6.3 เราว่าการแก้ไขปัญหาใน SLR มันดูง่ายเกินไปสำหรับเรา เราก็เลยชอบจุดนี้ใน “พี่นาค 3” มากกว่า เหมือนตัวละครในพี่นาค 3 ต้องดั้นด้นไปผจญภัยในจุดต่าง ๆ ต้องไปเจอกับพระธุดงค์ เจอกับกลุ่มชาวบ้านลึกลับ กว่าจะแก้ไขปัญหาได้น่ะ ในขณะที่การหาของวิเศษใน SLR มันดูง่ายเกินไปมาก ๆ

 

6.4 แต่เราก็ชอบที่เมื่อถึงที่สุดแล้ว การแก้ไขปัญหาใน SLR ทำได้ด้วย “ความพยายามต่อสู้ของกลุ่มตัวละคร” เองน่ะ แต่การแก้ไขปัญหาใน “พี่นาค 3” ต้องพึ่ง “ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ที่แท้จริง” ซึ่งก็คือ “พญานาค” มันเหมือนกับว่าตัวละครใน “พี่นาค 3” จะแก้ปัญหาได้ก็ต้องพึ่ง “เบื้องสูง” แต่ตัวละครใน SLR แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

No comments: