Monday, July 04, 2022

WHITE BUILDING (2021, Kavich Neang, Cambodia, A+30)

 

WHITE BUILDING (2021, Kavich Neang, Cambodia, A+30)

 

อันนี้ก็เน้นพูดถึงชีวิตของตัวดิฉันเอง มากกว่าพูดถึงหนังนะคะ 55555

 

Spoilers alert

--

--

--

--

--

1.รู้สึกจูนติดกับหนังอย่างรุนแรง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม ซึ่งแตกต่างจากตอนที่ดู DIAMOND ISLAND (2016, Davy Chou, A+30) ที่เหมือนเป็นหนังที่เรา "ชื่นชม" แต่ไม่ได้อินเป็นการส่วนตัว

 

2.สาเหตุสำคัญที่อินกับหนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองมั้ง อย่างแรกเลยก็คือการที่หนังเหมือนแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกคือ "ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากเพื่อนสนิท" ช่วงที่สองคือ "ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่" และช่วงที่สามคือ "ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากพ่อแม่" (เพราะหลังจากนั้นพระเอกก็คงย้ายไปอยู่ในเมือง แล้วทิ้งพ่อแม่ไว้ที่ชนบทมั้ง ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)

 

ชอบที่หนังมันนำเสนอทั้งสามอย่างน่ะ ไม่ได้แค่อย่างใดอย่างนึง มันเหมือนชีวิตมนุษย์อย่างดิฉันที่ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสูญเสียสิ่งที่รักมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ทำใจยอมรับ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักไปทีละอย่าง ๆ และพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวัน

 

การพลัดพรากจากเพื่อนที่รัก เพราะเขาเดินทางไปต่างประเทศนี่เป็นอะไรที่เราอินมาก ๆ เลยนะ เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเราก็คือการได้ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทตอนยังเป็นวัยรุ่นนี่แหละ ก่อนที่เพื่อน ๆ บางคนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ไป

 

ส่วนการย้ายออกจากถิ่นที่อยู่เดิมและการย้ายออกมาอยู่ตามลำพังนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเหมือนกัน แต่ในกรณีของเรานั้นมันเป็นสิ่งที่เรา “เลือกเอง” ไม่ได้เป็นสิ่งที่ “โชคชะตาบีบบังคับ” แบบที่ Samnang ต้องเผชิญแบบในหนังเรื่องนี้

 

3.ช่วงที่สองของหนังที่เป็นช่วงที่ focus ไปยังปัญหาเรื่องอาคารที่พักอาศัยเราก็ชอบมาก ๆ เพราะถึงแม้เราไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องแบบนี้ แต่เรารู้สึกว่าหนังมันถ่ายอาคารได้อย่าง “มีชีวิต” มาก ๆ เหมือนอาคารเป็นตัวละครหลักสำคัญอีกตัวนึงเลย นึกว่าต้องปะทะกับหนังเรื่อง HOME – บ้าน (2020, Poom Thosamosorn) ที่ถ่ายอาคารที่พักเก่าได้อย่างมีจิตวิญญาณมาก ๆ เหมือนกัน หรือปะทะกับหนังเรื่อง IT WAS HOTEL CAMBRIDGE (2016, Eliane Caffe, Brazil) ที่พูดถึงปัญหาเรื่องอาคารเก่าและผู้เช่าพักที่ไม่อยากย้ายออกเหมือนกัน

 

4.ถึงแม้พระเอกจะเผชิญกับการพลัดพรากอะไรต่าง ๆ แบบที่เราเขียนไป แต่เราชอบสุด ๆ ที่หนังมันเหมือนนำเสนอกิจวัตรประจำวันของตัวละครไปเรื่อย ๆ ด้วยในเวลาเดียวกันน่ะ ทั้งกิจวัตรการซ้อมเต้นรำ, ความพยายามหาเงินจากการเต้นรำ, การขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ, รถมอเตอร์ไซค์เสีย, การตากปลาบนดาดฟ้า (ไม่แน่ใจว่ามันคือปลาสลิดหรือเปล่า) , การทำงานในตลาด, ปัญหาน้ำประปา, ปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาล, การดูหนุ่ม ๆ เล่นกีฬา (เราว่ามันน่าสนใจดีที่พระเอกไม่ได้ลงไปเล่นกีฬาด้วย แต่แค่ดูหนุ่ม ๆ คนอื่น ๆ เล่นกัน อาจจะเป็นเพราะเขายังปรับตัวเข้ากับคนท้องถิ่นนั้นไม่ได้ หรือเพราะอะไร เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน)

 

เหมือนเราจะชอบหนังที่สอดแทรกชีวิตประจำวันแบบนี้เข้ามาน่ะ มากกว่าหนังที่เน้นพูดแต่ conflict หลักในชีวิตตัวละครเพียงอย่างเดียว แล้วละเลยแง่มุมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของตัวละครไปจนหมด

 

5.เรื่องโรคเบาหวานเท้าเน่าของพ่อพระเอกนี่น่ากลัวมาก ๆ มันสะท้อนการแก้ปัญหาชีวิตแบบผิดวิธีได้อย่างน่าคิดมาก  ๆ ด้วย

 

6.ตอนแรกไม่นึกว่าเราจะอินกับหนังที่เป็นชีวิต “ผู้ชาย” แบบนี้ แต่เหมือนพระเอกของหนังเรื่องนี้แทบไม่มีเรื่อง romantic เข้ามาในชีวิตด้วยแหละ และเหมือนเขาไม่ใช่ชายหนุ่ม macho ทำตัวเป็นฮีโร่อะไรแบบนั้น แต่เป็นแค่เป็นคนธรรมดาที่พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็เลยอินมาก ๆ โดยไม่ได้คาดคิด

 

7.แน่นอนว่าดูแล้วนึกถึงพวกพระเอกในหนังของ Wichanon Somumjarn ที่เป็นเรื่องของผู้ชายธรรมดาที่พยายามดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

8.Samnang ทำให้เราคิดถึงตัวเองในสองจุดหลัก ๆ ด้วยแหละ

 

8.1 จุดแรกก็คือ การที่เขาจินตนาการเห็นภาพของเขากับเพื่อน ๆ เต้นรำในงานประกวด

 

8.2 จุดที่สองก็คือช่วงที่ Samnang ย้ายไปอยู่ในชนบทแล้ว แต่เหมือนเขายังคงดูคลิปวิดีโอเก่าที่บันทึกภาพอาคารไว้ก่อนถูกทุบทิ้งน่ะ เหมือนใจเขายังคงผูกพันกับ “อาคารที่หายไปแล้ว” อยู่

 

คือดูแล้วแอบนึกถึงตัวเราเอง เพราะจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังคงเปิดดูวิดีโอเทปที่บันทึกภาพ “เรากับเพื่อน ๆ เต้นรำกันที่บ้านเพื่อนในช่วงต้นทศวรรษ 1990” อยู่เลย 55555 แต่บ้านเพื่อนหลังนั้นโดนทุบทิ้งไปนานราว 20 กว่าปีแล้ว คือเหมือนใจเราก็ยังคงผูกพันกับช่วงเวลาที่ได้เต้นรำกับเพื่อน ๆ เมื่อ 30 ปีก่อน และผูกพันกับบ้านของเพื่อนที่โดนทุบทิ้งไปแล้ว แต่พวกเราเคยถ่ายวิดีโอเก็บความทรงจำอันงดงามที่บ้านหลังนั้นไว้ ก่อนที่บ้านหลังนั้นจะโดนทุบทิ้ง

 

“ช่วงเวลาที่ได้เคยมีความสุขแบบนั้นกับเพื่อน ๆ” มันเป็นอดีตไปแล้ว มันไม่มีทางหวนกลับมาอีก เราทำได้เพียงแค่จินตนาการถึงมันหรือคิดถึงมันเท่านั้น อาคารบางอาคารที่เคยเป็นสถานที่แห่งความสุขของเรา มันก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว มันไม่ได้ดำรงอยู่อีก เราทำได้ก็เพียงแค่คิดถึงมัน หรือดูคลิปวิดีโอที่เคยบันทึกภาพมันไว้เท่านั้น

 

มันเหมือน Samnang มีปมในใจบางอย่างกับ “ความสุขในอดีต” ที่ไม่มีวันหวนคืนมาได้น่ะ เราก็เลยเหมือนอินกับจุดนี้อย่างรุนแรง

 

9.สรุปว่าชอบหนังอย่างสุด ๆ ในแบบที่อินเป็นการส่วนตัว ดูแล้วนึกถึงชีวิตตัวเอง ที่เหมือนเคยมีความสุขที่สุดในชีวิตตอนได้อยู่กับเพื่อน ๆ ได้เต้นรำที่บ้านเพื่อนหรือที่ Rome Club ก่อนที่เพื่อน ๆ บางคนจะย้ายไปเรียนต่อเมืองนอก หรือแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง ส่วนเราก็ใช้ชีวิตอยู่ในไทยต่อไป เผชิญกับมรสุมชีวิตต่าง ๆ ที่พัดพาเข้ามาในชีวิตของเราเอง เพียงแต่มรสุมชีวิตที่เราเผชิญอาจจะแตกต่างจากมรสุมชีวิตของพระเอกในส่วนที่ 2 กับ 3 ของหนัง เพราะมรสุมชีวิตของเราจะเป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพ, การทะเลาะกับเพื่อน, การเงิน และเคราะห์กรรมอะไรต่าง ๆ อย่างไรก็ดี มันเหมือนหนังเรื่องนี้มันมีมุมมองบางอย่างต่อ “ชีวิตมนุษย์” ในแบบที่บาดลึกเข้าไปในใจเรามากอย่างบอกไม่ถูกน่ะ ก็เลยทำให้ซึ้งกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ

No comments: