Friday, October 21, 2005

ANDAMAN (SOMPOT CHIDGASORNPONGSE, A+)

--ยังไม่ได้ดู TENEBRE เลยค่ะ แต่เห็นรูปของน้อง lovejuice แล้วนึกถึงหนังแนว NUNSPLOITATION หรือหนังเกี่ยวกับแม่ชีที่อยากดูอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งรวมถึงเรื่อง

1.DEMONIA (1988, LUCIO FULCI)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B00005B6LA/qid=1129834759/sr=1-16/ref=sr_1_16/102-4382866-8000156?v=glance&s=dvd

http://images.amazon.com/images/P/B00005B6LA.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


2.ALUCARDA (1975, JUAN LOPEZ MOCTEZUMA)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B0002V7SLQ/qid=1129835414/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/102-4382866-8000156?v=glance&s=dvd&n=507846

http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0002V7SLQ.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


3.SEXORCISTA SATANICO PANDEMONIUM (1973, GILBERTO MARTINEZ SOLARES)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B0009ETD1E/ref=pd_sim_dv_3/102-4382866-8000156?v=glance&s=dvd&n=507846

http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0009ETD1E.01._SCLZZZZZZZ_.jpg


4.SACRILEGE (1986, LUCIANO ODORISIO)
http://www.imdb.com/title/tt0091540/

http://images.amazon.com/images/P/B0009PEBO2.01-A3MSNV409L7FTL.LZZZZZZZ.jpg


5.FLAVIA THE HERETIC (1977, GIANFRANCO MINGOZZI)

http://www.senseofview.de/readfile.php?type=s&name=flavia/big/flavia_047.jpg


6.MOTHER JOAN OF THE ANGELS (1961, JERZY KAWALEROWICZ)
http://www.sensesofcinema.com/contents/cteq/03/26/mother_joan.html

http://images-eu.amazon.com/images/P/B000A16HUG.01.LZZZZZZZ.jpg

Jury Prize winner 1961 Cannes Film Festival

"Mother Joan of the Angels is a film against dogma …… It is a love story about a man and a woman who wear church clothes, and whose religion does not allow them to love each other…… The devils that possess these characters are the external manifestations of their repressed love." - Jerzy Kawalerowicz


รายชื่อหนังกลุ่ม NUNSPLOITATION
http://www.videoscreams.com/NunsploitationIndex.htm



ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND

ถ้าหากพูดถึงจินตหรา สุขพัฒน์แล้วล่ะก็ ดิฉันชอบเธอในละครทีวีเรื่อง “ผ้าทอง” มากที่สุดค่ะ ก่อนหน้านั้นดิฉันรู้สึกเฉยๆกับเธอ รู้สึกว่าเธอมีความสามารถทางการแสดง แต่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับตัวละครที่เธอเล่น จนกระทั่งมาถึงเรื่อง “ผ้าทอง” นี่แหละ ที่รู้สึกว่าอยากกราบเธอมากๆ รู้สึกว่าบทที่เธอได้ในเรื่องนี้เป็นบทที่ยากมาก เพราะเป็นบทผู้หญิงที่ “แข็ง” และถ้าเธอเล่นไม่ดี ละครเรื่องนี้จะออกมาน่าเบื่อทันที แต่ปรากฏว่าเธอเล่นได้ดีมากๆ (อย่างไรก็ดี ดิฉันได้ดูละครเรื่องนี้แค่ไม่กี่ตอนเองค่ะ)

ปกติตอนเด็กๆไม่ค่อยได้ดูหนังโรงของไทยค่ะ แต่ได้ดูละครบ้างเล็กน้อย ดาราหญิงของไทยที่ดิฉันชอบการแสดงมากๆก็รวมถึง

1.ชไมพร จตุรภุช จาก “ทายาทอสูร”

2.สินจัย หงษ์ไทย จาก “ล่า”

3.จริยา แอนโฟเน่ จาก “ซอยปรารถนา 2500”

4.จารุณี สุขสวัสดิ์ จาก “คือหัตถาครองพิภพ”

5.จันทร์จิรา จูแจ้ง จาก “ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท” (2537)
http://www.thaitv3.com/drama_old46/history/2537.html

6.นาถยา แดงบุหงา จาก “ทางสายทาส” (2532)
http://www.thaitv3.com/drama_old46/history/2532.html

7.มยุรา ธนะบุตร จาก “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด”

8.ใหม่ เจริญปุระ จาก “คนเริงเมือง” (1988)

9.อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ จาก “ขบวนการคนใช้”

10.ซอนย่า คูลลิ่ง จาก “มายา”


--ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่อง “เวลาที่ล่วงเลย” ที่คุณปุ่นพูดถึง คือเรื่องเดียวกับ “วันที่ยาวนาน” ของอุรุพงศ์ รักษาสัตย์หรือเปล่า เพราะได้ดูเรื่อง “วันที่ยาวนาน”(A+) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงชราแล้วชอบมากๆๆๆๆ



ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NOT ON THE LIPS

--อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบใน NOT ON THE LIPS และอาจรวมไปถึงเรื่อง MELO ของ ALAIN RESNAIS ก็คือการที่หนังทั้งสองเรื่องนี้ขับเน้นความเป็น “เมโลดราม่า” หรือความ “น้ำเน่า เน่าจนเกินจริง เน่าจนห่างไกลจากชีวิตประจำวันอย่างสุดๆ” ออกมาอย่างเด่นชัด หนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นหนังน้ำเน่าที่เหมือนกับต้องการย้ำผู้ชมตลอดเวลาว่าคุณกำลังดูหนังน้ำเน่าหรือละครเวทีน้ำเน่าอยู่นะ

อีกจุดนึงที่น่าสนใจใน NOT ON THE LIPS ก็คือคู่รักคู่เอกของเรื่อง ซึ่งก็คือ SABINE AZEMA กับ PIERRE ARDITI ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่เลย บทของ SABINE AZEMA ในเรื่องนี้ ถ้าหากพลิกนิดหน่อย ก็จะกลายเป็นบทนางอิจฉาจอมปลิ้นปล้อนได้สบายมาก ส่วนบทของ PIERRE ARDITI นั้น เป็นบทผู้ร้ายอย่างแน่นอน เพราะนอกจากเขาจะเหยียดเพศอย่างสุดๆแล้ว เขายังพูดจาเหยียดเชื้อชาติอย่างสุดๆไม่ต่างอะไรจากนาซี แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ดิฉันไม่แน่ใจว่าหนังปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้ร้าย หรือปฏิบัติต่อเขาในฐานะพระเอกคนหนึ่งกันแน่

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากใน NOT ON THE LIPS ก็คือซับไตเติลภาษาอังกฤษค่ะ ดิฉันไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส ก็เลยไม่รู้ว่าเขาแปลถูกหรือเปล่า แต่สังเกตว่าในช่วงที่ตัวละครร้องเพลงนั้น ซับไตเติลภาษาอังกฤษแปลแต่ละประโยคที่ร้องให้ออกมาคล้องจองกันในภาษาอังกฤษ มีสัมผัสสระเรียงต่อกันไปทุกประโยค ในขณะที่ภาษาฝรั่งเศสที่ได้ยิน ก็ใช้คำที่คล้องจองกันในภาษาฝรั่งเศสเหมือนกัน แล้วหนังเรื่องนี้ก็ร้องเพลงกันทั้งเรื่องอีกด้วย ก็เลยรู้สึกอยากกราบคนแปลซับไตเติลหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ที่สามารถแปล “บทเพลงภาษาฝรั่งเศสที่มีคำคล้องจองกัน” ให้ออกมาเป็น “บทเพลงภาษาอังกฤษที่มีคำคล้องจองกัน” ได้ตลอดทั้งเรื่องอย่างนี้


ตอบน้อง merveillesxx

--ตอนนี้ไม่ใช้บันไดเลื่อนที่ SIAM CENTER แล้วค่ะ ใช้วิธีเดินขึ้นเดินลงบันไดธรรมดาที่อยู่ด้านข้างของห้างไปเลย เพราะวันนี้จะหาบันไดเลื่อนจากชั้น 3 ลงไปชั้น 2 แต่ก็หาไม่เจอเหมือนกัน

--ขอบคุณน้อง merveillesxx มากค่ะที่อธิบายฉากเปิดเรื่อง “4” ให้ฟังตอนที่เจอกันวันนี้ จริงๆแล้ววันพุธที่ไปดูเรื่อง “4” ไม่ทัน เป็นเพราะว่าพอดูหนังออสเตรเลียของ STEFAN POPESCU ที่หอศิลป์แห่งชาติเสร็จตอนเที่ยง ดิฉันก็ไปแวะซื้อหนังสือที่ร้าน SHAMAN ถ.ข้าวสารแป๊บนึง ได้หนังสือ MALLE ON MALLE มา (แต่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้อ่าน) หลังจากนั้นก็เรียกแท็กซี่ กะว่ายังไงก็น่าจะมาถึงโรงหนังทันบ่ายโมงแน่ๆ บอกแท็กซี่ว่าจะไป “สยามดิสคัฟเวอรี” แท็กซี่ก็แล่นไปเรื่อยๆๆ แล่นไปวนๆตรงๆแถวๆบางลำภูอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็หันมาถามดิฉันว่า “ไปดิโอลด์สยามใช่มั้ย” ดิฉันก็เลยร้องกรี๊ด บอกว่าไม่ใช่

เจ็บใจมากเลยค่ะ ถ้าหากแท็กซี่ไม่เข้าใจผิด ดิฉันก็น่าจะมาถึงโรงหนังทันเวลาไปแล้ว ก็เลยพลาดฉากเปิดเรื่อง “4” ไปเลย

--อ๋อ นั่นคือโฆษณาโกคาร์ทที่ RCA หรือคะ ดิฉันจำได้ว่าเห็นโฆษณารถแข่งอะไรสักอย่างที่มีพีทเล่น แต่ไม่รู้ว่ามันคือโฆษณาอะไร เพราะไม่ใส่ใจจะจำ โฆษณามันดูอนาถาจริงๆนั่นแหละ

--ดีที่โฆษณาของแต่ละโรงไม่ซ้ำกันมากนัก เพราะจำได้ว่าตอนไปดูหนังเทศกาลปีแรกๆที่เอ็มโพเรียม โฆษณามันจะซ้ำกันทุกรอบ แล้วดิฉันก็ดูประมาณ 40 เรื่อง ก็เลยต้องนั่งดูโฆษณาเดิมๆซ้ำกัน 40 รอบ รู้สึกเอียนมาก โดยเฉพาะโฆษณาหนังเรื่อง REMEMBER THE TITANS (2000) ที่นำแสดงโดย DENZEL WASHINGTON ได้ดูโฆษณานี้ซ้ำกันกว่า 40 รอบ แต่จนถึงป่านนี้ยังไม่ได้ดูตัวหนังเรื่องนี้เสียที

หลายคนในตอนนั้นก็เอียนกับการดูโฆษณาซ้ำๆกันทุกรอบเหมือนกัน จำได้ว่ามีนักดูหนังขาประจำหลายคนยืนออกันอยู่หน้าประตูโรงหนังในเอ็มโพเรียม โดยไม่ยอมเข้าโรง จะเข้าโรงก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงว่าโฆษณากับเพลงสรรเสริญจบแล้ว ถึงค่อยเดินเข้าโรงไป เพราะพวกเขาทนดูโฆษณาซ้ำๆไม่ไหวอีกต่อไป

แต่ดิฉันไม่ได้ทำแบบพวกเขาค่ะ เพราะกลัวชุลมุนกันตอนเพลงสรรเสริญจบแล้ว ก็เลยเข้าโรงไปก่อนเลย แต่ช่วงที่มีโฆษณาดิฉันก็หลับตาหรือไม่ก็ไม่ใส่ใจกับมัน

รู้สึกดีที่โฆษณาในเทศกาลปีนี้มีไม่เยอะและไม่ยาวมากนัก



หนังที่ได้ดูในวันนี้ (มีแต่หนังที่ชอบสุดๆทั้งนั้นเลย)

1.ANDAMAN (2005, SOMPOT CHIDGASORNPONGSE, A+)

ดูแล้วเศร้ามาก รู้สึกเศร้าตั้งแต่เห็นใบหน้าคนบนเรือแล้ว ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทำสีหน้าอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่เราก็จินตนาการความรู้สึกของคนบนเรือขึ้นมาเองแล้ว และการที่เราไม่ได้ยินเสียงคนพูด ได้ยินแต่เสียงลมแรง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น โดยไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร

2.BATTLE IN HEAVEN (2005, CARLOS REYGADAS, A+)

หนังทรงพลังมากๆ แต่ก็ชอบเรื่อง “4” มากกว่าเรื่องนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะการที่ “4” ไม่มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนในช่วงท้ายๆ ก็เลยทำให้รู้สึกว่ามันมีมนตร์เสน่ห์กว่า


3.I AM A S-E-X ADDICT (2005, CAVEH ZAHEDI, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0428649/

รู้สึกชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆในแบบที่ตรงข้ามกับความชอบเรื่อง “4” และ BATTLE IN HEAVEN เพราะรู้สึกว่าทั้ง “4” และ BATTLE IN HEAVEN ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่, หลุดโลก, งุนงง, ทรงพลัง แต่ I AM A S-E-X ADDICT เป็นหนังที่ดูเล็ก, ใกล้ตัว, เป็นจริง, ติดดิน และดูเหมือนจะมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของดิฉันอย่างมากๆ

ขณะที่ได้ดู I AM A S-E-X ADDICT ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการรักษาให้หายจากความอยากได้นู่นได้นี่ไปด้วย ก่อนดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันยังคิดๆอยู่ว่า “ทำยังไงเราถึงจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง เราจะทำยังไงดี” แต่ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันก็ตระหนักว่า “แล้วเราจะอยากได้มันมาทำไมกันล่ะ เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปไขว่คว้าหามัน เราก็มีความสุขเพียงพออยู่แล้วไม่ใช่หรือ เราจะต้องเดือดร้อนดิ้นรนทำให้ตัวเองลำบากโดยไม่จำเป็นไปทำไม ดูอย่างพระเอกหนังเรื่องนี้สิ พยายามสนองความอยากของตัวเอง แล้วเป็นยังไงล่ะ เขาได้พบความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า หรือมีแต่ยิ่งทุกข์ใจ ยิ่งอยากๆๆๆๆมากขึ้นเรื่อยๆ”

I AM A S-E-X ADDICT เป็นหนึ่งในหนังที่มีผลกระทบต่อชีวิตดิฉันค่ะ หนังเรื่องนี้ทำให้ดิฉันเลิกคิดที่จะไขว่คว้าหาความสุขบางอย่างที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต และเมื่อดิฉันเลิกคิดที่จะหาความสุขบางอย่าง “ความทุกข์” ในใจก็หายไปส่วนนึงในทันที


4.AFTER SHOCK (2005, THUNSKA PANSITTIVORAKUL, A+)

ตอนช่วงประมาณ 10-15 วินาทีแรก ยังเดาไม่ออกว่านี่เป็นหนังของใคร แต่พอมีภาพผู้ชายขึ้นมาปุ๊บ ก็พอเดาชื่อผู้กำกับได้ในทันที รู้สึกว่าการถ่ายภาพผู้ชายให้ได้อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ ต้องเป็นผู้กำกับคนนี้เท่านั้น โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ โฮะ

ดูแล้วรู้สึก SHOCK ค่ะ อยากให้หนังเรื่องนี้มีเวอร์ชันยาวๆแบบ UNCUT VERSION หรือ DIRECTOR’S CUT

ชอบการใช้ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มาก มันมีผลต่ออารมณ์อย่างมาก


5.TSU (2005, PRAMOTE SANGSORN, A+)

6.JOAN OF ARC OF MONGOLIA (1989, ULRIKE OTTINGER, A+)

7.GHOST OF ASIA (2005, APICHATPONG WEERASETHAKUL + CHRISTELLE LHEREUX, A)

8.TRAIL OF LOVE (2005, SUCHADA SIRITHANAWUDDHI, A)

9.WAVES OF SOUL (2005, PIPOPE PANITCHPAKDI, A)



JOAN OF ARC OF MONGOLIA

รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้คือ MADAME X – AN ABSOLUTE RULER + THE STORY OF THE WEEPING CAMEL (2003, BYAMBASUREN DAVAA + LUIGI FALORNI, A) เพราะหนังมีลักษณะของความเป็นสารคดีสูงมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้นึกถึง MADAME X อย่างเช่น

1. การนำเสนอภาพสังคมที่ดูเหมือนสตรีเป็นใหญ่ แต่คราวนี้เป็นสังคมที่ดูสมจริง

2. การนำเสนอตัวละครผู้หญิงหลากสไตล์ หลากเชื้อชาติ หลากภูมิหลัง ที่มาอยู่รวมกัน เหมือนกับตัวละครแต่ละคนเป็นตัวแทนของผู้หญิงแต่ละกลุ่ม

3. การนำเสนอพิธีกรรมประหลาดๆ แต่คราวนี้เป็นพิธีกรรมประหลาดๆแบบที่อาจพบได้ในหนังสารคดี

ข้อดีของหนังเรื่องนี้ก็คือว่า ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะมีความเป็นสารคดี แต่ก็เป็นสารคดีที่มี “สีสันจัดจ้าน” มาก ก็เลยทำให้ดูสนุก ไม่เบื่อเลยแม้แต่นิดเดียว

ช่วงชั่วโมงแรกของหนัง ตัวละครคุยกันเยอะมาก แต่ดิฉันก็ไม่รู้สึกเบื่อมากนัก เพราะว่า

1.รู้สึกว่าหนังถ่ายสวยดี

2.สีสันของเครื่องแต่งกายดูฉูดฉาดมาก

3.ถึงแม้จะฟังตัวละครไม่ออกว่าพูดอะไรกัน แต่รู้สึกว่าพวกเขาพูดกันเพราะมาก การพูดของพวกเขาไม่ใช่การพูดคุยกันแบบสมจริงในชีวิตประจำวัน แต่ในบางครั้งเหมือนกับท่องกลอนออกมา เพราะมันมีการใช้เสียงขึ้นสูงลงต่ำ มีจังหวะหนักเบา มีการเว้นวรรคบางอย่างที่ทำให้นึกถึงการท่องกลอน โดยเฉพาะเวลาที่ DELPHINE SEYRIG พูด

4.การแสดงในหนังเรื่องนี้ในช่วงต้นเรื่อง เป็นการแสดงแบบโอเวอร์เกินจริง ก็เลยทำให้รู้สึกสนุกกับการดูสีหน้าสีตาตัวละคร

5.มีฉากร้องเพลงเต้นรำแทรกเข้ามาในช่วงต้นเรื่องด้วย

6.หนังเรื่องนี้ยังคงมีตัวละครกลุ่มสามสาวมาเรียกเสียงฮาเหมือนเดิม โดยคราวนี้มาในรูปของนักร้องหญิงสามคนบนรถไฟ

7.PETER KERN มาแสดงเป็นผู้โดยสารรถไฟร่างอ้วนในเรื่องนี้ด้วย ก่อนหน้านี้เขาเคยเล่นหนังหลายเรื่องให้ HANS-JURGEN SYBERBERG และเล่นได้อย่างมีเสน่ห์+โดดเด่นมากๆ และในเรื่องนี้เขาก็ดูโดดเด่นมากๆเช่นกัน


สิ่งที่น่าสนใจใน JOAN OF ARC OF MONGOLIA

1.DELPHINE SEYRIG (1932-1990) เล่นเป็นผู้หญิงที่มีท่าทางเหมือนเจ้าแม่ในเรื่องนี้ มาดของเธอทำให้นึกถึงบทของเธอใน DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS และใน DAUGHTERS OF DARKNESS

DELPHINE SEYRIG เล่นหนังเรื่อง JOAN OF ARC OF MONGOLIA เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิตก่อนที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดในปี 1990

ในหนังเรื่องนี้ SEYRIG รับบทเป็น LADY WINDERMERE ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวละครตัวนี้เกี่ยวข้องอะไรหรือเปล่ากับบทละครเวทีเรื่อง LADY WINDERMERE’S FAN ของ OSCAR WILDE
http://www.enotes.com/lady-windermeres/

2.ชอบวิธีการแนะนำตัวละครกับนักแสดงหญิงแต่ละคนในช่วงต้นของเรื่องนี้

3.ชอบตัวละครหญิงผมทองสี่คนที่เล่นดนตรีข้างสถานีรถไฟ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงผมทองสี่คนนี้เป็นชาวรัสเซียหรือเปล่า ดูแล้วทำให้นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับการโคลนนิ่งใน “4”

4.รู้สึกดีที่พอผ่านชั่วโมงแรกไปแล้ว หนังก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้บทสนทนามากนัก เพราะตัวละครเริ่มเดินทางเข้าสู่ดินแดนมองโกล และได้สัมผัสกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมประหลาดๆของชาวมองโกล ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องอาศัยคำบรรยายแต่อย่างใด

5.IRM HERMANN ดูแก่ลงไปเยอะในหนังเรื่องนี้ เมื่อเทียบกับใน DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS

6.ยังคงมีฉากคลาสสิคอยู่หลายฉากในเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่เป็นฉากที่ดูเก๋ไก๋น่ารัก ไม่ใช่ฉากที่ฮาสุดๆแบบใน MADAME X + DORIAN GRAY

ฉากที่ชอบมากในเรื่องนี้รวมถึง

6.1 ฉากระดมยิงธนูใส่เครื่องดนตรี

6.2 ฉากชาวเผ่าเอาใบหน้าของสามสาวแว่นตาดำมาวาดลงบนกระดาษที่ใช้ในงานพิธีตอนท้ายเรื่อง

6.3 ฉาก IRM HERMANN อยู่ใต้ดิน แต่อยู่ดีๆก็มายืนตระหง่านอยู่บนผืนดินที่ปริแยกออกจากกัน

6.4 ฉากงานพิธีที่มีชายชรามาปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น

7.COSTUME DESIGN ของหนังเรื่องนี้ยังคงเริ่ดสุดๆเหมือนเดิม



บทความน่าสนใจใน SENSES OF CINEMA VOLUME ใหม่

1.PARSIFAL (1982, HANS-JURGEN SYBERBERG, A+)
http://www.sensesofcinema.com/contents/cteq/05/37/parsifal.html

2.THE LETTER (1999, MANOEL DE OLIVEIRA) สร้างจากบทประพันธ์ของ MADAME DE LA FAYETTE
http://www.sensesofcinema.com/contents/cteq/05/37/letter.html

3.VOYAGE TO THE BEGINNING OF THE WORLD (1997, MANOEL DE OLIVEIRA)
http://www.sensesofcinema.com/contents/cteq/05/37/voyage_beginning_world.html

4.CLAIRE DENIS
http://www.sensesofcinema.com/contents/books/05/37/claire_denis.html

5.JEAN-MARIE STRAUB + DANIELLE HUILLET
http://www.sensesofcinema.com/contents/05/37/straubs.html

6.MURIEL: THE TIME OF RETURN (1963, ALAIN RESNAIS, A+/A)
http://www.sensesofcinema.com/contents/05/37/muriel.html

7.SURREALIST DOCUMENTARY
http://www.sensesofcinema.com/contents/05/37/surrealist_documentary.html

No comments: