Sunday, October 14, 2012

SO SAD WITH RAY CARNEY'S CASE


รู้สึกเศร้าใจกับคดี Mark Rappaport ตบกับ Ray Carney ตอนนี้ Jon Jost ถึงขั้นเรียก Ray Carney ว่า "evil" เรานึกไม่ถึงเลยว่ามันจะตบกันอย่างรุนแรงถึงขั้นนี้ได้

แต่ไม่ว่า Ray Carney จะเลวจริงหรือไม่ก็ตาม เราก็ยังคงชอบแนวคิดบางแนวคิดของเขาต่อไปอยู่ดี ซึ่งอันนี้ก็ทำให้เรานึกถึงท่าทีของเราที่มีต่อศาสนานะ คือเราเชื่อคำสอนทางศาสนาเฉพาะบางคำสอนเท่านั้น แต่บางคำสอนเราก็ไม่เชื่อ หรือไม่เราก็เห็นตรงกันข้าม ท่าทีของเราที่มีต่อ Ray Carney ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน คือถึงแม้ในที่สุดแล้ว Ray Carney จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นคนผิดจริงๆในคดีตบกับ Mark Rappaport เราก็ยังคงชอบแนวคิดบางอันของ Ray Carney ต่อไป เราคิดว่าการที่เราชื่นชอบแนวคิด A ของ Ray Carney ไม่ได้หมายความว่าเราชื่นชอบการกระทำ A ของ Ray Carney และไม่ได้หมายความว่าเราชื่นชอบแนวคิด B ของ Ray Carney เรามองแยกมันออกจากกันน่ะ

ตอนนี้เราไม่มีความหวังแล้วว่าคดี Mark Rappaport ตบกับ Ray Carney จะจบลงด้วยดี เฮ้อ เศร้าใจจริงๆ :-(

Favorite quotes of Ray Carney from the book Filmvirus 2 (2001)

1.ถ้าคุณพูดได้ว่าหนังของคุณมี "ความหมาย" อย่างไร มันย่อมไม่มีค่าในการสร้างมันขึ้นมา

2.  วิถีที่หนังพยายามชี้นำและเป็นอยู่ คือนำเสนอการสืบสานสายพันธุ์ของความเน่าฟอน หนังตั้งปัญหาขึ้นมาให้ตัวละครประสบ และหมดเวลาไปกับการให้ตัวละครสาธิตกระบวนการแก้ไข วิธีดำเนินเรื่องงอกมาจากการจัดวางทางธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวสร้างปัญหาส่วนใหญ่ในวัฒนธรรมของเราตั้งแต่แรก หนังเหล่านี้ไม่เคยตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่า เรามีที่มาจากสิ่งที่เรา "ทำ" จากสิ่งที่เราควบคุม จากสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ เราอยู่ในโลกวัตถุนิยมที่ติดงอมกับคุณค่าของ "การกระทำ" แต่ในชีวิตจริงนั้นส่วนของการกระทำเกี่ยวข้องน้อยกว่า "สิ่งที่เราเป็น" ถ้าหนังของคุณขึ้นลงอยู่กับการกระทำหรือการบรรลุผลสำเร็จ คุณย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความเน่าฟอนนั้นด้วย คุณกำลังทำหนังให้บริษัท IBM โดยไม่รู้ตัว เราคุ้นเคยแต่กับหนังพวกนี้ เพราะผู้กำกับฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจมากกว่าศิลปิน

3.พลาโต้ทำให้เราหลงทาง เขาทำให้นักปรัชญาคนอื่นๆเชื่อว่า เป้าหมายของศิลปะคือนำผู้เสพไปสู่ภาวะไขความทางปัญญา แต่ศิลปินที่ยิ่งใหญ่จริงๆนั้นตรงกันข้าม ภาวะทางสุนทรียศาสตร์เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เสพที่เฉยชาเริ่มสับสน ร่วมรู้สึกทุกข์ทนเข้าด้วยกัน ทั้งกับคนทำหนังและคนดู



No comments: