Monday, February 09, 2015

THE IMITATION GAME (2014, Morten Tyldum, A+30)

THE IMITATION GAME (2014, Morten Tyldum, A+30)

หนังดีงามมาก แต่มันเหมือนอยู่ในขนบอะไรบางอย่างที่เราอธิบายไม่ถูก ซึ่งไอ้ขนบนี้ทำให้เราไม่ได้อินกับมันแบบสุดๆ คือหนังมัน touch เราในระดับนึง แต่มันเหมือนยังมีส่วนลึกที่สุดในจิตใจเราที่หนังยัง touch ไปไม่ถึง

แต่ก็ให้ A+30 นะ คือมันก็ดีงามในแบบของมันน่ะ ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวแล้ว ถ้าหากพูดถึงหนังชีวประวัติเกย์ เราจะชอบวิธีการแบบหนัง SAINT LAURENT (2014, Bertrand Bonello) มากกว่า


พอคุยกับเพื่อนถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ทำให้เราตั้งข้อสงสัยว่า สาเหตุที่เราไม่ได้อินกับ THE IMITATION GAME และ FOXCATCHER แบบสุดๆ อาจจะเป็นเพราะหนังมีความพยายามจะอธิบายปมทางจิตบางอย่างของตัวละคร หรือตัวละครถูกอธิบายภายในมากเกินไป ซึ่งในบางครั้งเราจะมีปัญหากับหนังดราม่าที่อิงกับคำอธิบายทางจิตวิทยาแบบนี้ และเรามีแนวโน้มที่จะชอบหนังที่ไม่ได้ใช้วิธีการแบบนี้มากกว่า อย่างเช่น SAINT LAURENT และหนังหลายๆเรื่องของ Claude Chabrol คือเราว่าโดยตัวโครงเรื่องแล้ว FOXCATCHER มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงหนังของ Claude Chabrol แต่ถ้าหากเป็น Chabrol ตัวละครมันจะมี “ความไม่สามารถอธิบายได้” หรือ “ความยากที่จะอธิบาย” มากกว่านี้

เพิ่มเติม

เราชอบช่วงเด็กของหนังมากในระดับนึงนะ เพราะมันตรงกับประสบการณ์ของเรา  คือถ้าเอาเฉพาะ “เนื้อหา” ของช่วงเด็ก นี่มันเข้าทางเรามากๆ

แต่เราก็ไม่ชอบช่วงเด็กของหนังในระดับ A+30 นะ เพราะถึงแม้ “เนื้อหา” ของช่วงเด็กมันตรงกับประสบการณ์ชีวิตเรามากๆ แต่มันก็ไม่ได้สะเทือนใจเราอย่างสุดๆ และเราก็สงสัยว่ามันอาจจะเป็นเพราะ “วิธีการนำเสนอ” และ “วิธีการใช้ประโยชน์” จากช่วงเด็กในหนังเรื่องนี้น่ะ คือเราคิดว่าที่เราไม่ได้สะเทือนใจสุดๆ เป็นเพราะว่า

1.หนังไม่ได้นำเสนอช่วงเด็กในฐานะประเด็นหลักของหนัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าเพราะอะไร

2.หนังนำเสนอช่วงเด็กในฐานะ flashback และนำเสนอมันในฐานะของ “เหตุ” และนำเสนอปัจจุบัน (ทศวรรษ 1940) ในฐานะของ “ผล” คือพอช่วงเด็กของหนังมันถูกนำเสนอในฐานะ “ฉากที่มีเป้าประสงค์ชัดเจน” หรือ “ฉากที่มีเหตุผลชัดเจนว่าถูกใส่เข้ามาในหนังเพราะอะไร” มันก็เลยทำให้ฉากเด็กมันถูกลดทอนมิติอะไรบางอย่างออกไป มันทำให้ฉากเด็กขาดมิติอะไรบางอย่างที่มันจะเข้าทางเราอย่างเต็มที่น่ะ

คือเราไม่ได้คิดว่า THE IMITATION GAME ทำผิดอะไรนะ ที่นำเสนอฉากวัยเด็กในฐานะ flashback หรือในฐานะ “เหตุ” ของสิ่งต่างๆที่ทำให้พระเอกกลายเป็นคนแบบนั้นในเวลาต่อมา แต่โดยรสนิยมส่วนตัวแล้ว เราอาจจะชอบหนังที่นำเสนอ “เสี้ยวชีวิตต่างๆ” โดยไม่ต้องเป็นเหตุเป็นผลกันมากกว่าน่ะ ซึ่ง SAINT LAURENT เป็นตัวอย่างที่ดีของหนังที่เข้าทางเราแบบนี้


แต่บางทีมันอาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้นะ เพราะ THE IMITATION GAME เป็นหนังเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ สิ่งต่างๆที่ถูกใส่เข้ามาในหนังเรื่องนี้ มันเลยมี “เหตุ” มี “ผล” มีอะไรรองรับไปหมดว่ามันถูกใส่เข้ามาในหนังเพราะอะไร ในขณะที่ SAINT LAURENT เป็นหนังเกี่ยวกับดีไซเนอร์ มันก็เลยเต็มไปด้วยฉากที่ดูเหมือนว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาในหนังก็ได้ หรือฉากที่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวพันกับฉากอื่นๆยังไง 555

No comments: