Thursday, February 12, 2015

THE CAMPUS


THE CAMPUS วิทยาเขตสังหาร (2015, a stage play by Young Pack Action, A+10)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--ไม่แน่ใจว่าใครเขียนบทและกำกับ แต่เดาว่าเป็นฝีมือของ Ninart Boonpothong เพราะบทมีความซับซ้อนในระดับนึง และเต็มไปด้วยตัวละครที่ทรยศหักหลังกัน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พบบ่อยในบทละครของ Ninart จนเหมือนกับเป็นลายเซ็นอันนึงของเขา 555

--สิ่งที่ชอบที่สุดในเรื่องก็คงเป็นบทละครนี่แหละ เหมือนบทมันแบ่งได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ซึ่งก็คือช่วงที่ค่อยๆแนะนำตัวละครแต่ละตัวจนครบ 7 คน, ช่วงที่ตัวละครแต่ละตัวผลัดกันเล่าเรื่องผี และช่วงที่ตัวละครแต่ละตัวปะทะกันอย่างรุนแรง

--ชอบช่วงที่ 3 ของเรื่องมาก เพราะเราไม่รู้มาก่อนว่าละครมันจะออกมาในทำนองนี้ คือระหว่างที่เราดูช่วงแรกของเรื่องเรานึกว่ามันจะออกมาเป็นเรื่องผีสยองขวัญแนว THE EYES DIARY (2014, Chookiat Sakveerakul, A+30) แต่พอช่วง 3 เนื้อเรื่องมันพลิกออกไปในอีกทางนึง เราก็เลยชอบมาก

--เราว่าบทมันดีมากในแง่ที่ว่า เนื้อเรื่องในช่วง 2 กับช่วง 3 มันล้อกัน มันสอดคล้องกัน ซึ่งการเขียนบทโดยวางโครงสร้างได้ดีแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย คือนอกจากคุณต้องเขียนบทหลักบทนึงแล้ว คุณต้องคิด “เรื่องผี” อีก 6 เรื่องมาใส่ในบทหลักนี้ แล้วคุณก็ต้องคิดที่มาที่แท้จริงของ “เรื่องผี” 6 เรื่องนี้ด้วย เพื่อที่เรื่องราวยิบย่อยทั้งหมดจะผูกโยงกันและนำไปสู่ธีมหลักของละคร คือเราว่าคนที่คิด layer  3 ชั้นที่มีเรื่องราวยิบย่อยแบบนี้ได้มันต้องเก่งจริง และไม่ใช่คนเขียนบทละคร/บทภาพยนตร์ไทยหลายๆคนจะทำแบบนี้ได้

--แต่บทมันก็ไม่ได้สุดยอดมากถ้าหากนำไปเทียบกับบทละครเรื่องอื่นๆของ Ninart นะ คือบทละครเรื่องอื่นๆของ Ninart มันสุดๆกว่านี้น่ะ คือถ้าหากนำเรื่องนี้ไปเทียบกับงาน masterpiece อย่าง “เกมยุติธรรม” บทละครเรื่องนี้ก็อาจจะดูเหมือนเป็นแค่ “โปรเจคท์ขำๆ” ของนินาท แต่บทละครเรื่องนี้ก็ถือว่าดีมากๆอยู่ดี

--แต่เราก็ตามเนื้อเรื่องไม่ทันในช่วง 3 อยู่เหมือนกันนะ คือเราตามไม่ทันหมดหรอกว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครหักหลังใคร ใครซ้อนแผนใคร แต่อันนี้เราไม่ถือว่าเป็นข้อเสียของละครเรื่องนี้

--แต่เราอาจจะมีปัญหากับตอนจบอยู่นิดนึง เพราะตอนจบตัวละครหลายๆตัวเหมือนผิดหวังกับการ “สูญเสียความเป็นเพื่อน” เราก็เลยรู้สึกอารมณ์สะดุดเล็กน้อย คือพอความจริงทุกอย่างมันเปิดเผยออกมาอย่างนี้แล้วนี่ มันคงไม่ต้องพูดถึงความเป็นเพื่อนกันอีกแล้วล่ะ 555 คือจริงๆแล้วเราอยากให้ตัวละครบางตัวเดินออกไปจากห้องโดยไม่ต้องพูดสรุปอะไรเลยจะดีกว่า คือพอตัวละครบางตัวพูดประโยคสรุปของตัวเอง แล้วเดินออกจากห้องไป มันดูเหมือนเป็นการรวบรัดปัญหาและรวบรัดอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวยังไงไม่รู้ แต่สิ่งที่บางตัวละครพูดก็ใช้ได้นะ แต่เรารู้สึกว่าตัวละครบางตัวอาจจะเดินออกไปจากห้อง โดยไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี อันนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเราแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เรารู้สึกสะดุดเล็กน้อย

--ในช่วงที่สองของละครนั้น เราชอบเรื่องผีนิเทศของตัวละครตัวนึงมากๆ เพราะเรื่องนี้มันมีทั้งผีและฆาตกรโรคจิตอยู่ในเรื่องเดียวกันน่ะ แล้วปกติเราจะกลัวฆาตกรโรคจิตมากกว่ากลัวผี เรื่องนี้ก็เลยน่ากลัวที่สุดสำหรับเราเมื่อเทียบกับเรื่องผีเรื่องอื่นๆ

--เราว่าคนที่เล่นเป็นพระเอกของเรื่อง เล่นดีมากๆ เราว่าผู้กำกับละครเรื่องนี้คิดถูกที่เอาคนนี้มาเล่นเป็นพระเอก คือมันมีบางช่วงที่นักแสดงคนนี้เปล่งพลังทางอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะช่วงที่สามของเรื่อง และพอละครเรื่องนี้เอาคนที่เก่งจริงมาเล่นเป็นตัวหลัก มันเลยเหมือนมีเสาหลักที่แข็งแรงมาพยุงละครเรื่องนี้ให้ตลอดรอดฝั่ง

--นักแสดงคนอื่นๆก็เล่นใช้ได้นะ อาจจะดูเหมือนมีอะไรขัดๆเขินๆอยู่บ้าง แต่เราก็เข้าใจว่านี่คือนักแสดงหน้าใหม่ เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าความขัดเขินพวกนี้เป็นอุปสรรคสำคัญแต่อย่างใด

--แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือการออกแบบฉากของเรื่อง ที่เป็นห้องอุดอู้ที่เต็มไปด้วยขยะ คือมันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่จนลืมไม่ลงเลยแหละค่ะ แต่อาจจะไม่ใช่ในทางบวกนะ 555

คือเวลาที่เราดู เราจะเสียสมาธิเล็กน้อย แต่มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นโรคจิตเองแหละ คือเราว่าห้องมันมีกลิ่นแปลกๆ แล้วเราก็จะจินตนาการว่า ถ้าหากขยะมันทิ้งไว้ในห้องหลายวันแบบนี้ แล้วมันจะเป็นการบ่มเพาะเชื้อโรคอะไรหรือเปล่า แล้วนี่ฉันกำลังสูดดมเชื้อโรคอะไรที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไปหรือเปล่า คือพอเราจินตนาการแบบนี้ เราก็เลยเสียสมาธิเล็กน้อย 555

โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าฉากแบบนี้ เหมาะใช้เป็นสถานที่ติดตั้ง installation art หรือ video installation ที่มีความยาวไม่เกิน 15 นาทีนะ แต่การที่ต้องอยู่ในห้องแบบนี้นานกว่า 1 ชั่วโมงนี่ มันเป็นประสบการณ์ที่โหดสัสเหมือนกัน และเราก็รู้สึกนับถือนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้จริงๆ ที่สามารถแสดงในห้องแบบนี้ได้ คือแค่เรานั่งอยู่เฉยๆในห้อง เราก็คุมสมาธิแทบไม่ได้แล้ว ไม่รู้นักแสดงทำได้ยังไง

--อย่างไรก็ดี ฉากในเรื่องนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน คือนอกจากมันจะแปลกใหม่แล้ว มันยังกระตุ้นให้เราจินตนาการในช่วงต้นๆเรื่องอีกด้วยว่า จริงๆแล้วตัวละครพวกนี้มันตายไปแล้วหรือเปล่า 555 คือถ้าหากละครเรื่องนี้มันเฉลยว่า ตัวละครทุกตัวตายไปแล้ว เราจะไม่แปลกใจเลย เพราะฉากในละครเรื่องนี้มันเหมือนไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง แต่มันเหมือนกับเป็น “กึ่งๆนรก” 555





No comments: