THE LOST VOICE (2017, Jutha Saovabha, A+30)
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่
1.โครงการทำหนังจากเพลงของ Ryuichi
Sakamoto นี่ท่าทางจะดีจริงๆ
เพราะมันทำให้ผู้กำกับหนังดีๆที่ดูเหมือนจะหายสาบสูญจากวงการไปแล้ว
กลับมาทำหนังกันใหม่ เพราะหลังจากเราได้ดูหนังเรื่อง MALADY OF US ของคุณ Tanakit Kitsanayunyong ที่เคยห่างหายจากวงการไปนานหลายปีแล้ว
เราก็ได้ดูหนังเรื่อง THE LOST VOICE ของคุณจุฑาด้วย และเราก็ดีใจมากๆ เพราะเมื่อ 4
ปีก่อนเราเคยชอบหนังเรื่อง ปฏิรัก หรือ UNCONSCIOUSNESS IN THE TIME OF CRISIS (2013) ของคุณจุฑามากๆ แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราก็แทบไม่ได้ดูหนังของเขาอีกเลย
มันก็เลยเหมือนโครงการ Ryuichi Sakamoto นี้ช่วยกระตุ้นให้ “ยอดฝีมือ”
หรือ “จอมยุทธ” บางคน ที่ถอนตัวจากยุทธภพ และไม่ได้ใช้วิทยายุทธมานานหลายปี
หวนกลับคืนสู่ยุทธภพกันอีกครั้ง 555
2.หนังเรื่องนี้เหมือนแบ่งเป็นสองส่วนอย่างเห็นได้ชัด
(เหมือนหนังหลายเรื่องของพี่เจ้ยที่ชอบแบ่งเป็นสองส่วน)
โดยส่วนแรกเป็นภาพวิวงดงาม+เสียงบรรยายแนวกวีรำพึงรำพันหน่อยๆ แน่นอนว่าส่วนนี้ทำให้นึกถึงหนังอย่าง
THE TREE OF LIFE (2011, Terrence
Malick) และส่วนที่สองเป็นฟุตเตจที่บันทีกภาพเหตุการณ์ Bangkok
Shutdown ตอนต้นปี 2014 ก่อนเกิดรัฐประหาร
3.ฉากที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้
ก็คือฉากที่ตัดจากส่วนที่หนึ่งเข้าสู่ส่วนที่สองนี่แหละ ดูแล้วกรี๊ดแตกมากๆ
ไม่รู้คิดขึ้นมาได้ยังไง คือตอนแรกเรานึกว่ามันเป็นภาพใยแมงมุมในป่าละเมาะเมืองหนาวที่มีน้ำค้างแข็งมาเกาะน่ะ
ตอนแรกเราก็นึกว่า ใยแมงมุม+น้ำค้างแข็งนี่มันสวยจังเนาะ แต่พอภาพมันเปลี่ยนระยะโฟกัสหรืออะไรสักอย่าง
แล้วเราเห็นชัดๆว่าใยแมงมุมนี้คืออะไร เราก็หวีดร้องมากๆ เราว่าฉากนี้คลาสสิคมากๆ
ยกให้เป็นฉากที่ชอบที่สุดฉากหนึ่งในปีนี้ไปเลย
4.ส่วนครึ่งแรกของหนังนี่ก็งดงามดีนะ อาจจะชอบในระดับประมาณ A+20 คือฉากเปิดนี่ชอบมาก
เราว่ามันเข้ากับจังหวะดนตรีมากๆ และหลังจากนั้นหนังก็ร้อยเรียงภาพวิวสวยงามต่างๆเข้าด้วยกันได้อย่างไหลลื่น
ละมุนละไม เข้ากับจังหวะเพลง และก่อให้เกิดสุนทรียะทางอารมณ์มากพอสมควร ส่วนเสียง voiceover
นั้นจริงๆแล้วเราฟังไม่ออกในบางช่วง เราก็เลยไม่ได้ตั้งใจฟังหรือนำมันมาขบคิดมากเท่าไหร่
แต่แค่ดูภาพ+การร้อยเรียงภาพในช่วงครึ่งแรก เราก็เพลินมากพอแล้ว
เราว่าช่วงครึ่งแรกของหนังนี่ทำให้เรานึกถึง “อนาลัยนคร” (2017, Taiki Sakpisit) โดยไม่ได้ตั้งใจนะ
คือตอนดู “อนาลัยนคร” กับช่วงครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้ เรานึกถึง “สวรรค์ลวง” น่ะ
หรือภาพของ “ความสุขสงบร่มเย็น” ที่จริงๆแล้วเป็นมายา เพราะถ้ามองให้ดี
ที่จริงแล้วมันคือนรก
แต่พอดูๆวิวเหล่านี้ใน THE LOST VOICE ไปสักระยะหนึ่ง
เราก็เริ่มเบื่อ แต่พอเบื่อปุ๊บ หนังก็เริ่มตัดเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังทันที
เหมือนรู้ใจคนดูเลย 555
5.ช่วงครึ่งหลังนี่ ตอนดูรอบแรกเราชอบแค่ในระดับ A+20 หรือ A+25 นะ คือเราอยากให้มันมีอะไรมากกว่านี้น่ะ คือตอนดูรอบแรกเราแอบคิดว่า
ไอเดียในหนังมันน้อยไปหรือเปล่า มันมีแค่ footage กลุ่มนกหวีดหีหมานี่เท่านั้นเหรอ
ทำไมไม่ด่ามันตรงๆไปเลยล่ะ ว่าช่วงปี 2014-2017 ที่ผ่านมา
มันเกิดความเสียหายทั้งในด้านสิทธิเสรีภาพ และการโกงกินอะไรยังไงบ้าง หรือว่าชื่อเรื่อง
THE LOST VOICE นี่
นอกจากจะหมายถึงการที่กลุ่มนกหวีดไม่ออกมาประณามความเลวร้ายของรัฐบาลทหารแล้ว
ยังหมายถึงพวกเราเองที่ไม่สามารถวิจารณ์ความเลวร้ายของรัฐบาลทหาร “ได้อย่างปลอดภัย”
ด้วย
6.แต่พอดูรอบสอง เราก็ชอบมากขึ้นในระดับ A+30 นะ
คือไปๆมาๆพอดูช่วงครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้แล้วเรากลับไม่เบื่อเลย
แต่กลับรู้สึกว่าจิตใจพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังเหล่าบรรดาบุคคลในหนังอย่างรุนแรงมากๆ
555 และเราว่าผู้ชมแต่ละคนคงรู้สึกแตกต่างกันไปแน่ๆ
เพราะหนังมันไม่ได้ชี้นำอะไรเลย
หนังมันปล่อยให้คนดูรู้สึกอะไรก็ได้กับฟุตเตจที่เห็น
คือเหมือนตอนเราดูรอบแรก
เราเรียกร้อง “เนื้อหาสาระ” จากหนังน่ะ และเราก็เลยไม่ได้ชอบหนังแบบสุดๆตอนดูรอบแรก
เพราะเรารู้สึกว่าช่วงครึ่งหลังของหนังมันไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วย “เนื้อหาสาระ” แบบที่เราคาดหวังไว้
แต่พอเราได้ดูรอบสอง เราก็รู้แล้วว่า
เราไม่ต้องไปคาดคั้นเอาเนื้อหาสาระจากมัน เราก็เลยปล่อย “อารมณ์”
ของตัวเองอย่างเต็มที่ตอนเราดูรอบสอง และผลที่ได้ก็คือ
อารมณ์โกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังอย่างรุนแรงต่อบรรดาบุคคลในหนัง 555
7.สรุปว่าเราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆแหละ
และก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนอื่นๆเวลาดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร
เราว่าหนังที่มัน “ไม่ชี้นำ” อารมณ์หรือความคิดคนดูอย่างชัดเจนมากนักแบบหนังเรื่องนี้
มันคงสร้างปฏิกิริยาที่แตกต่างกันมากต่อผู้ชมแต่ละคนแน่ๆ และความสนุกอย่างหนึ่งจากหนังแบบนี้ก็คือการได้อ่านความคิดความเห็นของคนอื่นๆที่ไม่เหมือนกับเรา
No comments:
Post a Comment