Tuesday, February 19, 2019

A LULLABY TO THE SORROWFUL MYSTERY (2016, Lav Diaz, Philippines, 8hours 5mins, A+30)


A LULLABY TO THE SORROWFUL MYSTERY (2016, Lav Diaz, Philippines, 8hours 5mins, A+30)

1.รู้สึกว่าหนังของ Lav Diaz ที่มาฉาย 3 เรื่องในครั้งนี้มีดีแตกต่างกันไป เราว่า THE WOMAN WHO LEFT เป็นหนังที่ลงตัวที่สุด, ดูง่ายที่สุด, สนุกที่สุด ส่วน SEASON OF THE DEVIL สะเทือนใจที่สุด, รันทดที่สุด, นึกถึงเมืองไทยมากที่สุด ในขณะที่ A LULLABY TO THE SORROWFUL MYSTERY ดูเหมือนไม่ค่อยลงตัว แต่เราก็ชอบสุดๆอยู่ดี ชอบความที่ดูเหมือนไม่ค่อยลงตัวของมัน ชอบความที่มันเหมือนเล่าเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันมากนัก (เรื่องของ Gloria de Jesus กับเรื่องของ Simoun) และแทนที่หนังจะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์แบบ realism หนังกลับใส่เรื่องภูติผีปีศาจเข้ามาด้วย มันเลยเกิดเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นมา เหมือนเป็นการเล่นแร่แปรธาตุที่ทดลองผสมธาตุ 3 อย่างเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นธาตุใหม่ที่พิลึกกึกกือในแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

ตอนนี้ยังตัดสินไม่ได้ว่าชอบหนังเรื่องไหนมากที่สุดใน 3 เรื่องนี้ คงต้องรอดูปลายปีนี้ถึงจะตัดสินได้ คือเราชอบ THE WOMAN WHO LEFT ในแง่ความลงตัว, ชอบความหดหู่ feel bad ของ SEASON OF THE DEVIL ส่วน A LULLABY TO THE SORROWFUL MYSTERY นั้น เหมือนเป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกว่า “เราหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกนึง” มากที่สุด ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับความยาว 8 ชั่วโมงของมันด้วย คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ บางทีเราต้องบอกตัวเองว่า “ฉันคือ จิตร โพธิ์แก้ว ฉันเป็นคนไทยอายุ 45 ปี ตอนนี้ฉันอยู่ในปี 2019 ฉันกำลังนั่งดูหนังในวันเสาร์ เดี๋ยววันจันทร์ฉันก็ต้องกลับไปทำงาน” อะไรทำนองนี้ คือพอดูๆไปเรื่อยๆ เราจะรู้สึกหลอนๆเหมือนกับว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเราเป็นความฝัน และขณะนี้เราเป็นอณูอะไรสักอย่างที่ลอยไปในห้วงของกาลเวลา หรือแดนสนธยา เราเริ่มลืมเลือนไปแล้วว่า เราเป็นใคร มีชีวิตอะไรมาก่อน คือการดูหนังเรื่องนี้สำหรับเรามันเหมือนถูกดูดไปอยู่อีกมิตินึงจริงๆน่ะ ซึ่งแน่นอนว่าประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับเรา เพราะหนัง Lav Diaz เรื่องอื่นๆมันจะมี “ความสมจริง” มากกว่าเรื่องนี้ คือในขณะที่เราดู EVOLUTION OF THE FILIPINO FAMILY หรือ HEREMIAS เราจะยังรู้สึกตัวว่า เรากำลังดูหนังอยู่ แต่เราว่า A LULLABY TO THE SORROWFUL MYSTERY มันมีความ David Lynch อยู่น่ะ มันก็เลยเหมือนเป็น “ประตูมิติ” สำหรับเรา เหมือนเป็นอีกมิตินึงที่ดูดเราเข้าไป ก่อนจะปล่อยเรากลับออกมาสู่โลกแห่งความจริงในฉากจบที่ทำให้นึกถึง CELINE AND JULIE GO BOATING เพราะตัวละครมันล่องเรือเหมือนกัน 555

2.ชอบตัวละครผู้หญิงหลายๆคนในหนังเรื่องนี้มาก จัดว่าเป็นหนัง Lav Diaz ที่รวมตัวละครหญิงน่าสนใจไว้เยอะที่สุดเลยมั้ง ทั้ง Gloria de Jesus ที่ตามหาสามี, Hule ที่เห็นลูกชายสองคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา, Cesaria ที่แก้แค้นคนในเมืองจนทำให้เมืองล่มสลาย, เด็กสาวที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นพระแม่มารี, Tikbalang อุ้มหมาที่ทำให้นึกถึงวิยะดา อุมารินทร์, Tikbalang สาวเปรี้ยวที่ทำให้นึกถึงอาภาศิริ นิติพน, Ramona กวีสาวตาบอด, Rosario ที่เสียผัวไป และสาวแก่ที่เป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงปลุกใจของนักดนตรีที่ถูกฆ่าตายให้แก่คนอื่นๆต่อไป สรุปว่ามีตัวละครหญิงที่เราชอบถึง 9 ตัว

แต่แอบขำที่ตัวละครหญิง 4 ตัวไว้ผมยาวเหมือนกันหมด และอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา คือ Gloria, Rosario, Cesaria และ Hule เพราะฉะนั้นในบางฉากเราจะแยกยากว่าใครเป็นใคร เพราะหนังไม่ถ่าย close up ด้วย จำได้ว่ามีฉากนึงที่เห็นตัวละครหญิงผมยาวเดินไปเดินมาอยู่ในป่า คือดูไปหลายนาทีแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวละครที่เดินอยู่นี้มันเป็นใครใน 4 ตัวนี้กันแน่ จนกระทั่งฉากต่อมาที่เราเห็น Hule คุยกับ Cesaria ว่า Gloria กำลังจะกลายเป็นบ้า เราถึงค่อยเข้าใจว่า อ๋อ อีที่เห็นเดินผมยาวอยู่เมื่อกี้มันคือ Gloria นี่เอง

3.เข้าใจว่า Lav Diaz คงพยายามไม่เล่าซ้ำสิ่งที่หนังฟิลิปปินส์เรื่องอื่นๆเคยเล่าไปแล้ว เพราะเราเคยดู RIZAL IN DAPITAN (1997, Tikoy Aguiluz), JOSE RIZAL (1998, Marilou Diaz-Abaya), AUTOHYSTORIA (2007, Raya Martin) ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ยุคเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้คล้ายกับ A LULLABY เลย เหมือน Lav Diaz คงรู้ดีว่ามีคนทำหนังเกี่ยวกับ Jose Rizal ไปเยอะมากแล้ว เพราะฉะนั้น Jose Rizal ก็เลยตายตั้งแต่ช่วงต้นของ A LULLABY ส่วนการฆาตกรรม Andres Bonifacio ก็ถูกนำเสนอในหนังเรื่อง AUTOHYSTORIA ไปแล้ว เพราะฉะนั้น A LULLABY ก็เลยเน้นเล่าเรื่องของตัวภรรยาของ Andres แทน

ตอนนี้หนังที่อยากดูสุดๆคือ THE TRIAL OF ANDRES BONIFACIO (2010, Mario O’Hara)

4.ชอบฉากที่ Basilio (Sid Lucero) พยายามขุดหาสมบัติใต้ต้น Betele หรือต้นอะไรสักอย่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปเจอหลุมศพที่เพิ่งทำใหม่ แล้วเขาก็เหมือนถอดใจ และล้มตัวลงนอนเหนือหลุมศพนั้น

เหมือนเราอินกับอะไรแบบนี้น่ะ อินกับตัวละครที่ “เหนื่อยล้ากับชีวิต” และในที่สุดก็ทำใจได้ว่า “กูไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีกต่อไปจะดีกว่า"

No comments: