Monday, September 23, 2019

AD ASTRA

SOLARIS (2002, Steven Soderbergh, A+30)

 1.เหมือนพอเทียบกับหนังของ Tarkovsky แล้ว เรารู้สึกว่า หนังของ Soderbergh พยายามทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน และดูเป็นรูปธรรมจับต้องได้น่ะ เหมือนเป็นการ paraphrase บทกวี (หนังของ Tarkovsky)

คือถ้าหนังของ Tarkovsky มีความอ่อนไหว นุ่มนวล ละเอียดอ่อน แบบ "น้ำ"  หนังของ Soderbergh ก็ให้ความรู้สึกเหมือน โลหะหนัก

หรือหนังของ Tarkovsky ให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดแบบ impressionist ส่วนหนังของ Soderbergh ให้ความรู้สึกเหมือน "ภาพถ่าย"

2.เหมือนพอดูจบแล้ว สิ่งที่ติดอยู่ในหัวของเราหลังดูหนังของ Soderbergh คือ ใบหน้าของนักแสดง ทั้ง George Clooney, Natascha McElhone, Jeremy Davies และ Viola Davis

 แต่สิ่งที่ติดอยู่ในหัวของเราหลังดูหนังของ Tarkovsky คือภาพใบไม้พลิ้วไหวใต้สายน้ำ, ฝนตกในบ้าน, ท้องถนนในญี่ปุ่น

BTS SUKHUMVIT LINE DEPOT (2019, Charlie Freedman, 4min, A+30)

 ให้อารมณ์เหมือนหนังในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนมากๆ หนังจับภาพการกระทำของผู้หญิงคนหนึ่งในลานจอดรถ ดูแล้วเหมือนหนังสารคดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็น mockumentary  หรือเปล่า

ดูที่ cinema oasis

VOICES FROM THE SILENCE (2018, Joshua Wahlen, Alessandro Seidita, Italy, documentary, A+25)

 หนังเลือกประเด็นได้น่าสนใจดี นั่นก็คือคนที่ใช้ชีวิตแบบ hermit (ฤาษี) ในอิตาลี  แต่หนังเลือกใช้วิธีนำเสนอแบบ talking head เป็นหลัก และคนเหล่านี้ก็เน้นพูดเรื่องจิตวิญญาณ นามธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก และน่าจะแปลจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งได้ยากด้วย (จากภาษาอิตาเลียน เป็นภาษาอังกฤษ)  เราก็เลยดูแล้วรู้สึกงงๆกับเรื่องที่คนต่างๆในหนังเรื่องนี้พูดถึง

AD ASTRA (2019, James Gray, A+30)

1.ชอบหนังมากๆ ยกเว้นช่วงองก์สุดท้ายที่รู้สึกอารมณ์มัน drop ลงนิดนึง

2.ก่อนหน้านี้เคยดูหนังของ James Gray แค่สามเรื่อง ซึ่งก็คือ LITTLE ODESSA, THE YARDS กับ WE OWN THE NIGHT รู้สึกว่าหนังของเขาดีมาก แต่เราดูแล้วจะไม่ค่อยอิน เดาว่าเป็นเพราะประเด็นเรื่อง "ครอบครัว" กับลักษณะ macho ของตัวพระเอกใน THE YARDS กับ  WE OWN THE NIGHT ที่ทำให้เราดูแล้วถอยห่างจากหนัง

AD ASTRA น่าจะเป็นหนังที่เราดูแล้วอินสุดแล้วมั้งในบรรดา 4 เรื่องนี้ เพราะถึงตัวพระเอกจะดู "มาดแมน" มากๆ แต่ก็ไม่ได้มากเท่าพระเอก THE YARDS กับ   WE OWN THE NIGHT และการที่หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามกับ "hero"  และ "พ่อ" ก็เลยทำให้หนังไม่ได้ดู "รักความ macho ของเพศชาย" มากเกินไปสำหรับเรา

แต่องก์สุดท้ายของหนัง มันมีอารมณ์แบบ "ครอบครัว" เข้ามา ก็เลยดีดเราออกจากหนังนิดนึง

3.ผู้กำกับอีกคนที่เรามีปัญหาคล้ายๆกัน คือ Jacques Audiard


No comments: