Saturday, May 30, 2020

THE BEACHES OF OROUET (1971, Jacques Rozier, France, 150min, A+30)


THE BEACHES OF OROUET (1971, Jacques Rozier, France, 150min, A+30)

1.Easily one of my most favorite films of all time มีสิทธิติดอันดับสองประจำปีนี้ รองจาก RIDDLES OF THE SPHINX (1977, Laura Mulvey, Peter Wollen, UK)

2.ทำไมหนังมันสร้างความรื่นรมย์ให้กับเราได้มากขนาดนี้ ทำไมมันถึงดูเป็นธรรมชาติสุดๆขนาดนี้ สงสัยว่ามันเขียนบทยังไง ทำไมมันดูเป็นธรรมชาติมากๆ ดูแล้วนึกถึงตอนไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อนๆมากๆ อินสุดๆ คือแค่ 15 นาทีแรก พอมีฉากที่สามสาวหัวเราะกันจนหยุดไม่ได้ขณะแบกกระเป๋าขึ้นเนินทราย เราก็รู้แล้วว่าหนังเรื่องนี้น่าจะได้ A+30 จากเราอย่างแน่นอน เหมือนหนังมันเข้าใจ “ความสุขเวลาอยู่กับเพื่อน” ในแบบของเราได้จริงๆน่ะ การหัวเราะจนหยุดไม่ได้กับอะไรบ้าๆบอๆเล็กๆน้อยๆ  การกรี๊ดๆกร๊าดๆไปเรื่อยๆกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

หนังมันคว้าจับโมงยามของความสุขขณะไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆได้ตรงใจเรามากที่สุดจริงๆ น่าจะมากที่สุดในบรรดาหนังที่เคยดูมาในชีวิตนี้เลยมั้ง

3.เหมือนเราตั้งจิตอธิษฐานมานานหลายสิบปีแล้วว่า อยากดูหนังแบบนี้ หนังที่นำเสนอความสุข ความรื่นรมย์ขณะไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ โดยไม่ต้องมีดราม่าอะไร และไม่ต้องพยายามบีบชีวิตตัวละครให้ “ดูน่าตื่นเต้นในสายตาของผู้ชมทั่วไป”  ไม่ต้องพยายามบีบหนังให้เข้าสูตรสำเร็จที่วางไว้ สามสาวในเรื่องไม่ต้องไปเจอผี, เจอเรื่องสยองขวัญ, เจอฆาตกรโรคจิต, เจอเหตุการณ์สำคัญหรือบทเรียนสำคัญที่จะทำให้ตัวละครต้องพูดกับผู้ชมในตอนจบว่า “I never was the same again after that summer.”  และไม่จำเป็นต้องเจอ love of a lifetime ด้วย หนังแค่นำเสนอโมงยามของการไปเที่ยวพักผ่อน คว้าจับความรื่นรมย์ของมันออกมา โดยไม่ต้องบิดมันให้เข้ากับสูตรสำเร็จใดๆ

4.ช่วงราวๆหนึ่งชั่วโมงแรกของหนังก็เป็นอย่างที่เราเคยตั้งจิตอธิษฐานไว้จริงๆ ชอบแต่ละโมเมนต์ในช่วงแรกของหนังมากจนเราอยากร้องไห้ ชอบการหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลังของสามสาวขณะออกเสียง Orouet , ชอบการถ่ายทอดกิจกรรมต่างๆของตัวละคร

5.แต่ตอนหลังหนังก็ใส่ romantic drama เข้ามาบ้าง เมื่อมีตัวละครสองหนุ่มโผล่แทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการท่องเที่ยวพักผ่อนของสามสาว แต่ดีที่หนังถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้เป็นธรรมชาติมากๆ ทั้งการแล่นเรือใบ, การร้องกรี๊ดขณะหนีปลาอะไรสักอย่างในบ้าน, etc. คือถึงมันจะมีความเป็น romantic drama เข้ามาในหนัง แต่มันก็ไม่ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตตัวละครถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับอารมณ์ romantic drama น่ะ หนังมันยังคงทำให้เราเชื่อได้ว่า ตัวละครเป็นมนุษย์จริงๆอยู่

6.คือถ้าหากหนังมันเน้นความโรแมนติกมากกว่านี้ มันก็จะกลายเป็นหนัง Eric Rohmer ไปน่ะ แต่ดีแล้วที่ Jacques Rozier เลือกไปอีกทางนึง และเน้นโมงยามของความรื่นรมย์แห่งการพักผ่อนแทน โดยไม่ต้องเน้นความโรแมนติก

7.ถ้าหากเทียบกับหนังกลุ่ม “ชายทะเล” ของ Eric Rohmer เราก็ชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่า THE GREEN RAY (1986) นะ เหมือนมันดีกันไปคนละแบบ เพราะ THE BEACHES OF OROUET เน้นโมงยามของความรื่นรมย์ขณะได้อยู่กับเพื่อนๆ ส่วน THE GREEN RAY นั้น นางเอกเหมือนจะมีปัญหาในการทำตัวให้เข้ากับคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นหนังก็เลยไปเน้นที่สภาพจิต, อารมณ์, อุปนิสัย, ความนึกคิดของนางเอกแทน และ THE GREEN RAY มันสามารถสร้างอารมณ์สะเทือนใจขั้นสูงสุดได้ เราก็เลยชอบ THE GREEN RAY มากกว่า

แต่เราก็ชอบ THE BEACHES OF OROUET พอๆกับ PAULINE AT THE BEACH (1983) และ A SUMMER’S TALE (1996)  นะ และชอบมากกว่า LA COLECCTIONNEUSE (1967)

8. THE BEACHES OF OROUET ทำให้นึกถึงหนังไทยบางเรื่องเหมือนกัน ซึ่งได้แก่

8.1 เวียนหัว และ เมื่อยก้น IN TRAIN (2011, Boripat Plaikaew, documentary, 84min) ที่เป็นสารคดีบันทึกเรื่องราวของเกย์ 4 คนขณะไปเที่ยวภาคเหนือของไทย

แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่าพอมันเป็นหนังสารคดี IN TRAIN ก็เลยเหมือนไม่สามารถจับอารมณ์ของความรื่นรมย์ออกมาได้อย่างเต็มที่น่ะ คือเหมือนเวลาเราไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เราก็สามารถปลดปล่อยตัวเองได้อย่างเต็มที่ พูดอะไรหีๆห่าๆ ทำอะไรหีๆห่าๆกับเพื่อนที่ “รู้ใจเรา”, “มีประสบการณ์ชีวิตร่วมกับเรา”, “มีโลกจินตนาการร่วมกับเรา” ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากมันมีกล้องของหนังสารคดีจับภาพเราอยู่ เราก็จะไม่กล้าปลดปล่อยตัวเองอย่างเต็มที่น่ะ

เราก็เลยรู้สึกว่าพอมันเป็นหนัง fiction อย่าง THE BEACHES OF OROUET มันเลยกลายเป็นว่าเราดูแล้วกลับอินมากกว่า ดูแล้วนึกถึงประสบการณ์การไปเที่ยวของเรามากกว่า ในขณะที่หนังสารคดีอย่าง IN TRAIN นั้น เหตุการณ์ในหนังอาจจะเป็น “เรื่องจริง” ก็จริง แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่า การมีกล้องคอยถ่ายอยู่ อาจจะเป็นปัจจัยอย่างนึงที่ทำให้ subjects ของหนัง “ระวังตัว” และไม่ปลดปล่อยตัวเองออกมามากเท่าที่ควร

8.2 STILL (2008, Wisarut Deelorm, 52min)

ถ้าเราจำไม่ผิด STILL เล่าเรื่องของเพื่อนสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง ที่เดินทางจากกรุงเทพไปชายทะเลด้วยกัน หนังดูจริงมากๆในบางฉาก แบบถ่ายตัวละครนั่งนิ่งๆเป็นเวลานานอะไรทำนองนี้ 555

คือ STILL มันเป็น fiction เหมือน THE BEACHES OF OROUET ก็จริง และมันไม่มีดราม่าหนักหนา ไม่พยายามทำตัวเป็นหนัง popular genre ก็จริง แต่เหมือนมันเน้นคนละอารมณ์กับ THE BEACHES OF OROUET น่ะ STILL เหมือนเน้นอารมณ์แบบหนังอาร์ตนิ่งช้า ซึ่งมันคนละอารมณ์กับสิ่งที่เรารู้สึกขณะไปเที่ยวชายทะเลกับเพื่อนๆ คือเวลาที่เราไปเที่ยวชายทะเลกับเพื่อนๆ เราจะรู้สึกแบบเดียวกับในหนัง THE BEACHES OF OROUET นี่แหละ เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในหนังอาร์ตนิ่งช้าแบบ STILL 55555

8.3 หนังไทยที่เราชอบในระดับทัดเทียมกับ THE BEACHES OF OROUET ก็คือ WITHIN RELATION ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน (2018, Tinnapat Lertutsahaphan, 22min) น่ะ ซึ่งเป็นหนังที่เราดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง หนังเล่าเรื่องของเพื่อนๆสามคนที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันก่อนเรียนจบมหาลัย หนังทำออกมาได้เป็นธรรมชาติมากๆ และสามารถสร้างอารมณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรงให้กับเราได้

คือสถานการณ์ของ THE BEACHES OF OROUET กับ WITHIN RELATION มันต่างกันน่ะ อารมณ์ของหนังมันก็เลยต่างกัน ถึงแม้มันจะเป็นหนังเกี่ยวกับ vacation ของเพื่อนๆที่ดูเป็นธรรมชาติสุดๆเหมือนกันก็ตาม เพราะ THE BEACHES OF OROUET เหมือนพูดถึง “การพักผ่อนในฤดูร้อนนึงของชีวิตผู้ใหญ่”  และนำเสนอตัวละครที่มีงานมีการทำแล้ว เป็นสาวออฟฟิศที่รู้สึกว่า ช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงของการไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วก็ต้องกลับมานั่งทำงานออฟฟิศ 11 เดือน แล้วก็ได้ไปเที่ยว 1 เดือน แล้วก็กลับมานั่งทำงานออฟฟิศ 11 เดือน วนเวียนไปเรื่อยๆ อะไรแบบนี้ THE BEACHES OF OROUET ก็เลยเหมือนนำเสนอ “ช่วงเวลาแห่งความสุข 1 เดือนต่อปี ในวัฏจักรชีวิตแบบเดิมๆ”

ส่วน WITHIN RELATION นั้น มันนำเสนอความหอมหวานและความเจ็บปวดของจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญจุดนึงของชีวิตน่ะ นั่นก็คือช่วงเวลาที่กำลังจะเรียนจบมหาลัย ช่วงที่เรา “รู้สึกมีความสุขสุดๆขณะได้เที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ” แต่ก็เป็นช่วงเวลาของความรู้สึกไม่มั่นใจและความหวาดกลัวต่ออนาคตข้างหน้า และความเจ็บปวดที่รู้ว่า ชีวิตต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพื่อนแต่ละคนก็จะต้องแยกย้ายกันไปทำงาน, เรียนต่อ, มีชีวิตของตัวเอง WITHIN RELATION ก็เลยเหมือนนำเสนอช่วงเวลาของชีวิตที่ “รู้สึกมีความสุขสุดๆที่ได้อยู่กับเพื่อนๆที่เรารัก” และ “เจ็บปวดและเศร้าสร้อยที่รู้ว่า ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชีวิตจะต้องเดินหน้าต่อไป และโมงยามแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มันเป็น MOMENT ที่ทั้งสุขสุดๆและเศร้าสุดๆในเวลาเดียวกัน

เราก็เลยชอบทั้ง THE BEACHES OF OROUET และ WITHIN RELATION ในระดับที่มากสุดๆพอๆกัน เหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้มันนำเสนอตัวละครที่อยู่กันคนละจุดในสายธารแห่งชีวิต แต่ก็สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างงดงามสุดๆไม่แพ้กัน




No comments: