ช่วงบันทึกความทรงจำ/บันทึกกรรม
เห็นหลายคนเขียนสรุปชีวิตตัวเองตอนช่วงส่งท้ายปีเก่า/ขึ้นปีใหม่ในวันที่
31 ธ.ค.-1 ม.ค.ที่ผ่านมา เราก็เลยอยากทำบ้าง แต่เราก็ไม่ได้ทำ
เพราะช่วงนั้นเราอยู่ในระหว่างการพักฟื้นหลังผ่าตัดต้อกระจกครั้งที่สอง เหมือนชีวิตของเราในช่วงนั้นยังอยู่ภายใต้ความหวาดผวาเรื่องการระวังรักษาดวงตาตลอดเวลา
เราก็เลยกะว่าเรามาเขียนบันทึกความทรงจำ สรุปชีวิตตัวเองหลังการพักฟื้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจะดีกว่า
ซึ่งจริงๆแล้วดวงตาเราหายกลับมาเป็นปกติ โดนน้ำได้นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.
แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าดวงตามันดีจริงแล้วหรือเปล่า
เราก็เลยยังไม่ได้เขียนสรุปชีวิตตัวเองสักที แล้วงานก็ยุ่ง ๆ ด้วย
ในที่สุดเราก็เพิ่งได้มีโอกาสหายใจหายคออย่างเต็มที่ก็ช่วงหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์นี่แหละ
ก็เลยได้เขียนเสียที 555
เราขอเน้นจดบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับความหวาดกลัวกฎแห่งกรรมของตัวเองก็แล้วกัน
สาเหตุที่เราหวาดกลัวการผ่าตัดต้อกระจกในช่วงที่ผ่านมามากกว่าคนปกติ
เป็นเพราะเรากลัวว่าเราอาจจะตาบอดได้ โดยเป็นผลจากกฎแห่งกรรมที่เราเคยทำร้ายลูกแมวตอนที่เราเป็นเด็กๆ
อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปนานแล้วว่า ตอนที่เราเป็นเด็ก อายุน่าจะประมาณ 7-8 ขวบ
เราเคยแกล้งลูกแมวตัวเล็ก ๆ ตัวนึง ด้วยการเอาน้ำส้มสายชูไปหยดใส่ลูกตาของมัน แล้วมันก็คงเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก
เราก็เลยจะเอาน้ำเปล่าไปหยดใส่ลูกตาของมัน เผื่อจะช่วยเจือจางน้ำส้มสายชูได้
แต่มันก็กลัว ก็เลยพยายามต่อสู้ ไม่ยอมให้เราหยดน้ำเปล่าใส่
แม่แมวได้ยินเสียงลูกแมวร้อง ก็เลยมาช่วยเลียลูกตาของมัน
เราจำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่า
หลังจากนั้นตาของลูกแมวบอดหรือเปล่า
เราจำได้แต่ว่าหลังจากนั้นอีกไม่นานลูกแมวตัวนั้นก็ตายไป
พอเราเริ่มโตขึ้น
และรู้ผิดชอบชั่วดี เราก็สำนึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป บางทีเราก็อยากจะฆ่าตัวตาย
(เพราะปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง และเพราะเกลียดตัวเองที่เคยทำบาปมหันต์แบบนี้ด้วย) แต่คิดได้ว่าถึงฆ่าตัวตายไป
ก็คงไม่สามารถช่วยชีวิตลูกแมวตัวนั้นได้อยู่ดี
สิ่งที่ทำได้ก็คือใช้ชีวิตต่อไปแล้วพยายามทำดีเท่าที่พอทำได้เท่านั้นเอง
เดี๋ยววันนึงกรรมก็ต้องตามทัน แล้วเราก็ต้องทำใจรับกรรมนั้นไป
บางทีเราก็แอบคิดด้วยซ้ำไปว่า
การที่เรามีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น
มันอาจจะเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราได้ทำกับลูกแมวตัวนั้นด้วยหรือเปล่า
เพราะนอกจากเราจะทำร้ายดวงตาของมันอย่างรุนแรงแล้ว เราอาจจะ “ทำร้ายจิตใจ”
ของลูกแมวตัวนั้นอย่างรุนแรงด้วย เพราะมันไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เรามักจะจินตนาการว่า
ถ้าหากตัวเราเองเป็นลูกแมวน้อยตัวนั้น เราจะรู้สึกยังไง เราอาจจะรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปก็ได้
ลองนึกดูสิ เราอยู่เฉย ๆ อยู่ดี ๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย อยู่ดี ๆ
ก็มีคนมาทำร้ายดวงตาของเราอย่างรุนแรง แล้วเราก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้
หากเราเป็นลูกแมวน้อยตัวนั้น นอกจากเราจะบาดเจ็บทางดวงตาอย่างแสนสาหัสแล้ว
เราก็อาจจะ “หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้าย” อีกต่อไปด้วย
พอเราป่วยเป็น
“จอประสาทตาฉีกขาด” ในปี 2019 แล้วต้องยิงเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาฉีกขาดถึง 4
จุด เราก็คิดว่านี่อาจจะเป็นเพราะกรรมตามทันแล้วล่ะ
แต่การยิงเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาฉีกขาดมันแทบไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ เลยนะ
เราก็เลยแอบสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะว่า เราใช้กรรมหมดแล้วยัง
ช่วงนั้นเราก็เลยเน้นบริจาคเงินให้โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้วเป็นระยะ
ๆ นะ ไม่รู้มันจะช่วยบรรเทากรรมของเราให้ทุเลาลงได้บ้างหรือเปล่า
แต่เราก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
พอมาถึงช่วงกลางเดือนมิ.ย.
2020 เราก็มีความสุขมาก เพราะช่วงนั้นโควิดในไทยซาลงมาก ๆ แล้ว เรากลับมาทำงานใน office อีกครั้ง รู้สึกชีวิตเข้าที่เข้าทาง ไปยิม
ดูหนังได้ตามปกติ happy
มาก ๆ
แต่ความสุขแบบสุด
ๆ ก็อยู่กับเราได้เพียงแค่ราว 2 สัปดาห์เท่านั้นมั้ง เพราะพอช่วงปลายเดือนมิ.ย.
2020 เราก็พบว่าอาการต้อกระจกของเรารุนแรงจนถึงขั้นต้องผ่าตัด
แต่เราเลือกได้ว่าจะผ่าตัดเมื่อไหร่ เราก็เลยกะไว้คร่าว ๆ ว่า ถ้าหากสถานการณ์ทุกอย่างเอื้ออำนวย
เราก็ขอผ่าเดือนธ.ค.ก็แล้วกัน เพราะปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง
ทั้งเรื่องความสะดวกในการลางานนานติดต่อกัน 45 วัน โดยใช้สิทธิวันลาของปี 2020+2021
มารวมเข้าด้วยกัน, การไม่ต้องกลัวว่าจะโดนฝนใน “ฤดูฝน” ,
การไม่ต้องกลัวว่าเหงื่อจะไหลเข้าตาใน “ฤดูร้อน” และเราจะได้มีเวลาเตรียมตัวจัดแจงทุกอย่างให้พร้อมด้วย
เนื่องจากเราใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวในอพาร์ทเมนท์ พึ่งพาอะไรใครไม่ได้
เราก็เลยต้องเตรียมอพาร์ทเมนท์ของเราให้พร้อมสำหรับการพักฟื้นหลังผ่าตัด
เพราะฉะนั้นช่วงเดือนก.ค.-พ.ย.
2020 เราก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่มันจะมี “เมฆหมอกแห่งความกังวล” อยู่ในใจเราตลอดเวลา
เรากังวลว่า การผ่าตัดจะราบรื่นหรือไม่, การพักฟื้น
ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในอพาร์ทเมนท์จะราบรื่นหรือไม่, เราจะป้องกันดวงตาไม่ให้โดนน้ำได้นานจนหายสนิทจริง
ๆ หรือเปล่า และยิ่งเรามีบาปกรรมมหันต์ที่เคยทำไว้กับลูกแมวด้วย
เราก็เลยยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีกว่า บางทีกรรมอาจจะตามทัน
แล้วทำให้เราตาบอดก็ได้ แต่ถ้าหากกฎแห่งกรรมใจดี เห็นว่าเราสำนึกผิดจริง ๆ แล้ว
เราอาจจะรอดก็ได้
ในที่สุดเราก็เข้าผ่าตัดต้อกระจกตาขวาในวันที่
6 ธ.ค. และผ่าตัดต้อกระจกตาซ้ายในวันที่ 20 ธ.ค. หลังผ่าตัดก็รู้สึกเจ็บปวดลูกตาบ้างแต่ไม่มากนัก
อย่างไรก็ดี หลังผ่าตัดตาซ้าย
เราก็รู้สึกว่าการมองเห็นมันผิดปกติ เหมือนมีฝ้าขาว ๆ
มาบดบังการมองเห็นในด้านล่างของตา อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปแล้วว่า มันเหมือนมีแอ่งน้ำตามากองอยู่จนบดบังการมองเห็นบางส่วนของเรา
ตอนนั้นเราก็เคยคิดว่า
บางทีฝ้าขาว ๆ นี้มันอาจจะเป็น “น้ำตาของลูกแมวน้อย” ตัวนั้นก็ได้
มันเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้ ทำให้เรามองเห็นไม่ชัด แล้ววันที่ 1
ม.ค.เราก็ไปตรวจตาอีกรอบ หมอตรวจพบว่าฝ้าขาว ๆนั้น มันคือเศษต้อกระจกที่เหลืออยู่
เราก็เลยตัดสินใจให้หมอผ่าเอาเศษต้อกระจกนั้นออกในวันที่ 10 ม.ค.
ซึ่งจะส่งผลให้ดวงตาของเราห้ามโดนน้ำจนถึงราว ๆ วันที่ 7 ก.พ. (4 สัปดาห์หลังผ่าตัด)
อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปแล้วว่า
หลังจากการผ่าเอาเศษต้อกระจกออก แล้วพอยาชาหมดฤทธิ์
คืนนั้นเราก็รู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก ๆ ที่ดวงตา มันเหมือนกับผ่าฟันคุด
แต่มันคือผ่าฟันคุดที่ลูกตา ในใจเราก็เลยคิดว่า นี่แหละ มันคือกรรมตามทันแล้วล่ะ
ลูกแมวน้อยตัวนั้นคงจะรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนี้เช่นกัน และอาจจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าเราหลายเท่าด้วย
ตอนนี้กรรมคงตามทันเราแล้ว เราก็ก้มหน้ารับกรรมของตัวเองไปก็แล้วกัน
พอเราคิดเช่นนั้น
เราก็สบายใจขึ้น มันเหมือนกับว่าเราโล่งใจที่ได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้เสียที
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า พอเราผ่านคืนวันที่ 10 ม.ค.มาได้ อาการเจ็บปวดก็ค่อย
ๆ ทุเลาลง แล้วตาเราก็เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ตอนนี้ตาซ้ายเราก็ยังไม่เห็นชัดเท่าตาขวานะ
แต่มันก็คงได้แค่นี้แหละ คือตาขวาเราจะสามารถอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ
ได้ทั้งตอนใส่แว่นสายตายาวและไม่ใส่แว่นสายตายาวน่ะ
แต่ตาซ้ายของเราจะไม่สามารถอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ได้หากมองด้วยตาเปล่า
ตาซ้ายของเราจะอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ได้ก็ต่อเมื่อเราใส่แว่นสายตายาวเท่านั้น
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราชดใช้กรรมที่ทำไว้กับลูกแมวน้อยตัวนั้นหมดแล้วยังนะ
เพราะเราก็มีอาการวุ้นลูกตาเสื่อมอยู่ และเราก็ยังกังวลว่าจอประสาทตาอาจจะฉีกขาดได้อีกในอนาคต
เราก็ได้แต่หวังว่าเราน่าจะใช้กรรมก้อนใหญ่หมดไปแล้ว และถ้าจะยังมีกรรมเหลืออยู่
ก็ขอให้เหลืออยู่แค่เศษกรรมอะไรที่เล็กน้อยมาก ๆ ก็แล้วกัน
ช่วงที่ผ่านมาเราก็เจออุบัติเหตุเล็ก
ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับลูกตาอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างเช่น
1.เราไปดูหนังที่สถาบันเกอเธ่
แล้วเราก็ฉีดสเปรย์กันยุงที่แขนเรา แต่มันมืด เรามองไม่เห็นปลายขวดสเปรย์กันยุงว่ารูพ่นมันหันไปทิศไหน
ปรากฏว่าพอฉีดไป ละอองสเปรย์กันยุงมันเลยเข้าตาเรา แต่เราไม่รู้สึกแสบหรือเคืองตาเลย
เราก็เลยไม่แน่ใจว่าสเปรย์มันเข้าตาเราจริง ๆ หรือเปล่า เราก็เลยไม่ได้ไปล้างตา
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น
ตาขวาเราแดงเลย เราก็เลยรู้ตัวว่าซวยแล้ว เราก็เลยรีบลางานเพื่อไปโรงพยาบาล
หมอตรวจพบว่าตาเราอักเสบ ก็เลยให้ยาหยอดตาแก้อักเสบมา โชคดีที่พอหยอดยาไปแค่วันเดียวตาเราก็หายแดง
2.บางทีพอเราขยับ
mask ที่หน้าเรา นิ้วเราก็เสือกทิ่มเข้าไปในลูกตาโดยไม่ได้ตั้งใจ
3.วันนี้ก็มีฝุ่นพัดเข้าตาเรา
ทำให้ตาเราแดงอยู่พักนึง
เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เลยทำให้เราคิดว่า บางทีมันอาจจะยังมีเศษกรรมของสิ่งที่เราเคยทำไว้กับลูกแมวน้อยหลงเหลืออยู่ก็ได้นะ เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของกรรมที่หลงเหลืออยู่ก็แล้วกัน เราก็คงทำได้แค่ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดต่อไป
No comments:
Post a Comment