HOME บ้าน (2021, Poom Thosamosorn ภูมิ โถสโมสร, 28min, A+30)
1.งดงามมาก ๆ
เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการบันทึกความทรงจำ, ความประทับใจ
และจินตนาการที่มีต่อบ้านเก่าที่ผู้กำกับเคยใช้ชีวิตอยู่ (เราไม่แน่ใจเรื่องจุดประสงค์ของหนังนะ
อันนี้เราเดาเอาเอง) โดยฉากหลังของมันเป็นคอนโดโทรม ๆ แห่งนึง หนังเล่าเรื่องของชายหนุ่มชื่อมาวิน
(อันนี้เราก็ไม่แน่ใจชื่อตัวละครเหมือนกัน) ที่กลับมาเยี่ยมพ่อกับย่าที่คอนโดแห่งนี้
และเขาก็ถือโอกาสนี้ถ่ายหนังที่คอนโดแห่งนี้ด้วย
เขาได้เจอกับเพื่อนเก่าชื่อเอสโดยบังเอิญ เอสก็เลยช่วยเขาถ่ายหนัง
แต่เนื้อหาส่วนนี้เป็นเพียงครึ่งนึงของหนังเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของหนังเป็นฉากต่าง
ๆ ในคอนโดแห่งนี้ที่เหมือนไม่ปะติดปะต่อกัน ฉากของผู้คนต่างๆ
ที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง ฉากที่ไม่รู้ว่าฝันหรือจริง อดีตหรือปัจจุบัน
และมีฉากที่สิ่งไม่มีชีวิตพูดคุยกันไปมาด้วย โดยฉากที่ไม่ปะติดปะต่อกันเหล่านี้จะถูกสอดแทรกเข้ามาในหนังเป็นระยะ
ๆ
2.แค่ฉากแรกของหนังเราก็ชอบสุด ๆ แล้ว ฉากที่มาวินยืนอยู่ในห้องโทรม ๆ,จ้องผนังสีแดง,
ออกไปยืนที่ระเบียง, เก็บซากนกตายไปโยนทิ้ง ฉากนี้ใช้เวลาหลายนาที และดูทรงพลังมาก
มันถ่ายทอด “บรรยากาศของสถานที่” ได้อย่างทรงพลังมาก ๆ และคุมแสง,เงาอะไรพวกนี้ได้อย่างลงตัว
งดงามมาก ๆ
แต่ฉากแรกนี้มันก็ทำให้เรานึกถึงหนังสั้นไทยที่เราชอบสุด ๆ
เรื่องอื่นๆ ด้วยนะ โดยเฉพาะพวกหนัง “ความผูกพันที่มีต่อบ้านเก่า ๆ” ของผู้กำกับจากลาดกระบัง
55555 อย่างเช่นเรื่อง เชื้อราในร่มบ้าน (2015, Pasit Tandaechanurat), LIVE LIKE
MISSING (2015, Karnchanit Posawat), FATHER IS A BUILDER พ่อเป็นคนสร้างบ้าน
(2018, Banvithit Wilawan) อะไรพวกนี้ คือฉากแรกมันทำให้เรานึกว่า
หนังเรื่องนี้อาจจะไปในทางคล้าย ๆ กับหนังไทยกลุ่มนี้น่ะ ซึ่งเป็นกลุ่มหนังที่เราชอบสุด
ๆ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นกลุ่มหนังที่มีคนเคยทำกันมาบ้างแล้ว
2.แต่ปรากฏว่าเราคิดผิด เพราะพอหนังเรื่องนี้นำเสนอฉากสิ่งไม่มีชีวิตคุยกัน
เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันมีความแปลก แตกต่าง มีความโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาในทันที
ชอบไอเดียนี้มากๆ
แต่เราก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่มันคุยกันในหนังเรื่องนี้
มันคืออะไรกันแน่นะ มันเป็นประตูสองบานคุยกัน, ฝาผนังคุยกัน หรือห้องสองห้องพูดคุยกันเอง
แต่พอเราได้ยินเอสกับมาวินคุยกันในฉากต่อมาเกี่ยวกับบานประตู เราก็เลยเดาว่าสิ่งไม่มีชีวิตที่คุยกันในหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นประตูสองบานคุยกันมั้ง
3.ชอบการนำเสนอความก้ำกึ่งระหว่างอดีตกับปัจจุบันด้วย
โดยเฉพาะฉากเด็ก ๆ ที่โผล่มาในหนัง คือเวลามีฉากเด็กโผล่มา เราจะไม่แน่ใจว่าเด็ก ๆ
เหล่านี้อยู่ในปัจจุบันขณะเดียวกับเอสและมาวิน หรือว่าเด็ก ๆ
เหล่านี้คือเอสและมาวินในอดีตกันแน่ เพราะมันมีฉากเด็กพับเรือกระดาษ และต่อมาเอสกับมาวินก็ดูเหมือนไปเล่นเรือกระดาษ
มันก็เลยดูราวกับว่าฉากเด็ก ๆ เหล่านี้มันเป็นอดีตหรือปัจจุบันก็ได้
4.ฉากบางฉากก็ไม่รู้ว่า surreal โดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า
แต่เราชอบมาก ๆ อย่างเช่นฉากชายอ้วน ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนมัน realistic แต่เรารู้สึกว่ามันแปลกตรงที่
4.1 เขาได้ยินเสียงปืน แต่เขาไม่ทำอะไร เหมือนเขาไม่ได้สนใจ
และไม่ได้กลัวอะไร
4.2 ทำไมเขาต้องนอนบนพื้น แทนที่จะนอนบนเตียง
4.3 ทำไมเขาต้องทำเหมือนจะนอนหลับ ทั้ง ๆ
ที่ต้มหม้อแกงหรืออะไรสักอย่างอยู่ใกล้ ๆ คือเราคิดว่าการนอนหลับใกล้ๆ
หม้อต้มแกงที่น่าจะใกล้เดือดพล่านแบบนี้มันดูผิดปกติวิสัยนะ 5555
5.ส่วนฉากที่ดู “เหนือจริง” แบบจงใจ เราก็ชอบสุด ๆ
ซึ่งก็คือฉากโสเภณีที่พอเอากับลูกค้าเสร็จ ก็ลุกขึ้นมายืนโพสท่าอย่างทรนงองอาจ
เราชอบฉากนี้มากที่สุดในหนังน่ะ เราว่ามันดูลงตัว และทรงพลังมาก ๆ
การจัดแสงสีในฉากนี้ก็ดูงดงามลงตัวดี บางทีอาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังทดลองแนวเศษเสี้ยวความทรงจำมั้ง
การนำเสนอฉากที่มันดูเหนือจริงหน่อยๆ แบบนี้ มันเลยดูลงตัวกับ form โดยรวมของหนัง
ในขณะที่ฉากอื่น ๆ ในหนังพอมันดู realistic มันเลยดูแห้ง ๆ
จืด ๆ กว่าฉากนี้อยู่บ้าง
เราว่าฉากนี้ทำให้เรานึกถึงภาพวาด MORNING SUN ของ Edward
Hopper ด้วย มันงดงามมาก ๆ
6.ส่วนฉากที่เราชอบสุด ๆ เป็นอันดับสอง ก็คือฉากบานประตูคุยกัน
และฉากที่เราชอบมากเป็นอันดับสาม ก็คือฉากที่กล้องถ่ายเงาสะท้อนเลื่อมพรายของ “น้ำ”
ที่สะท้อนไปบนเพดานทางเดิน/เพดานตึก เราว่าฉากนี้มันคล้าย ๆ
กับมุมมองของเราเวลาเห็น “สิ่งงดงามเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน” น่ะ
และเราชอบหนังที่ทอดสายตามองความงดงามของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันแบบนี้
7.ชอบความไม่อธิบายของหนังด้วย
โดยเฉพาะในส่วนของตัวละครหญิงสาว เราไม่รู้ว่าเธอร้องไห้เพราะอะไรกันแน่
เธอมีอดีตอะไรกับสถานที่แห่งนี้กันแน่ ส่วนตัวเรานั้นแอบสงสัยว่า
เธอเป็นแฟนของผู้ชายที่ยิงตัวเองตายหรือเปล่า
เพราะเหมือนเธอมาร้องไห้ในจุดที่เขายิงตัวตาย
8.ชอบที่หนังเหมือนปล่อยให้ผู้ชมจินตนาการไปเองก่อน
แล้วค่อยมาเฉลยทีหลังด้วย ซึ่งก็คือฉากชายชรารดน้ำต้นไม้
เพราะตอนแรกเราจะไม่รู้ว่าชายชราคนนี้คือใคร
แล้วหนังค่อยมาเฉลยทีหลังผ่านทางบทสนทนาของตัวละครว่าชายชราคนนี้อาจจะเป็นคนคนนึงในความทรงจำของมาวิน
9.ฉากการใช้หมากฝรั่งติดกระจก ก็เป็นฉากที่ดู realistic + surreal
คล้าย ๆ ฉากผู้ชายอ้วนเลย คือสองฉากนี้ถ่ายแบบ realistic ไม่ได้จัดแสงสีให้ดูเว่อร์เกินจริง นักแสดงก็เล่นแบบสมจริง
แต่สิ่งที่ตัวละครทำมัน weird ดี
10.สรุปว่าชอบหนังอย่างสุด ๆ ชอบที่หนังถ่ายทอดความทรงจำ
ความผูกพันที่มีต่อบ้านเก่าออกมาในแบบเป็น fragments แบบนี้
เพราะเราว่าความทรงจำของเราที่มีต่อช่วงเวลาต่าง ๆ ในอดีต มันก็เป็น fragments
แบบนี้เหมือนกัน คือมันมีฉากบางฉาก, ภาพบางภาพ, moments บาง moments, ความรู้สึกบางความรู้สึกที่เราจดจำได้จากอดีต
แต่ moments ที่เราประทับใจจากอดีตเหล่านี้
มันไม่ได้เรียงกันเป็น linear narrative ในหัวของเราน่ะ
อย่างเช่น เราชอบ “กระเป๋าผ้าร่ม” ที่แม่ชอบใช้เมื่อ 40 ปีก่อน แต่เราก็ไม่ได้มี narrative
อะไรเกี่ยวกับกระเป่าผ้าร่มนี้ หรือมันไม่ได้มีเหตุการณ์ตื่นเต้นสำคัญอะไรเกี่ยวกับกระเป๋าผ้าร่มนี้
หรือสมมุติว่าเราชอบ moments ที่เพื่อนคนนึงพูดกับเราเมื่อราว
30 ปีก่อนว่า “นัดไว้ทำไมไม่มา อีจิตรหายหน้าไปหาผัวใหม่” แต่เราก็คงไม่สามารถขยาย
moments ที่เราประทับใจนี้ให้เป็นฉากที่เล่าเรื่องราวอย่างเป็นจริงเป็นจังได้
คือ moments หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราประทับใจจากในอดีตนั้น หลายครั้งมันเป็น
fragments สั้น ๆ น่ะ
เราก็เลยชอบที่หนังเรื่องนี้นำเสนอความทรงจำหรือความประทับใจที่มีต่อสถานที่ในอดีต
โดยยังคงความเป็น fragments สั้น ๆ ของมันเอาไว้
ไม่ปะติดปะต่อกันเป็นเส้นเรื่องเดียวที่อธิบายทุกอย่างได้ง่าย ๆ
เราว่ามันสอดคล้องกับมุมมองของเราที่มีต่อความทรงจำของตัวเองเหมือนกัน
และเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าความคลุมเครือ, ความเป็น fragments, ความเหนือจริง
และการทับซ้อนกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันในหนังเรื่องนี้
มันก่อให้เกิดพลังบางอย่างที่ touch เราได้อย่างมาก ๆ น่ะ
คือมันเหมือนหนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีการแบบ “กวี” น่ะ
และเราว่าพลังของร้อยแก้วกับร้อยกรองหลายครั้งมันแตกต่างกัน หรือพลังของหนังแบบร้อยแก้ว
(หนังเล่าเรื่องทั่วไป) กับหนังแบบร้อยกรอง (หนังทดลอง/หนังเชิงกวี) มันแตกต่างกัน
คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีการแบบร้อยแก้ว
ซึ่งก็คือการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง เล่าว่าตัวละครตัวไหนเป็นใคร แต่ละตัวมีที่มาอย่างไร
ฉากนี้อยู่ในอดีตหรือปัจจุบัน และทำไมตัวละครถึงทำอย่างนั้น อย่างนี้ หนังมันก็จะทรงพลังในแบบร้อยแก้วน่ะ
ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็ชอบหนังทั้งแบบร้อยแก้วและร้อยกรองนะ เพียงแต่ว่า
เรารู้สึกว่า หนังแบบร้อยแก้วโดยทั่วไป เราสามารถอธิบายได้ง่ายกว่าน่ะว่า
เราชอบมันเพราะอะไร จุดไหน แต่หนังทดลอง/หนังเชิงกวีอย่างหนังเรื่องนี้นั้น
มันมักจะลงลึกไปแตะจิดใต้สำนึก หรืออะไรต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถอธิบายได้
หรือไม่สามารถเข้าใจได้ในจิตวิญญาณ, อารมณ์, ความรู้สึกของตัวเองน่ะ เราก็เลยชอบหนังเชิงกวีแบบนี้มาก
ๆ เพราะเหมือนหนังพวกนี้มันโดน “จิตใต้สำนึก” ของเรามากกว่าหนังแบบร้อยแก้ว แต่เราก็จะอธิบายได้ยากกว่าน่ะแหละว่า
อะไรในหนังกลุ่มนี้ที่มันทำงานกับเรา
ก็เลยสรุปว่า ชอบพลังแบบเชิงกวีของหนังเรื่องนี้อย่างมาก ๆ ดีใจมาก ๆ
ที่มีคนทำหนังแบบนี้ออกมา
11.ขอจบด้วยสิ่งที่เราถนัด นั่นก็คือการทำ list ว่า
ถ้าหากเราจะฉายหนังเรื่องนี้ เราอยากฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องไหนบ้าง
11.1 HOTEL MONTEREY (1973, Chantal Akerman, Belgium/USA, 65min)
ไม่มีคำบรรยายใด ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ จุดสุดยอดจุดหนึ่งของ “ภาพยนตร์”
11.2 THE LONG DAY CLOSES (1992, Terence Davies, UK)
เพราะหนังเรื่องนี้เน้นถ่ายทอดความทรงจำที่ผู้กำกับมีต่ออดีตของตนเองเหมือนกัน
และนำเสนอมันออกมาในแบบเชิงกวีได้อย่างงดงามมาก ๆ
11.3 THE CORRIDOR (1995, Sharunas Bartas, Lithuania, 85min)
เพราะหนังเรื่องนี้เน้นถ่ายบรรยากาศในอาคารห้องพักโทรม ๆ เหมือนกัน
และหนังเรื่องนี้ก็แทบไม่ได้เล่าเรื่องอะไรเลยด้วย แต่ถือเป็นหนึ่งในหนังที่งดงามที่สุดเท่าที่เราเคยดูมาในชีวิตนี้
https://www.imdb.com/title/tt0110278/?ref_=nv_sr_srsg_0
11.4 AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF
BEAUTY (2000, Jonas Mekas, documentary, 4hours 48mins)
หนังเรื่องนี้ก็เป็นการเก็บรวบรวม “เศษเสี้ยว”
ที่น่าประทับใจในชีวิตของผู้กำกับเอาไว้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ว่า Mekas เคยบันทึกเศษเสี้ยวเหล่านั้นเอาไว้ในรูปแบบของ
home movies ส่วนผู้กำกับคนอื่น ๆ อย่างเช่น Terence
Davies และผู้กำกับ HOME ต้องใช้วิธี
reconstruct เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเหล่านั้นขึ้นมาใหม่
11.5 THE MILLION DOLLAR HOTEL (2000, Wim Wenders)
เราว่าถ้าหากผู้กำกับหนังเรื่องนี้เลือกที่จะถ่ายทอดชีวิตคนในคอนโดเก่าให้กลายเป็น
“หนังเล่าเรื่อง” มันก็อาจจะออกมาเป็นแบบ THE MILLION DOLLAR HOTEL ซึ่งก็อาจจะไม่ดีเท่าแบบที่เป็นอยู่นี้
11.6 A PLACE OF DIFFERENT AIR สถานต่างอากาศ (2008,
Chaloemkiat Saeyong, 24min) หนังทดลองที่ผู้กำกับถ่ายบ้านตัวเอง
(ถ้าเข้าใจไม่ผิด)
11.7 ATMOSPHERE IN MY HOME AT 6AM บรรยากาศยามเช้าที่บ้านตอน
6 โมง (2011, Wachara Kanha, 16min)
11.8 THINGS (2014, Ben Rivers, UK)
ผู้กำกับถ่ายสิ่งต่าง ๆ ในบ้านของตัวเอง
11.9 HEAVEN NO. 1504 AND
SEDIMENTATION OF THE RENEWAL (2018, Sippakorn Aotrakul)
เหมือนผู้กำกับหนังเรื่องนี้เอาอดีตและความทรงจำของตนเองมาดัดแปลงเป็นหนังเชิงกวีที่งดงามสุด
ๆ
11.10 LAST NIGHT I SAW YOU SMILING (2019, Kavich Neang, Cambodia,
documentary)
เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายอาคารที่พักเก่าโทรมได้ออกมาทรงพลัง, งดงาม
และมีจิตวิญญาณมาก ๆ เหมือนกัน
No comments:
Post a Comment