NOTES FROM THE PERIPHERY (2021, Tulapop Saenjaroen, 14min, A+30)
1.พิศวงมาก ดูตอนแรกก็ชอบมากนะ
แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าใจหนังเท่าไหร่ 55555 (ความรู้สึกคล้าย ๆ ดูหนังของ Jean-Luc
Godard ที่ชอบมาก แต่ไม่เข้าใจ) จนกระทั่งได้เข้าไปอ่านที่คุณณัฐชนน
ธัญญศรีเขียนถึงหนังเรื่องนี้ แล้วถึงค่อยเข้าใจมากขึ้น
https://www.facebook.com/photo?fbid=4423821484318221&set=a.3942748755758832
2.ชอบการนำสิ่งที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเรียงร้อยต่อกัน
ตั้งแต่ปัญหาในแหลมฉบัง, การใช้ตู้คอนเทนเนอร์มาใช้เป็นเครื่องมือสกัดกั้นผู้ประท้วงฝ่ายประชาธิปไตย,
การพูดถึงเพรียง (barnacles)
และการที่หญิงสาวคนนึงพูดถึงการหาลู่ทางไปตั้งรกรากที่ประเทศอื่น ๆ
ตอนแรกก็งง ๆ กับการนำเรื่องพวกนี้มาเรียงร้อยต่อกัน
แต่พอได้อ่านที่คนอื่น ๆ เขียนถึงหนังเรื่องนี้ก็เลยทำให้เข้าใจถึงการเชื่อมโยงกันมากขึ้น
อย่างเช่นตู้คอนเทนเนอร์ในแหลมฉบัง
ซึ่งเหมือนเป็นการรุกล้ำเพราะอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทุนนิยมเข้ามาในแหล่งทำกินของชาวบ้าน
และตู้คอนเทนเนอร์ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของเผด็จการทางการเมืองในประเทศเดียวกันด้วย
เหมือนหนังในส่วนนี้มันสะท้อนทั้งการทำร้ายกดขี่ประชาชนทั้งในการทำมาหากิน,
การดำรงชีพ, เสรีภาพในการแสดงออก และนั่นย่อมทำให้คนบางส่วนในประเทศนี้ต้องการอพยพออกไป
เพื่อหาสถานที่ที่ “ปลอดภัย” และสามารถ “ดำรงชีพได้” ซึ่งก็เหมือนกับเพรียง
เพราะตอนแรกที่เพรียงเกิดมานั้น เพรียงจะปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำ แต่เมื่อเพรียงเติบโตมาถึงจุดนึง
เพรียงก็จะผ่านการ metamorphosis และหลังจากนั้นเพรียงก็จะต้องหาสถานที่ที่
“ปลอดภัย” และสามารถ “หาอาหารกินได้” เพื่อจะได้ฝังตัวอยู่บนพื้นผิวนั้นตลอดไป
คล้าย ๆ กับมนุษย์ที่เมื่อเติบโตมาจนถึงจุดนึง
ก็จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งรกรากเพื่อทำมาหากินเช่นกัน
เพียงแต่ว่าประเทศไทยที่ขาดไร้ซึ่งเสรีภาพในปัจจุบันมันเป็นสถานที่ที่เหมาะที่เราจะตั้งรกรากอยู่ตลอดไปหรือเปล่า
แล้วถ้าเราไม่สามารถดิ้นรนหนีไปอยู่ที่อื่นได้ เราจะกลายเป็นเหมือนขวดพลาสติกเปล่าในโขดหินที่รอวันเน่าสลายไปเรื่อย
ๆ ไหม
3.การนำเอาส่วนต่าง ๆ
ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเรียงร้อยต่อกันนี้ ทำให้นึกถึงหนังยุคแรก ๆ
ของคุณ Tulapop
เหมือนกันนะ อย่างเช่น “_____” (2006, 8min) และ
OUR WAVES (2006, 12min) แต่ไป ๆ มา ๆ แล้วดูเหมือนกับว่าการที่ผู้ชมจะคิดหาทางเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ในหนังยุคหลังของคุณ Tulapop อาจจะง่ายกว่าในหนังยุคแรก 55555 เพราะหนังยุคหลังของคุณ Tulapop มันดูเหมือนจะมีประเด็นที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยเฉพาะประเด็นทางสังคม
ผู้ชมก็เลยสามารถเชื่อมโยงประเด็นต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ง่ายขึ้น แต่หนังยุคแรกมันดูมีความเป็นนามธรรมสูงกว่า
แต่สิ่งที่เหมือนกันตั้งแต่หนังยุคแรกมาจนถึงหนังยุคหลังก็คือว่า
เรารู้สึกว่าหนังของคุณ Tulapop มีการ “กระตุ้นความคิด” ผู้ชมสูงมาก ๆ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังไทยด้วยกัน เหมือนความ thought provoking นี่เป็นจุดเด่นที่สุดจุดนึงในหนังของคุณ Tulapop
4.ในส่วนแรกของหนังที่พูดถึงปัญหาในแหลมฉบังนั้น สิ่งที่เราชอบมาก ๆ
ก็คือว่า เราว่าหนังสามารถหาวิธีถ่ายทอด “ความเลวร้ายของสังคม” หรือ “ภาพที่จริง ๆ
แล้วไม่น่ามอง” หรือ “ทัศนะอุจาด” ของท่าเรือ/นิคมอุตสาหกรรม/พื้นที่เสื่อมโทรม
ให้ออกมาแล้วเป็น “ภาพที่น่าประทับใจ” หรือ visually attractive น่ะ
โดยที่ยังคงสะท้อนปัญหาไปด้วย ไม่ใช่ให้ความสวยของภาพกลบปัญหาไปจนหมด
คือเราว่าสิ่งนี้มันยากมากน่ะ
คืออธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนกับว่า เราจะทำยังไงที่จะถ่ายภาพกองขยะ, ศพคนตายในสงคราม,
etc.
ให้ออกมาดูแล้วไม่อุจาด หรือดูแล้วอ้วกพุ่ง แบบภาพหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าถ่ายออกมาแล้วดูสวยงาม จนผู้ชมภาพถ่าย/ภาพยนตร์ลืมนึกถึงปัญหาสังคมอันนั้นไป
เหมือนตากล้อง/ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ทำงานด้านนี้ต้องเก่งมากจริง ๆ ถึงจะถ่ายภาพ “ความเลวร้าย”
ให้ออกมาดูแล้วมีความน่าประทับใจ ไม่อุจาด มีความงดงามในแบบของมัน แต่สะเทือนอารมณ์ผู้ชมให้ตระหนักถึงปัญหาอย่างรุนแรงไปด้วยในเวลาเดียวกัน
นึกถึงผลงานภาพถ่ายของ Sebastião Salgado อะไรทำนองนี้
ที่เป็นภาพถ่ายที่งดงามสุด ๆ แต่ก็ทรงพลังในแง่การสะท้อนความโหดร้ายของโลกได้ในเวลาเดียวกันด้วย
เราว่าส่วนแรกของหนังเรื่องนี้ ทำตรงจุดนี้ได้สำเร็จนะ
เราว่าหนังมันดู visually attractive สุด ๆ น่ะ แต่ก็ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความยากลำบากของชาวบ้าน
และความไม่น่าอภิรมย์ของแหลมฉบังไปด้วยในเวลาเดียวกัน
5.สาเหตุที่เราดูแล้วรู้สึกว่า หนังส่วนแรกมันสวยมาก ๆ
แต่ก็สะท้อนปัญหาไปด้วยได้ดีมาก อาจจะเป็นเพราะว่าหนังใช้เทคนิคดังต่อไปนี้ร่วมด้วย
5.1 การซ้อนภาพกันไปมา superimposition กันไปมา
คือเหมือนพอภาพต่าง ๆ มันมาซ้อน ๆ กัน มันมักจะก่อให้เกิด “ความสวย” เป็นอย่างมาก
ในหนังทดลองโดยทั่วไป แต่ในหนังเรื่องนี้นั้น การซ้อนภาพกันไปมา มันได้ทั้งความสวย
และ sense ของความสับสนวุ่นวายน่ารำคาญของโลกอุตสาหกรรม/ทุนนิยมอำมหิตด้วย
5.2 การใช้เทคนิคดิจิทัลมาทำ effect กับภาพต่าง ๆ ซึ่งทำให้ภาพมันดูสวยขึ้นมาก
แต่ตัวเนื้อหาของภาพนั้นมันก็ยังสามารถสะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ของแหลมฉบังได้เหมือนเดิม
5.3 การย้อมสีภาพ หรือทำ color effects ให้กับวัตถุต่างๆ ในภาพ โดยเฉพาะการย้อมสีสันสวยสดงดงามให้กับภาพกลุ่มผู้ประท้วงที่แหลมฉบัง
(ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) หรือการย้อมสีเขียวให้กับฉากการใช้ตู้คอนเทนเนอร์กับกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตย
5.4 การใช้ sound effects ที่ “ไพเราะแต่กวนประสาท” ที่เราชอบสุด ๆ
สุดยอดมาก ๆ คือเราว่า sound effects ในหนังมันได้ทั้งความไพเราะแบบดนตรี
electronic แต่ได้อารมณ์กวนประสาท
และสื่อถึงความไม่น่าอยู่ของแหลมฉบังไปด้วยในเวลาเดียวกัน
6.เราว่าการใช้เทคนิคต่าง ๆ ตามที่เราระบุมาในข้อ 5
มันช่วยสร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดีระหว่างงาน video art แบบหนังเรื่องนี้
กับหนังสารคดีด้วย คือถ้าหากเป็นหนังสารคดีที่พูดถึงปัญหาสังคม
โดยส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ต้องทำ superimposition, digital effects, color
effects, sound effects, etc. รุนแรงขนาดนี้น่ะ แต่มันจะเน้นนำเสนอภาพความเลวร้ายตามความเป็นจริงไปเลย โดยไม่ต้องสร้างความงดงามด้านภาพมากขนาดนี้
คือในส่วนแรกของหนังนั้น เรานึกถึงหนังสารคดีที่เราชอบมาก ๆ 3 เรื่อง
ซึ่งได้แก่
6.1 แหลมฉบัง คลื่นทุกข์ โถมซ้ำซาก (2012, Kunnawut Boonreak, documentary,
16min)
6.2 THE THIRD EYE (2013, Unaloam Chanrungmaneekul, Thitiphun
Bumrungwong, documentary, 42min)
หนังเรื่องนี้นำเสนอความทุกข์ยากของชาวบ้านเพราะปัญหาแหลมฉบังเหมือนกัน
6.3 มาบตาพุด (2013, ทีมเข้าใจคิด, จามร
ศรเพชรนรินท์, สันติ ศรีมันตะ)
เรารู้สึกว่าปัญหาของมาบตาพุดกับแหลมฉบังอาจจะมีความใกล้เคียงกัน
https://www.youtube.com/watch?v=3E_k8PgLFv8
คือตอนแรก ๆ เรานึกว่า NOTES FROM THE PERIPHERY มันจะพูดในสิ่งที่ซ้ำกับหนังสารคดี
3 เรื่องนี้หรือเปล่า แต่ก็ปรากฏว่ามันเหมือนละไว้ในฐานที่เข้าใจไปเลย 55555
คือไม่ต้องพูดอธิบายชี้แจงซ้ำในสิ่งที่หนังสารคดีเหล่านี้ได้ทำไปแล้ว และ
NOTES FROM THE PERIPHERY ยังสามารถนำเสนองานด้านภาพที่แตกต่างจากหนังสารคดีเหล่านี้เป็นอย่างมากได้ด้วย
7. ส่วนครึ่งหลังของหนังนั้น ก็ทำให้นึกถึง WHERE WE BELONG (2019, Kongdej
Jaturanrasamee) ด้วย
ในแง่การพูดถึงหญิงสาวที่อยากหนีไปจากประเทศไทย
คือถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับว่า NOTES FROM THE PERIPHERY ทำให้เรานึกถึงประเด็นในหนังสารคดี 3 เรื่องข้างต้น รวมกับประเด็นในหนัง fiction
เรื่อง WHERE WE BELONG น่ะ
ซึ่งเราก็ชอบทั้งหนังสารคดี, หนัง fiction และงาน video
art แบบหนังเรื่องนี้นะ เราว่าหนังแต่ละแบบมันมีข้อดีแตกต่างกันไป หนังสารคดีอาจจะนำเสนอปัญหาแหลมฉบังได้โดยตรง
แต่ก็อาจจะไม่ได้กระตุ้นความคิดเราให้นึกถึงปัญหาอื่น ๆ ที่กว้างกว่าแหลมฉบัง
แบบที่ NOTES FROM THE PERIPHERY สามารถทำได้ ส่วนหนัง fiction
แบบ WHERE WE BELONG ก็อาจจะสร้างอารมณ์สะเทือนใจที่เรามีต่อตัวละครได้อย่างรุนแรงกว่า
แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นความคิดเราในแบบที่ NOTES FROM THE PERIPHERY สามารถทำได้เช่นกัน เราก็เลยรู้สึกว่า ถึงแม้ NOTES FROM THE
PERIPHERY จะทำให้เรานึกถึงบางประเด็นที่คล้ายกับหนัง 4 เรื่องข้างต้น แต่มันก็มีข้อดีในแบบของมันเองที่ไม่ซ้ำกับหนังเรื่องอื่น ๆ
และก็มีงานด้าน visual effects ที่น่าประทับใจไม่แพ้หนังเรื่องอื่นๆ
เลยด้วย
8.ชอบที่หนังมันเหมือนเล่นกับอะไรบางสิ่ง อย่างเช่น
8.1 ตู้คอนเทนเนอร์ในแหลมฉบัง กับตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้กีดกันผู้เรียกร้องประชาธิปไตย
8.2 เพรียงที่ริมทะเล กับชีวิตมนุษย์ที่ต้องการสถานที่ที่ safe เพื่อจะได้ปักหลัก
ตั้งรกราก แบบเดียวกับเพรียง
8.3 การเล่นกับคำว่า ship ที่แปลว่าเรือ กับ ship
ที่ใช้เป็น suffix ที่แปลว่า “ความ”
หรืออะไรทำนองนี้ 55555
9. ตอนแรกก็งง ๆ กับภาพรูปทรงแปลก ๆ ที่ตัวละครผู้หญิงถือในหนังเรื่องนี้
แต่เราเดาว่าภาพรูปทรงแปลก ๆ มันมาจากอะไรพวกนี้
9. พอมีฉากการเก็บหอยในหนังเรื่องนี้แล้ว เราก็เลยนึกถึง DOUBLE TIDE (2009, Sharon
Lockhart) เลย 5555
แต่ฉากการเก็บหอยในหนังเรื่องนี้คือขั้วตรงข้ามของ DOUBLE TIDE เพราะในขณะที่ DOUBLE TIDE เหมือนสะท้อนความงามของธรรมชาติ
ฉากการเก็บหอยหรือการหาปลาของชาวบ้านใน NOTES FROM THE PERIPHERY คือการสะท้อนความเหี้ยห่าของโลกอุตสาหกรรม/ทุนนิยม
ที่เข้ามาสร้างความยากลำบากให้แก่ชาวบ้านในการหากินตามธรรมชาติ
10. ฉากจบของหนังเรื่องนี้
ที่เป็นขวดพลาสติกเปล่าที่ติดอยู่ในโขดหินริมน้ำนั้น ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง APPLE IN THE RIVER (1974, Aivars
Freimanis, Latvia) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะใน APPLE IN
THE RIVER ก็มีฉากแอปเปิลติดอยู่ในโขดหิน และเหมือนเป็นการอุปมาอุปไมยสะท้อนชีวิตแร้นแค้นของหนุ่มสาวในยุคสหภาพโซเวียตที่
“อับจนหนทางไป” เหมือนกัน นอกจากนี้ ตัวละครพระเอกของ APPLE IN THE RIVER ก็อาศัยอยู่ในเกาะกลางแม่น้ำในแลตเวีย
แต่เขากับชาวบ้านทั้งเกาะก็ต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน เพราะถูกทางการไล่ที่ด้วย
ซึ่งก็อาจคล้ายกับชีวิตชาวบ้านแถบแหลมฉบัง/มาบตาพุด
ที่เผชิญกับความเลวร้ายจากความเจริญทางอุตสาหกรรมเหมือนกัน
สรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกทุนนิยมเผด็จการแบบไทย หรือโลกคอมมิวนิสต์
ชีวิตชาวบ้านก็ทุกข์ยากลำบากไม่แพ้กัน จบ
No comments:
Post a Comment