Divine Intervention ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ทำให้ดิฉันร้องไห้มากที่สุดในชีวิตค่ะ ดิฉันรู้สึกเหมือนกับโดนหนังเรื่องนี้วางระเบิดเวลาไว้ข้างในตัวดิฉันเอง เพราะขณะที่ดิฉันดูหนังเรื่องนี้อยู่ ดิฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกบีบให้เศร้าจนร้องไห้ ดิฉันเดินออกมาจากโรงด้วยความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดีจริงๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันบาดใจอย่างรุนแรง แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบไปได้ประมาณ 10 นาที ระเบิดเวลาก็เริ่มทำงาน เพราะอยู่ดีๆดิฉันก็ร้องไห้จนหยุดไม่ได้ ร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 3 โมงจนถึงเที่ยงคืน ทำยังไงก็หยุดไม่ได้ ดิฉันเดาว่าหนังเรื่องนี้มันคงมีอิทธิพลบางอย่างกับจิตใต้สำนึกของดิฉัน มันถึงทำให้ดิฉันร้องไห้อย่างรุนแรงโดยที่ดิฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกก็คือตัวละครในเรื่องนี้แทบไม่มีใครร้องไห้เลย เท่าที่ดิฉันจำได้ มีฉากเดียวเท่านั้นที่มีคนร้องไห้ นั่นคือหลังจากที่พ่อพระเอกตาย พระเอกก็อยู่ในครัวและกล้องก็จับให้เห็นว่าพระเอกน้ำตาไหลออกมา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในฉากนั้นพระเอกกำลังหั่นหัวหอมอยู่ เราไม่รู้ว่าตกลงพระเอกร้องไห้ในฉากนั้นเพราะอะไรกันแน่
ดิฉันได้ไปดู Divine Intervention รอบสอง และพบว่าหนึ่งในฉากที่ทำให้ดิฉันร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรงก็คือฉากนินจาสาว ในฉากนั้นดิฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้าและความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเห็นทหารนำรถถังและกองทัพเข้ามาเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ เห็นพวกเขาบุกเข้ามาในถิ่นของเรา บุกเข้ามาในหมู่บ้านของเรา แล้วก็ไล่ฆ่าผู้คนต่อหน้าต่อตาเรา พวกเขาเข้ามาเข่นฆ่าครอบครัวของเราต่อหน้าต่อตา และเราก็ไม่มีอะไรที่จะต่อสู้ได้เลย เรามีเพียงแค่ก้อนหินเท่านั้น แต่ถึงแม้เราจะมีเพียงแค่ก้อนหินเป็นอาวุธ เราก็จะสู้จนสุดใจขาดดิ้น มันมีรถถัง เรามีก้อนหิน แต่เราก็จะขอสู้จนตัวตาย เรามีเพียงแค่มีดทำครัว เราก็จะใช้มีดทำครัวนี่แหละสู้กับรถถัง มันเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่แปลกก็คือ “ภาพที่ปรากฎทางตา” ในฉากนั้นไม่ได้มีการฆ่าฟันประชาชนเลย “ภาพที่ปรากฏทางตา” ในฉากนั้นมีเพียงแค่การเต้นรำเข้ากับจังหวะเพลงของทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ “ภาพที่ปรากฏในใจดิฉัน” ในฉากนั้นคือภาพของความรู้สึกเจ็บแค้นอย่างที่สุดในชีวิต ฉากนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังกำก้อนหินอยู่ในมือ และทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าดิฉันยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะขว้างก้อนหินเข้าใส่ทหารทั้งๆที่รู้ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ตัวเองถูกยิงตาย
สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกก็คือในขณะที่ Divine Intervention ทำให้ดิฉันรู้สึกรุนแรงอย่างมากๆกับความอยุติธรรมและความโหดเหี้ยมในโลกนี้ หนังเรื่องนี้กลับใช้วิธีการนำเสนอที่ตรงข้ามกับหนังหลายๆเรื่องที่พูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกลุ่มอื่นๆ หนังเกี่ยวกับการฆ่าหมู่คนกลุ่มอื่นๆมักนำเสนอภาพของความโหดเหี้ยมหรือเล่าเรื่องราวของความโหดเหี้ยมอย่างตรงไปตรงมา แต่ Divine Intervention กลับแทบไม่ได้ให้เราเห็นภาพเหล่านั้นทางตาเลย Divine Intervention เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่สิ่งที่ “ดวงตา” ของดิฉันเห็น กับสิ่งที่ “ใจ” ดิฉันสัมผัสแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกสองฉากในเรื่องนี้ที่ดิฉันรู้สึกอย่างนี้ก็คือฉากที่พระเอกทิ้งบุหรี่หรืออะไรสักอย่างออกไปนอกรถแล้วรถถังที่อยู่ข้างทางก็ระเบิด นั่นคือสิ่งที่ตาเห็น แต่สิ่งที่ใจดิฉันรู้สึกกลับเป็นความรู้สึกของคนที่เห็นรถถังแล่นเข้ามาฆ่าคนในหมู่บ้านเราทุกวัน เราอยากจะระเบิดรถถังนั้นเหลือเกิน แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้เลย เราได้แต่เห็นรถถังนั้นแล่นเข้ามาฆ่าคน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เราทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่เราทำได้มีเพียงแค่ “จินตนาการว่าเราได้ระเบิดรถถังนั้น” เท่านั้น
อีกฉากหนึ่งในเรื่องนี้ที่รู้สึกใกล้เคียงกันก็คือฉากที่นางเอกเดินผ่านด่านข้ามพรมแดนไปได้อย่างง่ายดาย นั่นคือสิ่งที่ตาเห็น แต่สิ่งที่ใจดิฉันรู้สึกก็คือความรู้สึกของคนที่อยากเหลือเกินที่จะข้ามพรมแดน แต่ก็ข้ามไปไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ “จินตนาการว่าตัวเองเดินข้ามพรมแดนไปได้อย่างง่ายดาย” เท่านั้น มันเป็นความเจ็บปวดที่ดิฉันรู้สึกอินด้วยอย่างมากๆ ความเจ็บปวดของคนที่ไม่สามารถต่อสู้อะไรได้เลยกับความอยุติธรรมที่ดำเนินมานานหลายสิบปี สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่จินตนาการถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม และก็เฝ้ามองวงจรแห่งความเกลียดชังทวีความรุนแรงและแผ่ขยายตัวออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉากนึงที่ชอบมากใน Divine Intervention ก็คือฉากที่ผู้ชายคนนึงในรถคันข้างๆหันมามองพระเอกขณะที่มีเพลง I Put a Spell On You ดังอยู่ ดวงตาของผู้ชายคนนั้นมันบาดใจดิฉันอย่างรุนแรงมาก และดวงตาของ Elia Suleiman ในฉากอื่นๆก็บาดใจดิฉันอย่างรุนแรงเหมือนกัน การแสดงของเขาในเรื่องนี้เป็นหนึ่งในการแสดงที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิต เขาแทบไม่ได้แสดงอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เพียงแค่ดิฉันได้จ้องมองดวงตาของเขา ดิฉันก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต เขาไม่ต้องใช้คำพูด ไม่ต้องเล่าเรื่องตรงๆ เขาเพียงแค่จ้องมองผู้ชมเท่านั้น ดิฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดแล้ว
ความเห็นเพิ่มเติม (อันนี้เขียนใหม่)
ประโยคนึงที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้คือประโยคที่ว่า I’M CRAZY BECAUSE I LOVE YOU ค่ะ เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ มันสะท้อนให้เห็นโลกหรือสังคมที่ “I’M NORMAL BECAUSE I HATE YOU.” มันเป็นสังคมที่ความเกลียดชังเพื่อนบ้าน หรือความเกลียดชังคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก
นักวิจารณ์บางคนเคยตั้งข้อสังเกตว่าหนังเรื่อง DIVINE INTERVENTION เป็นหนังที่ประกอบด้วยสไตล์ที่หลากหลายมาก มีทั้งฉากที่เหมือนมิวสิควิดีโอ, ฉากที่เหมือนโฆษณา (อย่างฉากนางเอกเดินผ่านด่าน), ฉากที่เหมือนภาพยนตร์เงียบยุคโบราณ, ฉากที่เหมือนภาพยนตร์เพลง
หนังอีกเรื่องนึงที่นักวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆหลายส่วนที่มีสไตล์แตกต่างกันไป ก็คือหนังเรื่อง THE DEATH OF MARIA MALIBRAN ค่ะ หนังเรื่องนี้กำลังจะมาเปิดฉายที่กรุงเทพอีกครั้งในเร็วๆนี้ในโปรแกรมของดวงกมลฟิล์มเฮาส์ หนังเรื่องนี้แร่ดในระดับมากกว่าหรือเท่ากับ EDEN AND AFTER ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้เป็นอันขาดค่ะ
--ดูหนังเรื่อง SCHOOL OF ROCK แล้วทำให้ชอบโจน คูแซค กับสตีวี นิคส์เพิ่มมากขึ้นค่ะ โจน คูแซคได้บทที่น่ารักมากๆในหนังเรื่องนี้
--ต้องขอบคุณคุณ homogenic มากค่ะที่แนะนำวง MANDALAY มา ดิฉันไม่เคยรู้จักวงนี้มาก่อนเลย แต่พอลองฟังตัวอย่างจาก AMAZON.COM แล้วต้องบอกว่าถูกใจตัวเองมากๆ เสียงของนักร้องนำเพราะมากๆจริงๆค่ะ บางคนใน AMAZON.COM บอกว่าดนตรีของ MANDALAY ราวกับเสียงจากสวรรค์ ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วยค่ะ
เห็นอัลบัมชุด SOLACE ของ MANDALAY มี ATTICA BLUES กับ ALEX REECE มารีมิกซ์ให้ด้วย น่าสนใจมากๆ
นิตยสาร เจเนอเรชัน เทอเรอริสท์ ฉบับที่ 15 (ประจำเดือนพ.ค. 1996) เคยพูดถึงวง MANDALAY ด้วยค่ะ โดยอยู่ในคอลัมน์ของคุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์
คุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์ระบุว่า MANDALAY เป็นหนึ่งในวงเด่นๆในกลุ่ม POST TRIP HOP หรือกลุ่ม RHYTHM-ADELIA (RHYTHM + PSYCHEDELIA) โดยวงเด่นๆในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
1.RARE นักร้องนำคือ MARY GALLAGHER และซิงเกิลเด่นคือ SOMETHING WILD
2.MANDALAY
3.COCO AND THE BEAN จากสก็อตแลนด์ด้วยเสียงดนตรีฮิปฮอป แจซ โซลที่นุ่มนวลและกรีดใจ ซิงเกิลแรก Western Ways ทำให้คุณยอมละลายชีวิตเข้าแลก (สำนวนของคุณอาทิตย์ค่ะ)
4.MORCHEEBA
5.LAMB สมาชิกวงนี้หล่อถูกใจดิฉันมากๆๆๆๆ
6.SMOKE CITY ซิงเกิ้ล 12 นิ้วเพลง UNDERWATER LOVE ของทีมโปรดิวเซอร์จากลอนดอนที่ได้สาวเสียงระทึก NINA ROCHA MIRANDA ขับกล่อมให้นั้น ทำให้เราสัมผัสได้ถึงลิปสติกสีแดงของสาวฝรั่งเศส ที่บรรจงแนบแก้วเอสเพรสโซแก้วนั้นยามค่ำคืน (ลองนึกถึงเพลง UNE HISTOIRE DE PLAGE ของ BRIGITTE BARDOT) (ข้อความนี้เป็นสำนวนของคุณอาทิตย์ค่ะ)
นอกจากเพลงของศิลปินข้างต้นแล้ว เพลงแนว POST TRIP HOP ที่น่าสนใจที่แนะนำใน Generation Terrorist ยังรวมถึง
1.BEE CHARMER—INGRID SCHROEDER
2.WE NEVER KNOW—NICOLETTE
3.RAINBOWS—VIRGINIA
4.SALT PETER REMIXED--RUBY
เสียงของ TRACEY THORN ดิฉันก็ชอบมากๆค่ะ ดิฉันชอบเพลงของ EVERYTHING BUT THE GIRL มากๆเลย เพลงของวงนี้ที่ดิฉันชอบมากๆก็มี
1.DRIVING
2.MISSING
3.I DIDN’T KNOW I WAS LOOKING FOR LOVE
4.OLD FRIENDS
5.THE ONLY LIVING BOY IN NEW YORK
6.I DON’T’ WANT TO TALK ABOUT IT
7.IMAGINING AMERICA
8.UNDERSTANDING
9.YOU LIFT ME UP
10.THE FUTURE OF THE FUTURE
เสียงของนักร้องที่ดิฉันชอบมาก
1.KIRSTY HAWKSHAW นักร้องนำวง OPUS III
2.DOT ELLISON นักร้องนำวง ONE DOVE
3.YAZZ
4.BILLY RAY MARTIN นักร้องนำวง ELECTRIBE 101
5.JULEE CRUISE
6.PATTI LUPONE
Wednesday, November 03, 2004
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
เพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ สุดยอดมากๆ ดูแล้ว deep shock เลย
Post a Comment