Saturday, June 04, 2005

TOM THUMB

ชอบ SIN CITY มากในระดับ A เหมือนกันค่ะ แต่จริงๆแล้วชอบส่วนของ CLIVE OWEN ในระดับ A+ เพราะช่วงของไคลฟ์ โอเวนมีตัวละครผู้หญิงแรงๆเยอะดี โดยเฉพาะเดวอน อาโอกิ ที่ถูกใจอย่างสุดๆ อยากให้ตัวละครเดวอน อาโอกิมาต่อสู้กับ LUCY LIU ใน KILL BILL อย่างมากๆ

อยากดูหนังเรื่อง D.E.B.S. ที่เดวอน อาโอกิแสดงอย่างมากๆ แต่น่าเสียดายที่บทของเธอใน 2 FAST 2 FURIOUS (C+) ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ดูข้อมูลของ D.E.B.S. ได้ที่
http://www.imdb.com/title/tt0367631/

ชอบภาพเงาขาวดำตอนไคลฟ์ โอเวนจมน้ำอย่างมากเลยค่ะ และก็ชอบไตเติลเปิดเรื่องของ SIN CITY ด้วย

เห็นคุณนพมาส แววหงส์เขียนชม SIN CITY ในมติชนสุดสัปดาห์เล่มล่าสุดด้วยค่ะ

ชอบ ALEXIS BLEDEL ใน SIN CITY ด้วยเหมือนกัน เคยเห็นเธอใน BRIDE AND PREJUDICE (2004, GURINDER CHADHA, A) ดูเธอเป็นผู้ดีมากๆในหนังเรื่องนั้น ไม่นึกว่าเธอจะดูตรงข้ามอย่างรุนแรงใน SIN CITY


ได้ดูหนังในเทศกาลเพิ่มอีกสองเรื่อง ซึ่งก็คือ THE HIDDEN CITY (2002, CARLOS BALAGUE, B-) กับ BEWARE OF GREEKS BEARING GUNS (2000, JOHN TATOULIS, C+/C)


ตอบน้อง merveillesxx

เห็นเขียนถึงคนบ้าที่ตามหาพี่ชายประจำรถสายปอ. 2 ก็เลยนึกถึงหลายๆอย่าง ซึ่งรวมถึง

1.คิดถึงผู้หญิงบ้าในซอยงามดูพลี ถ.พระราม 4 ซอยนี้เป็นซอยที่ดิฉันมักใช้เดินเวลาไป/กลับจากการดูหนังเยอรมันที่สถาบันเกอเธ่ อินเตอร์นาซิโอนเนส หญิงบ้าคนนี้ปรากฏตัวในซอยนี้เป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีจนถึงปัจจุบัน เธอแต่งหน้าจัดมาก และดูหน้าของเธอก็รู้ทันทีว่าเธอบ้า แต่รู้สึกว่าเธอยังไม่เคยมีอาการจะทำร้ายร่างกายใคร ก็เลยไม่กลัวเธอมาก กลัวเหยียบขี้หมาในซอยนี้มากกว่า เพราะขี้หมาในซอยนี้เยอะมาก เวลาเกอเธ่ฉายหนังเสร็จราว 2 ทุ่ม –3 ทุ่ม เดินออกจากซอยตอนมืดๆต้องคอยเพ่งดีๆไม่ให้เหยียบขี้หมา อย่างไรก็ดี ดิฉันไม่ต้องเผชิญกับปัญหานี้อีกแล้วในปีนี้เพราะเกอเธ่เลิกฉายหนังไปแล้ว เศร้าใจจัง

2.คิดถึงคุณป้าหญิงชราคนนึงที่ชอบสวมหมวกไหมพรมและมักเจอที่ศูนย์อาหารชั้นหกมาบุญครอง ตอนเด็กๆดิฉันกับเพื่อนๆมักตั้งรกรากอยู่ที่ศูนย์อาหารมาบุญครองทุกๆเย็นหลังเลิกเรียน และก็จะเจอคุณป้าคนนี้เป็นประจำ ไม่รู้ว่าเธอบ้าหรือเปล่า แต่ชุดของเธอผิดปกติจากคนทั่วไปเล็กน้อย แต่ดูท่าทางเธอจะรู้จักกับคนขายอาหารหลายๆร้านในมาบุญครองเป็นอย่างดี

แต่สิ่งที่ดิฉันประหลาดใจมากๆก็คือว่าพอดิฉันกับเพื่อนๆไปกินอาหารที่ศูนย์อาหารในห้างอื่นๆ อย่างเช่นในห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ก็เจอคุณป้าหมวกไหมพรมคนนี้เดินอยู่ในศูนย์อาหารนั้นเช่นกัน ก็เลยงงว่าเธอคือใคร ทำไมเธอถึงเป็นเจ้าแม่ศูนย์อาหารทั่วกรุงเทพและปริมณฑลเช่นนี้ อย่างไรก็ดี ดิฉันไม่ได้เห็นเธอในศูนย์อาหารห้างต่างๆมาเป็นเวลาประมาณ 6-7 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไรไปบ้างแล้ว

3.พูดถึงเรื่องคนบ้าตามหาพี่ชาย ก็เลยนึกถึงไอเดียที่เพื่อนดิฉันเคยคิดไว้ตอนเด็กๆ เพราะตอนเด็กๆ จะมีหนังเข้าฉายที่โรงหนัง “โอเอ” กับโรงหนัง “โอเอ 3” แถวประตูน้ำ ดิฉันกับเพื่อนๆก็จะงงกันมากว่าแล้วโรงหนัง “โอเอ 2” มันไปอยู่ไหน ทำไมถึงมีแต่โรง “โอเอ” กับโรง “โอเอ 3” เวลาดิฉันไปดูหนังที่โรง “โอเอ” หรือ “โอเอ 3” ก็ลองมองหาดูว่าโรง “โอเอ 2” มันซ่อนอยู่ตรงไหน ก็ไม่เห็นเจอ เพื่อนดิฉันก็เลยได้ไอเดียว่าจะลองโทรศัพท์ไปหาตำรวจ โดยเล่าให้ตำรวจฟังว่า “วันหนึ่งพี่สาวดิฉันออกจากบ้านโดยบอกดิฉันว่าจะไปดูหนังที่โรงหนัง “โอเอ 2” แต่หลังจากนั้นพี่สาวดิฉันก็หายสาบสูญไปเลยค่ะ เธอไม่กลับบ้านอีกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น คุณตำรวจพอจะบอกได้มั้ยคะว่าโรงหนังโอเอ 2 อยู่ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปเริ่มต้นตามหาพี่สาวจากโรงหนังโอเอ 2”

อย่างไรก็ดี ไอเดียนี้เป็นเพียงสิ่งที่คิดกันเล่นๆเท่านั้น ไม่ได้ทำจริงๆแต่อย่างใด และในเวลาไม่นานโรงหนังทั้งโอเอและโอเอ 3 ก็ปิดกิจการลง และจนถึงบัดนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าโรงหนังโอเอ 2 อยู่ที่ไหน

--เรื่องประเทศเกิดใหม่นี่ดิฉันก็ไม่ค่อยมีความรู้เหมือนกันค่ะ เพราะตอนที่เรียนเรื่องภูมิศาสตร์โลกครั้งสุดท้ายก็ประมาณปี 1986-1987 ซึ่งตอนนั้นโซเวียตยังไม่ล่มสลาย พอโซเวียตล่มสลายแล้วก็รู้สึกว่าจะมีประเทศเกิดใหม่เยอะมาก ตอนนี้ดิฉันก็ยังงงๆอยู่ว่าเซอร์เบียกับมอนเตเนโกรเป็นประเทศเดียวกันหรือคนละประเทศ

บางประเทศก็เปลี่ยนชื่อใหม่ ก็ทำเอาดิฉันงงไปเหมือนกัน อย่างเช่นประเทศเบอร์กินา ฟาโซ ที่ดิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนสมัยอยู่โรงเรียนมัธยม ตอนหลังถึงรู้ว่ามันคือประเทศเดียวกับอัปเปอร์ โวลตา

พูดถึงเรื่องการจูงใจให้อยากเรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์โลก ก็เลยนึกถึงไอเดียที่เคยฝันไว้เมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนนั้นฝันว่าอยากให้มีการสร้างหนังชุดคนพเนจรคล้ายๆ “โทร่า-ซัง” แต่เปลี่ยนตัวละครเป็นผู้หญิงแทน โดยผู้หญิงคนนี้จะเดินทางไปเยือนประเทศในยุโรปหนึ่งประเทศต่อหนึ่งภาค และในแต่ละภาคเธอก็จะได้เดินทางไปชมสถานที่ท่องเที่ยว+เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์+การเมือง+สังคม+วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ และได้หนุ่มหล่อของประเทศนั้นมาเป็นคนรักในแต่ละภาคด้วย ภาคหนึ่งเธออาจจะได้คนรักเป็นหนุ่มหล่อซาน มารีโน, ภาคสองเธอได้คนรักเป็นหนุ่มหล่อลิคเตนชไตน์, ภาคสามเธอได้คนรักเป็นหนุ่มหล่อฮังการี, ภาคสี่เธอได้คนรักเป็นหนุ่มหล่อเบลารุส, ภาคห้าเธอได้คนรักเป็นหนุ่มหล่ออาร์เมเนีย และเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆจนครบทุกประเทศในยุโรป เธอคือคนที่ทำให้คำว่า EUROPEAN UNION ผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเธอ

--พูดถึงเรื่อง “นิทาน” ที่สอดแทรกในหนัง ก็นึกขึ้นได้เหมือนกันว่า CAF E LUMIERE (A+) ก็มีนิทานเรื่องตัวขโมยเด็กมาแทรกในหนังเหมือนกัน

********(ข้อความข้างล่างนี้มี SPOILERS ของ I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT)

ใน I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT ก็มีการพูดถึงนิทานเรื่อง TOM THUMB ในช่วงต้นเรื่องด้วย แต่ดิฉันไม่รู้เหมือนกันว่านิทานเรื่อง TOM THUMB มีเนื้อหายังไง และสามารถนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงอะไรในหนังเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้ฉายให้คนดูเห็นในช่วงที่ตัวละครเล่าถึงเรื่องราวใน TOM THUMB ขณะที่ทอม ธัมป์กับพี่ชายถูกพ่อแม่นำไปทิ้งไว้ในป่าเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินเลี้ยงลูก ทอม ธัมป์กับพี่ชายหาทางกลับบ้านไม่ถูก และร้องไห้กลัวกันว่า “พวกเขาจะไม่ได้พบหน้าของพ่อกับแม่อีก”

ประโยคนี้ทำให้สะดุดใจอยู่เหมือนกัน เพราะตัวละครนางเอกในเรื่องนี้ก็มีสภาพจิตใจที่หลงทางและ ถูกทอดทิ้งเหมือนกัน และหนังก็ไม่ได้จบลงด้วยภาพของนางเอกขณะอยู่กับพ่อหรือแม่ด้วย (แต่ดิฉันเดาว่านางเอกน่าจะกลับไปคืนดีกับพ่อนะ ถึงแม้หนังจะไม่ได้แสดงให้เห็นก็ตาม เพราะพ่อนางเอกออกจะหล่อขนาดนั้น เอ๊ะ ไม่ใช่สิ)

อ่านเรื่องราวของ TOM THUMB ได้ที่
http://www.op97.org/instruct/ftcyber/tomthumb/

ชอบที่น้อง merveillesxx เขียนถึง I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT มากๆค่ะ และก็ชอบที่คุณ grappa เขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในบล็อกของน้อง merveillesxx ด้วย

เห็นด้วยกับน้องเป็นอย่างยิ่งค่ะเรื่องตอนจบของ I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT จริงๆแล้วพี่ชอบหนังเรื่องนี้มากจนอยากให้หนังเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงมากๆ แต่เสียดายตรงที่ฉากจบของหนังเรื่องนี้มันทำให้อารมณ์ DROP ลงอย่างรุนแรง

ถ้าหากตัดฉากจบทิ้งไป และเอา “ฉากก่อนจบ” มาเป็น “ฉากจบ” บางทีหนังเรื่องนี้อาจจะทรงพลังมากขึ้น

ฉากก่อนจบของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังอีก 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ THE PIANO (JANE CAMPION, A+/A) กับ THE STATE I AM IN (2000, CHRISTIAN PETZOLD, A+) โดย THE STATE I AM IN นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตเด็กสาวที่มีปัญหา และฉากจบของหนังเรื่องนี้โดนใจดิฉันอย่างรุนแรงมาก

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ THE STATE I AM IN ได้ที่
http://www.german-cinema.de/archive/film_view.php?film_id=407

อย่างไรก็ดี หากลองมองในแง่ดี ก็จะรู้สึกว่าฉากจบของ I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT ตรงข้ามกับฉากต้นๆของเรื่อง โดยในฉากต้นๆของหนังเรื่องนี้ เราจะเห็นนางเอกเดินไปเดินมาตามท้องถนน เธอหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมากมาย แล้วเธอก็ไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง มีหญิงกลางคนมาเปิดประตูรับ ผู้หญิงคนนั้นขอบคุณนางเอกด้วยความดีใจ เพราะเธอขาพิการ และการที่นางเอกหิ้วข้าวของพะรุงพะรังก็เป็นเพราะว่านางเอกช่วยไปซื้อของให้หญิงขาพิการคนนั้น

แต่ในฉากจบของเรื่องนี้ เราเห็นนางเอกเดินตามท้องถนนพร้อมเป้ใบเดียว ก่อนจะไปเคาะประตูบ้านของหญิงคนหนึ่ง แต่ต่างกันตรงที่ในฉากจบของเรื่องนี้ นางเอกไม่ได้อยู่ในฐานะของ “ผู้ช่วยเหลือคนพิการ” อีกต่อไป แต่อยู่ในฐานะของ “ผู้พิการทางใจที่ต้องการความช่วยเหลือ” (เยียวยาทางใจ) เสียเอง

No comments: