--เห็นน้องได้ดู MARIA FULL OF GRACE แล้ว แต่พี่ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ แต่เห็นมีข่าวว่านางเอก MARIA FULL OF GRACE ซึ่งก็คือคาตาลีน่า ซานดิโน โมเรโน ได้เล่นหนังเรื่องใหม่ของริชาร์ด ลิงค์เลเทอร์ ซึ่งก็คือเรื่อง FAST FOOD NATION ที่สร้างจากหนังสือดังของ ERIC SCHLOSSER ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอันตรายและผลกระทบทางสังคมจากอาหารฟาสต์ฟู๊ด รู้สึกว่าจะมีดาราดังมากมายหลายคนมาชุมนุมในหนังเรื่องนี้อย่างคับคั่ง และมีมัลคอล์ม แมคลาเรน ศิลปินดนตรีชื่อดังมาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย
ดาราที่ร่วมแสดงใน FAST FOOD NATION รวมถึง
1.AVRIL LAVIGNE
2.LOU TAYLOR PUCCI
3.WILMER VALDERRAMA
http://www.terra.com/addon/img/ocio/1fc4d5wilmer00_300x400p.jpg
4.ANA CLAUDIA TALANCON (THE CRIME OF FATHER AMARO)
5.ETHAN HAWKE
6.PATRICIA ARQUETTE
7.GREG KINNEAR
มัลคอล์ม แมคลาเรนเคยอยู่เบื้องหลังวงเซ็กส์ พิสตอลส์อันโด่งดัง แต่ดิฉันชอบเพลงของมัลคอล์ม แมคลาเรนเองอย่างมากๆ โดยเฉพาะเพลง DEEP IN VOGUE ที่อยู่ในอัลบัมชุด WALTZ DARLING http://www.amazon.com/gp/product/B0000026U5/qid=1138443382/sr=8-3/ref=pd_bbs_3/103-5398278-1379866?n=507846&s=music&v=glance
คุณูปการที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มัลคอล์ม แมคลาเรนทำให้แก่วงการดนตรี ก็คือการค้นพบและส่งเสริมนักร้องหญิงชาวพม่าวัย 14 ปีที่ชื่อ ANNABELLA LWIN
ANNABELLA LWIN
http://www.annabellalwin.com/home.html
Monday, January 30, 2006
Saturday, January 28, 2006
IMAGINE ME & YOU
ตอบน้อง merveillesxx
ดีใจมากค่ะที่สถานการณ์ซวยต่างๆของน้องเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
>>แต่ก็อยากนั่งเครื่องบินไปญี่ปุ่น แล้วเข้าไปกอดเธอสัก 15 วินาที โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย แค่นั้นพอ<<
อ่านข้อความข้างบนของน้อง และได้อ่านความเห็นของหลายๆคนใน blog ของน้อง ก็ทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่หลายๆคนที่ได้อ่าน blog ของน้องอยากจะทำ ก็อาจจะเป็นการกอดน้อง หรือจับมือน้อง หรืออย่างน้อยก็ “ส่งสายตา” แห่งความหวังดีและเป็นห่วงเป็นใยมาให้น้อง หลายๆคนที่ได้อ่าน blog ของน้องคงจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยน้องมากๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยด้วย “ตัวอักษร” เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่สิ่งที่บางคนถนัด แต่เท่าที่ได้อ่านสิ่งที่คนเหล่านั้นเขียนเอาไว้ พี่คิดว่าคงมีหลายคนทีเดียวที่คงอยากจะเอื้อมมือทะลุผ่านจอคอมพิวเตอร์เข้ามาแตะตัวน้องเบาๆ เพื่อปลอบโยนและให้กำลังใจ หรืออย่างน้อยก็อยากให้กำลังใจน้องด้วย “สายตา” ก็ยังดี
ตอบคุณเต้
ตอนนี้หนังของ WES CRAVEN ที่อยากดูซ้ำมากที่สุด หรืออยากให้มีการรีเมคมากที่สุด ก็คือ DEADLY BLESSING (1981, A+/A) ค่ะ เพราะหนังเรื่องนี้มีตัวละครหญิงที่น่าสนใจถึง 6 คน ซึ่งได้แก่ผู้หญิงที่สามีตายอย่างลึกลับ, เพื่อนสาว 2 คนของผู้หญิงคนนั้น, แม่กับลูกสาวที่ไม่น่าไว้วางใจ และสาวเคร่งศาสนาวิปลาส แต่ถ้าหากมีการรีเมคหนังเรื่องนี้ใหม่ ก็อยากให้ดัดแปลงเนื้อเรื่องให้ไม่เหมือนเดิมไปเลย แต่ให้คงตัวละครผู้หญิงเยอะๆเอาไว้เหมือนเดิม
http://www.imdb.com/title/tt0082245/
เคยดูบางช่วงของ THE PEOPLE UNDER THE STAIRS ทางโทรทัศน์ รู้สึกอยากดูซ้ำเหมือนกัน เพราะชอบ WENDY ROBIE ที่รับบทคุณแม่ในหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกชอบเธอมากๆตอนที่เธอเล่นละครชุด TWIN PEAKS เธอดูน่ากลัวมากๆเลย
http://www.imdb.com/name/nm0732133/
ตอบคุณเจ้าชายน้อย
รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยดูหนังของ BUSTER KEATON เลย แม้แต่หนังของชาร์ลี แชปลินเองก็เคยดูไม่กี่เรื่อง
หนังตลกยุคโบราณที่เคยดู ก็มีเรื่อง A DAY AT THE RACES (1937, SAM WOOD, A-) ที่นำแสดงโดยสามพี่น้อง THE MARX BROTHERS รู้สึกว่าดูสนุกดี แต่จำอะไรในเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว
http://www.imdb.com/title/tt0028772/
พูดถึงดารายุคโบราณ ก็จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดูหนังของ SHIRLEY TEMPLE หลายเรื่องทางโทรทัศน์ แต่ดูตอนที่ตัวเองยังเด็กมากๆ ก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าตอนเด็กๆมีหนังของ SHIRLEY TEMPLE มาฉายทางโทรทัศน์หลายเรื่อง
http://www.imdb.com/name/nm0000073/
พูดถึง LAND OF THE DEAD ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปีที่แล้วมีหนังซอมบี้ออกมาฉายหลายเรื่องในสหรัฐ และหนึ่งในเรื่องที่อยากดูมากๆก็คือ HOMECOMING (2005, JOE DANTE) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มทหารที่เสียชีวิตในสงคราม แต่พวกเขากลายเป็นผีดิบซอมบี้ที่ลุกขึ้นมาจากหลุมเพื่อเดินทางไปที่คูหาเลือกตั้งและช่วยกันโหวตขับไล่ประธานาธิบดีที่ส่งพวกเขาไปตายในสงคราม
JOE DANTE ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึง HOMECOMING ว่า “หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังสยองขวัญ เพราะว่าตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องนี้เป็นคนของพรรครีพับลิกัน” ("This is a horror story because most of the characters are Republicans.")
อ่านบทวิจารณ์ HOMECOMING ได้ที่
http://www.villagevoice.com/film/0548,lim,70455,20.html
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
เพิ่งรู้ว่า MATTHEW GOODE ซึ่งเป็นดาราชายในสังกัดของคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND ได้เล่นหนังเลสเบียนเรื่อง IMAGINE ME & YOU (2005, OL PARKER) ด้วยค่ะ โดยหนังเลสเบียนเรื่องนี้เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้อังกฤษแนว NOTTING HILL และ FOUR WEDDINGS AND A FUNERAL โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาว (PIPER PERABO) ที่กำลังจะแต่งงานกับโบรกเกอร์หนุ่มที่ร่ำรวย (MATTHEW GOODE) แต่เธอกลับตกหลุมรักลูซี ซึ่งเป็นนักจัดดอกไม้ในงานแต่งงาน (LENA HEADEY) ในขณะที่เพื่อนของโบรกเกอร์ (DARREN BOYD) ก็ตกหลุมรักลูซีเช่นกัน
http://www2.foxsearchlight.com/imaginemeandyou/
รู้สึกว่าชื่อหนัง IMAGINE ME & YOU จะมาจากเนื้อเพลง HAPPY TOGETHER
นักวิจารณ์บอกว่า MATTHEW GOODE คือ MARK RUFFALO ของประเทศอังกฤษค่ะ
ตอบคุณอ้วน
ยังมีอีก 2 งานที่น่าดูมากๆในช่วงนี้ค่ะ ซึ่งก็คือ
1.งานแสดงหลากหลายรูปแบบบนดาดฟ้าของ HOUSE OF INDIES
ดูรายละเอียดของงาน NAKED ART 26 PROJECT ได้ที่
http://www.houseofindies.com/about_us/index.asp?pagename=news.asp
2.พิพิธภัณฑ์ศิลปะระยะสั้น ซอยสบาย
งานนี้มีระหว่างวันที่ 11-17 ก.พ. โดยมีคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุลร่วมในงานด้วย ดูรายละเอียดได้ที่
http://roomair.org/
ความเห็นเกี่ยวกับหนังที่ได้ดูในระยะนี้
--AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข, A+)
มีหลายอย่างมากๆที่ชอบในหนังเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึง การให้ “เวลา” กับฉากต่างๆ
ในความรู้สึกส่วนตัวของดิฉัน ดิฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมือนกับหนังหลายๆเรืองของคุณทศพล บุญสินสุข นั่นก็คือเป็นหนังที่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเพื่อจะเล่าเรื่อง หรือเพื่อ ”บอก” อะไรบางอย่างกับผู้ชม เพราะถ้าหากหนังเรื่องนี้ต้องการจะเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของนางเอก หรือต้องการจะ “บอก” ผู้ชมเพียงแค่ว่านางเอกรู้สึกยังไงบ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนังความยาว 90 นาทีเรื่องนี้ก็สามารถตัดต่อใหม่ให้เหลือเพียงแค่ 9 นาทีได้เลย ฉากแต่ละฉากที่กินเวลาราว 5-10 นาที สามารถตัดต่อใหม่ให้เหลือเพียงแค่ 5-10 วินาที เพียงเท่านี้ผู้ชมก็จะได้รับข้อมูลครบถ้วน ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของนางเอก และนางเอกรู้สึกยังไงบ้าง
แต่จุดที่ทำให้ดิฉันหลงรักหนังของคุณทศพลอย่างหัวปักหัวปำ เป็นเพราะว่าหนังของเขาไม่ได้ต้องการจะทำเพียงแค่ “บอก” ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สามารถทำให้ดิฉัน “รู้สึก” ร่วมไปกับตัวละครหรืออารมณ์ของเรื่องอย่างรุนแรงมาก และหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ดิฉันรู้สึกร่วมไปกับเรื่องอย่างมากๆ ก็เป็นเพราะว่าหนังของเขาให้เวลากับฉากต่างๆอย่างเหมาะสม อย่างเช่นในฉากที่นางเอกเขี่ยอาหารในจาน ถ้าหากฉากนั้นมีความยาวเพียง 5 วินาที ผู้ชมก็จะได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้วว่านางเอกกำลังตกอยู่ในภาวะอารมณ์อย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฉากนั้นกลับยาวประมาณ 5 นาที และความยาวของฉากนั้นคือสิ่งที่ทำให้ดิฉัน “รู้สึก” ร่วมไปกับนางเอก หรือรู้สึกเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของนางเอกมากยิ่งขึ้น มันเหมือนกับว่าหนังของเขา (และอาจจะรวมไปถึงหนังบางเรื่องของ MARGUERITE DURAS และ JUN ICHIKAWA) ต้องใช้ระบบประสาทการรับรู้ที่แตกต่างไปจากการดูหนังทั่วๆไป (และอาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่มีหัวสมองไว ชอบคิดอะไรไวๆ และชอบดูหนังเพื่อหาว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกอะไรกับผู้ชม) หนังหลายเรื่องของผู้กำกับ 3 คนนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเพื่อ “บอกเล่า” อะไรบางอย่างแก่ผู้ชม แต่หนังของ 3 คนนี้สามารถกระตุ้นต่อมความรู้สึกบางอย่างได้อย่างรุนแรงสุดๆ และเป็นความรู้สึกที่ยากจะถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ ในแง่หนึ่ง ดิฉันคิดว่าหนังของ 3 คนนี้ทำหน้าที่ของสื่อภาพยนตร์ได้อย่างดีมากๆ เพราะ “การให้เวลาอย่างเต็มที่กับฉากที่แทบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว” เป็นสิ่งที่ “นิยาย” ยากจะทำได้ (ต่อให้คุณใส่หน้ากระดาษเปล่าๆเข้ามาในหนังสือ เพื่อถ่ายทอดว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเวลานานๆในฉากนั้น” ผู้อ่านก็คงจะพลิกผ่านหน้ากระดาษเปล่าๆไปภายในเวลาเพียง 10 วินาที คงไม่จ้องหน้ากระดาษเปล่าๆเป็นเวลา 10 นาทีก่อนจะพลิกไปอ่านเนื้อหาต่อไป) และมีแต่สื่อภาพยนตร์หรือละครเวทีที่เฮี้ยนมากๆเท่านั้นที่สามารถทำในสิ่งนี้ได้
การที่จุดเด่นในหนังของคุณทศพลอยู่ที่ “ความรู้สึกร่วม” ของผู้ชมที่มีต่อตัวละคร, บรรยากาศ หรือเหตุการณ์ในเรื่องนี่เอง คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตที่จะถ่ายทอดความรู้สึกประทับใจในหนังของเขาให้คนอื่นๆฟัง ตอนแรกดิฉันยังไม่รู้ในจุดนี้ แต่หลังจากได้ดูหนังของคุณทศพลในวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค. และได้คุยกับเพื่อนๆหลังจากนั้น ดิฉันก็พยายามเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าหนังเรื่องอื่นๆของคุณทศพลที่เคยดูมาเป็นอย่างไรบ้าง (ดิฉันเคยดูเรื่อง “ห้ามอุ่นไข่ในไมโคเวฟเดี๋ยวระเบิดตูม!” (A+), NICE TO MEET YOU (A+), THE AUDIENCE (A+), CHICKEN SMILE (A+), THE LAST SKY PASSENGER (A) และ DANCE TOGETHER (A-)) แต่ยิ่งดิฉันพยายามบรรยายถึงหนังของเขามากเพียงใด ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าดิฉันถ่ายทอดหนังของเขาได้ห่างไกลจากความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆๆๆ หลังจากพยายามเล่าให้เพื่อนๆฟังว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในหนังของคุณทศพล, เขาใช้มุมกล้องเช่นไร, ดิฉันได้เห็น “ภาพ” อะไรบ้างในหนัง และได้ยินเสียงอะไรบ้างในหนัง, etc. ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมามันช่างห่างไกลอย่างลิบลับกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อสิ่งนั้นๆ ในที่สุดดิฉันก็เลยยอมแพ้ และบอกเพื่อนๆไปว่า “มันลำบากเหลือเกินที่จะบรรยายถึงหนังของคุณทศพล คุณต้องสัมผัสหนังของเขาด้วยตัวคุณเองเท่านั้น คุณถึงจะเข้าใจ” ดิฉันรู้สึกว่าความพยายามของดิฉันในการจะบรรยายถึงหนังของคุณทศพลให้เพื่อนๆฟังในวันนั้น มันอาจไม่แตกต่างไปจากความพยายามจะบรรยายภาพ SUNFLOWER ของ VAN GOGH ออกมาเป็น “ถ้อยคำ” ว่าภาพนั้นมีสีสันยังไงหรือมีดอกทานตะวันอยู่กี่ดอกในภาพ, ไม่แตกต่างไปจากความพยายามจะบรรยายเพลง HIGHER STATE OF CONSCIOUSNESS ของ JOSH WINK ออกมาเป็นตัวอักษร (บางทีอาจมีแต่คุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำในสิ่งนี้ได้) และอาจไม่แตกต่างไปจากการบรรยายว่า “เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ในภาพยนตร์เรื่อง WINDOWS (1999, APICHATPONG WEERASETHAKUL, A+++++)
SUNFLOWER
http://www.laks.com/english/302.html
HIGHER STATE OF CONSCIOUSNESS
http://www.juno.co.uk/products/114975-01.htm
WINDOWS
http://www.kickthemachine.com/works/windows.html
ดีใจมากค่ะที่สถานการณ์ซวยต่างๆของน้องเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
>>แต่ก็อยากนั่งเครื่องบินไปญี่ปุ่น แล้วเข้าไปกอดเธอสัก 15 วินาที โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย แค่นั้นพอ<<
อ่านข้อความข้างบนของน้อง และได้อ่านความเห็นของหลายๆคนใน blog ของน้อง ก็ทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่หลายๆคนที่ได้อ่าน blog ของน้องอยากจะทำ ก็อาจจะเป็นการกอดน้อง หรือจับมือน้อง หรืออย่างน้อยก็ “ส่งสายตา” แห่งความหวังดีและเป็นห่วงเป็นใยมาให้น้อง หลายๆคนที่ได้อ่าน blog ของน้องคงจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยน้องมากๆ แต่การถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยด้วย “ตัวอักษร” เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่สิ่งที่บางคนถนัด แต่เท่าที่ได้อ่านสิ่งที่คนเหล่านั้นเขียนเอาไว้ พี่คิดว่าคงมีหลายคนทีเดียวที่คงอยากจะเอื้อมมือทะลุผ่านจอคอมพิวเตอร์เข้ามาแตะตัวน้องเบาๆ เพื่อปลอบโยนและให้กำลังใจ หรืออย่างน้อยก็อยากให้กำลังใจน้องด้วย “สายตา” ก็ยังดี
ตอบคุณเต้
ตอนนี้หนังของ WES CRAVEN ที่อยากดูซ้ำมากที่สุด หรืออยากให้มีการรีเมคมากที่สุด ก็คือ DEADLY BLESSING (1981, A+/A) ค่ะ เพราะหนังเรื่องนี้มีตัวละครหญิงที่น่าสนใจถึง 6 คน ซึ่งได้แก่ผู้หญิงที่สามีตายอย่างลึกลับ, เพื่อนสาว 2 คนของผู้หญิงคนนั้น, แม่กับลูกสาวที่ไม่น่าไว้วางใจ และสาวเคร่งศาสนาวิปลาส แต่ถ้าหากมีการรีเมคหนังเรื่องนี้ใหม่ ก็อยากให้ดัดแปลงเนื้อเรื่องให้ไม่เหมือนเดิมไปเลย แต่ให้คงตัวละครผู้หญิงเยอะๆเอาไว้เหมือนเดิม
http://www.imdb.com/title/tt0082245/
เคยดูบางช่วงของ THE PEOPLE UNDER THE STAIRS ทางโทรทัศน์ รู้สึกอยากดูซ้ำเหมือนกัน เพราะชอบ WENDY ROBIE ที่รับบทคุณแม่ในหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกชอบเธอมากๆตอนที่เธอเล่นละครชุด TWIN PEAKS เธอดูน่ากลัวมากๆเลย
http://www.imdb.com/name/nm0732133/
ตอบคุณเจ้าชายน้อย
รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยดูหนังของ BUSTER KEATON เลย แม้แต่หนังของชาร์ลี แชปลินเองก็เคยดูไม่กี่เรื่อง
หนังตลกยุคโบราณที่เคยดู ก็มีเรื่อง A DAY AT THE RACES (1937, SAM WOOD, A-) ที่นำแสดงโดยสามพี่น้อง THE MARX BROTHERS รู้สึกว่าดูสนุกดี แต่จำอะไรในเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว
http://www.imdb.com/title/tt0028772/
พูดถึงดารายุคโบราณ ก็จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดูหนังของ SHIRLEY TEMPLE หลายเรื่องทางโทรทัศน์ แต่ดูตอนที่ตัวเองยังเด็กมากๆ ก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าตอนเด็กๆมีหนังของ SHIRLEY TEMPLE มาฉายทางโทรทัศน์หลายเรื่อง
http://www.imdb.com/name/nm0000073/
พูดถึง LAND OF THE DEAD ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปีที่แล้วมีหนังซอมบี้ออกมาฉายหลายเรื่องในสหรัฐ และหนึ่งในเรื่องที่อยากดูมากๆก็คือ HOMECOMING (2005, JOE DANTE) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มทหารที่เสียชีวิตในสงคราม แต่พวกเขากลายเป็นผีดิบซอมบี้ที่ลุกขึ้นมาจากหลุมเพื่อเดินทางไปที่คูหาเลือกตั้งและช่วยกันโหวตขับไล่ประธานาธิบดีที่ส่งพวกเขาไปตายในสงคราม
JOE DANTE ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึง HOMECOMING ว่า “หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังสยองขวัญ เพราะว่าตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องนี้เป็นคนของพรรครีพับลิกัน” ("This is a horror story because most of the characters are Republicans.")
อ่านบทวิจารณ์ HOMECOMING ได้ที่
http://www.villagevoice.com/film/0548,lim,70455,20.html
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
เพิ่งรู้ว่า MATTHEW GOODE ซึ่งเป็นดาราชายในสังกัดของคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND ได้เล่นหนังเลสเบียนเรื่อง IMAGINE ME & YOU (2005, OL PARKER) ด้วยค่ะ โดยหนังเลสเบียนเรื่องนี้เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้อังกฤษแนว NOTTING HILL และ FOUR WEDDINGS AND A FUNERAL โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาว (PIPER PERABO) ที่กำลังจะแต่งงานกับโบรกเกอร์หนุ่มที่ร่ำรวย (MATTHEW GOODE) แต่เธอกลับตกหลุมรักลูซี ซึ่งเป็นนักจัดดอกไม้ในงานแต่งงาน (LENA HEADEY) ในขณะที่เพื่อนของโบรกเกอร์ (DARREN BOYD) ก็ตกหลุมรักลูซีเช่นกัน
http://www2.foxsearchlight.com/imaginemeandyou/
รู้สึกว่าชื่อหนัง IMAGINE ME & YOU จะมาจากเนื้อเพลง HAPPY TOGETHER
นักวิจารณ์บอกว่า MATTHEW GOODE คือ MARK RUFFALO ของประเทศอังกฤษค่ะ
ตอบคุณอ้วน
ยังมีอีก 2 งานที่น่าดูมากๆในช่วงนี้ค่ะ ซึ่งก็คือ
1.งานแสดงหลากหลายรูปแบบบนดาดฟ้าของ HOUSE OF INDIES
ดูรายละเอียดของงาน NAKED ART 26 PROJECT ได้ที่
http://www.houseofindies.com/about_us/index.asp?pagename=news.asp
2.พิพิธภัณฑ์ศิลปะระยะสั้น ซอยสบาย
งานนี้มีระหว่างวันที่ 11-17 ก.พ. โดยมีคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุลร่วมในงานด้วย ดูรายละเอียดได้ที่
http://roomair.org/
ความเห็นเกี่ยวกับหนังที่ได้ดูในระยะนี้
--AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข, A+)
มีหลายอย่างมากๆที่ชอบในหนังเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึง การให้ “เวลา” กับฉากต่างๆ
ในความรู้สึกส่วนตัวของดิฉัน ดิฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมือนกับหนังหลายๆเรืองของคุณทศพล บุญสินสุข นั่นก็คือเป็นหนังที่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเพื่อจะเล่าเรื่อง หรือเพื่อ ”บอก” อะไรบางอย่างกับผู้ชม เพราะถ้าหากหนังเรื่องนี้ต้องการจะเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของนางเอก หรือต้องการจะ “บอก” ผู้ชมเพียงแค่ว่านางเอกรู้สึกยังไงบ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนังความยาว 90 นาทีเรื่องนี้ก็สามารถตัดต่อใหม่ให้เหลือเพียงแค่ 9 นาทีได้เลย ฉากแต่ละฉากที่กินเวลาราว 5-10 นาที สามารถตัดต่อใหม่ให้เหลือเพียงแค่ 5-10 วินาที เพียงเท่านี้ผู้ชมก็จะได้รับข้อมูลครบถ้วน ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของนางเอก และนางเอกรู้สึกยังไงบ้าง
แต่จุดที่ทำให้ดิฉันหลงรักหนังของคุณทศพลอย่างหัวปักหัวปำ เป็นเพราะว่าหนังของเขาไม่ได้ต้องการจะทำเพียงแค่ “บอก” ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สามารถทำให้ดิฉัน “รู้สึก” ร่วมไปกับตัวละครหรืออารมณ์ของเรื่องอย่างรุนแรงมาก และหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ดิฉันรู้สึกร่วมไปกับเรื่องอย่างมากๆ ก็เป็นเพราะว่าหนังของเขาให้เวลากับฉากต่างๆอย่างเหมาะสม อย่างเช่นในฉากที่นางเอกเขี่ยอาหารในจาน ถ้าหากฉากนั้นมีความยาวเพียง 5 วินาที ผู้ชมก็จะได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้วว่านางเอกกำลังตกอยู่ในภาวะอารมณ์อย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฉากนั้นกลับยาวประมาณ 5 นาที และความยาวของฉากนั้นคือสิ่งที่ทำให้ดิฉัน “รู้สึก” ร่วมไปกับนางเอก หรือรู้สึกเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของนางเอกมากยิ่งขึ้น มันเหมือนกับว่าหนังของเขา (และอาจจะรวมไปถึงหนังบางเรื่องของ MARGUERITE DURAS และ JUN ICHIKAWA) ต้องใช้ระบบประสาทการรับรู้ที่แตกต่างไปจากการดูหนังทั่วๆไป (และอาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่มีหัวสมองไว ชอบคิดอะไรไวๆ และชอบดูหนังเพื่อหาว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกอะไรกับผู้ชม) หนังหลายเรื่องของผู้กำกับ 3 คนนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเพื่อ “บอกเล่า” อะไรบางอย่างแก่ผู้ชม แต่หนังของ 3 คนนี้สามารถกระตุ้นต่อมความรู้สึกบางอย่างได้อย่างรุนแรงสุดๆ และเป็นความรู้สึกที่ยากจะถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ ในแง่หนึ่ง ดิฉันคิดว่าหนังของ 3 คนนี้ทำหน้าที่ของสื่อภาพยนตร์ได้อย่างดีมากๆ เพราะ “การให้เวลาอย่างเต็มที่กับฉากที่แทบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว” เป็นสิ่งที่ “นิยาย” ยากจะทำได้ (ต่อให้คุณใส่หน้ากระดาษเปล่าๆเข้ามาในหนังสือ เพื่อถ่ายทอดว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเวลานานๆในฉากนั้น” ผู้อ่านก็คงจะพลิกผ่านหน้ากระดาษเปล่าๆไปภายในเวลาเพียง 10 วินาที คงไม่จ้องหน้ากระดาษเปล่าๆเป็นเวลา 10 นาทีก่อนจะพลิกไปอ่านเนื้อหาต่อไป) และมีแต่สื่อภาพยนตร์หรือละครเวทีที่เฮี้ยนมากๆเท่านั้นที่สามารถทำในสิ่งนี้ได้
การที่จุดเด่นในหนังของคุณทศพลอยู่ที่ “ความรู้สึกร่วม” ของผู้ชมที่มีต่อตัวละคร, บรรยากาศ หรือเหตุการณ์ในเรื่องนี่เอง คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตที่จะถ่ายทอดความรู้สึกประทับใจในหนังของเขาให้คนอื่นๆฟัง ตอนแรกดิฉันยังไม่รู้ในจุดนี้ แต่หลังจากได้ดูหนังของคุณทศพลในวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค. และได้คุยกับเพื่อนๆหลังจากนั้น ดิฉันก็พยายามเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าหนังเรื่องอื่นๆของคุณทศพลที่เคยดูมาเป็นอย่างไรบ้าง (ดิฉันเคยดูเรื่อง “ห้ามอุ่นไข่ในไมโคเวฟเดี๋ยวระเบิดตูม!” (A+), NICE TO MEET YOU (A+), THE AUDIENCE (A+), CHICKEN SMILE (A+), THE LAST SKY PASSENGER (A) และ DANCE TOGETHER (A-)) แต่ยิ่งดิฉันพยายามบรรยายถึงหนังของเขามากเพียงใด ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าดิฉันถ่ายทอดหนังของเขาได้ห่างไกลจากความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆๆๆ หลังจากพยายามเล่าให้เพื่อนๆฟังว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในหนังของคุณทศพล, เขาใช้มุมกล้องเช่นไร, ดิฉันได้เห็น “ภาพ” อะไรบ้างในหนัง และได้ยินเสียงอะไรบ้างในหนัง, etc. ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมามันช่างห่างไกลอย่างลิบลับกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อสิ่งนั้นๆ ในที่สุดดิฉันก็เลยยอมแพ้ และบอกเพื่อนๆไปว่า “มันลำบากเหลือเกินที่จะบรรยายถึงหนังของคุณทศพล คุณต้องสัมผัสหนังของเขาด้วยตัวคุณเองเท่านั้น คุณถึงจะเข้าใจ” ดิฉันรู้สึกว่าความพยายามของดิฉันในการจะบรรยายถึงหนังของคุณทศพลให้เพื่อนๆฟังในวันนั้น มันอาจไม่แตกต่างไปจากความพยายามจะบรรยายภาพ SUNFLOWER ของ VAN GOGH ออกมาเป็น “ถ้อยคำ” ว่าภาพนั้นมีสีสันยังไงหรือมีดอกทานตะวันอยู่กี่ดอกในภาพ, ไม่แตกต่างไปจากความพยายามจะบรรยายเพลง HIGHER STATE OF CONSCIOUSNESS ของ JOSH WINK ออกมาเป็นตัวอักษร (บางทีอาจมีแต่คุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำในสิ่งนี้ได้) และอาจไม่แตกต่างไปจากการบรรยายว่า “เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ในภาพยนตร์เรื่อง WINDOWS (1999, APICHATPONG WEERASETHAKUL, A+++++)
SUNFLOWER
http://www.laks.com/english/302.html
HIGHER STATE OF CONSCIOUSNESS
http://www.juno.co.uk/products/114975-01.htm
WINDOWS
http://www.kickthemachine.com/works/windows.html
Thursday, January 26, 2006
the diaries of vaslav nijinsky
อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ดิฉันพิมพ์ผิด ข้อมูลเกี่ยวกับ KNUT HAMSUN อยู่ในหนังสือ “บุ๊คไวรัส 1” จริงๆด้วยค่ะ ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 1”
รู้สึกว่าในหนังสือ “บุ๊คไวรัส 1” จะมีข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง VICTORIA (1979, BO WIDERBERG) ที่สร้างจากนิยายของ KNUT HAMSUN เหมือนกันด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0080096/
--ขอโทษทีค่ะ รู้สึกช่วงนี้ดิฉันพิมพ์ผิดบ่อย ดิฉันได้ดูหนังเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY ในเดือนส.ค.ปี 2004 ค่ะ ไม่ใช่ในปีที่แล้วเหมือนที่พิมพ์ไว้ข้างบน
ตอบคุณ PORKY
--ดีใจมากค่ะที่คุณ PORKY ให้ BATMAN BEGINS ติดอันดับประจำปี เพราะดิฉันก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเหมือนกัน
BATMAN BEGINS ติดอันดับ TOP 10 หนังในดวงใจของ GUY MADDIN ประจำปี 2005 ด้วยค่ะ GUY MADDIN เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของแคนาดาที่หลายคนในนี้รู้จักกันดี ผลงานการกำกับของเขารวมถึง THE SADDEST MUSIC IN THE WORLD (2003, A+), ODILON REDON OR THE EYE LIKE A STRANGE BALLOON MOUNTS TOWARD INFINITY (1995, A+), SISSI BOY SLAP PARTY (1995, A+/A) และ TALES FROM THE GIMLI HOSPITAL (1988, A-)
อันดับ TOP 10 ของ GUY MADDIN ประจำปี 2005 (จากนิตยสาร FILM COMMENT)
1.THE SQUID AND THE WHALE
อันนี้เป็นรูปของ NOAH BAUMBACH ผู้กำกับ THE SQUID AND THE WHALE เขาเกิดปี 1969 และเป็นสามีของ JENNIFER JASON LEIGH ซึ่งมีอายุแก่กว่าเขา 7 ปี
http://www.bombsite.com/images93/baumbach3.jpg
2.BATMAN BEGINS
3.ZIZEK! (2005, ASTRA TAYLOR)
หนังสารคดีเกี่ยวกับ SLAVOJ ZIZEK นักทฤษฎีภาพยนตร์และนักปรัชญาชื่อดัง
http://www.imdb.com/title/tt0478338/
http://www.zeitgeistfilms.com/films/zizek/poster_large.jpg
4.CAPOTE
5.WAR OF THE WORLDS
6.A HISTORY OF VIOLENCE
7.THE WEATHER MAN
8.GRIZZLY MAN
9.THE UNTOLD STORY OF EMMETT TILL (2005, KEITH BEAUCHAMP + KEVIN A. BEAUCHAMP)
http://www.imdb.com/title/tt0475420/
ชอบเพลงประกอบในเว็บไซท์ภาพยนตร์เรื่องนี้มากเลยค่ะ
http://www.emmetttillstory.com/
หนังสารคดีเกี่ยวกับเอ็มเมทท์ ทิลล์ เด็กชายผิวดำอายุ 14 ปีที่ถูกกลุ่มคนผิวขาวฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมทารุณในปี 1955 เพียงเพราะเขาผิวปากใส่ผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่ง
อันนี้เป็นภาพจากหนังเรื่อง AMERICAN EXPERIENCE – THE MURDER OF EMMETT TILL (2003, STANLEY NELSON)
http://images.amazon.com/images/P/B00019G4XW.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
10.BALLETS RUSSES (2005, DANIEL GELLER + DAYNA GOLDFINE)
http://www.balletsrussesmovie.com/
http://www.filmforum.org/films/ballet/balletssm.jpg
หนังสารคดีเกี่ยวกับสองคณะบัลเลต์ชื่อดังที่มีเรื่องตบตีกันเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยคณะบัลเลต์สองคณะนี้มีต้นกำเนิดมาจากคณะบัลเลต์เดียวกันที่ก่อตั้งโดย SERGE DIAGHILEV (1872-1929) เกย์ชื่อดังชาวรัสเซีย
http://www.glbtq.com/arts/ballet_russes.html
หนึ่งในชายคนรักของ DIAGHILEV คือ VASLAV NIJINSKY นักบัลเล่ต์หนุ่มวัย 19 ปี เรื่องราวความรักแบบโฮโมเซ็กชวลของ DIAGHILEV และ NIJINSKY เคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์มาแล้วใน
10.1 THE DIARIES OF VASLAV NIJINSKY (2001, PAUL COX)
http://images.amazon.com/images/P/B00006LPD0.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
10.2 NIJINSKY (1980, HERBERT ROSS)
ในเรื่องนี้ ALAN BATES รับบทเป็น DIAGHILEV ส่วน GEORGE DE LA PENA รับบทเป็น NIJINSKY
http://www.danceworksonline.co.uk/assets/amazon/nijinsky.jpg
--อิจฉาคุณ BUNGALOWZEN มากๆเลยค่ะที่ได้ดูหนังของ JONAS MEKAS กับ ROBERT FRANK ดิฉันยังไม่เคยดูหนังของสองคนนี้เลย อยากดู PULL MY DAISY (1959) มากๆ เพราะว่า DELPHINE SEYRIG ดาราหญิงคนโปรดของดิฉันร่วมแสดงด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0052100/
--ตอนนี้อยากดูหนัง 2 เรื่อง มากๆ ซึ่งก็คือ “WHO ARE YOU, POLLY MAGOO?” (1966, WILLIAM KLEIN) กับ MR. FREEDOM (1969, WILLIAM KLEIN) รู้สึกว่าทั้ง WILLIAM KLEIN และ ROBERT FRANK จะเป็นตากล้องภาพนิ่งที่หันมาทำงานกำกับภาพยนตร์ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 เหมือนกัน
http://ruthlessreviews.com/pics5/freedom1.jpg
ROBERT FRANK
http://www-rohan.sdsu.edu/dept/english/textmex/RobertFrank/frankworking.html
WILLIAM KLEIN
http://www.masters-of-photography.com/K/klein/klein.html
บทวิจารณ์ MR.FREEDOM
http://ruthlessreviews.com/movies/m/mrfreedom.html
อยากดู MR. FREEDOM มากๆเพราะว่า
1.ในหนังเรื่องนี้ DELPHINE SEYRIG ดาราหญิงคนโปรดของดิฉันรับบทเป็นตัวละครชื่อ “MARIE-MADELEINE” ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสายลับสองหน้าที่เปรี้ยวมากๆ
2.ชอบพล็อตหนังเรื่องนี้มาก และถึงแม้หนังเรื่องนี้จะสร้างขึ้นในปี 1969 ในยุคของสงครามเย็น แต่ดูเหมือนว่า
พล็อตหนังเรื่องนี้จะยังคง “ทันสมัย” แม้เวลาจะผ่านมานานเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม
เรื่องย่อของ MR.FREEDOM
มิสเตอร์ฟรีดอมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องคุ้มครองพระเจ้าและสหรัฐอเมริกา โดยใช้วิธีทำร้าย, ปล้นจี้, ข่มขืน และฆ่าคนทุกคนที่มีท่าทีว่ามีความคิดเห็นแตกต่างไปจากเขา
เมื่อมิสเตอร์ฟรีดอมได้ข่าวว่าฝรั่งเศสกำลังจะตกเป็นของคอมมิวนิสต์ เขาจึงเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อปกป้องฝรั่งเศสจากศัตรู แต่เมื่อเขาไม่ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากฝรั่งเศส เขาก็เลยล้มเลิกความหวังที่จะชักนำฝรั่งเศสออกจากโลกคอมมิวนิสต์ และตัดสินใจว่าจะทำลายประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศแทน
--อ่านเรื่องย่อของ MR.FREEDOM (1969) แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวสหรัฐเคยเกลียดชังชาวฝรั่งเศสมากๆในช่วงสงครามอิรัก จนถึงกับเรียก FRENCH FRIES ว่า FREEDOM FRIES
http://www.cnn.com/2003/ALLPOLITICS/03/11/sprj.irq.fries/
ผลงานภาพถ่ายของ WILLIAM KLEIN
CANDY STORE (1954-1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_candy_store.jpg
ST.PATRICK’S DAY, FIFTH AVENUE (1954-1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_st_patricks.jpg
DANCE IN BROOKLYN (1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_dance.jpg
MAURICE THOREZ’S FUNERAL (1964)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_thorez.jpg
http://www.hackelbury.co.uk/images/artists/klein/hatandfive_md.jpg
http://www.comune.verona.it/scaviscaligeri/fnac/immagini/Klein.jpg
รู้สึกว่าในหนังสือ “บุ๊คไวรัส 1” จะมีข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง VICTORIA (1979, BO WIDERBERG) ที่สร้างจากนิยายของ KNUT HAMSUN เหมือนกันด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0080096/
--ขอโทษทีค่ะ รู้สึกช่วงนี้ดิฉันพิมพ์ผิดบ่อย ดิฉันได้ดูหนังเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY ในเดือนส.ค.ปี 2004 ค่ะ ไม่ใช่ในปีที่แล้วเหมือนที่พิมพ์ไว้ข้างบน
ตอบคุณ PORKY
--ดีใจมากค่ะที่คุณ PORKY ให้ BATMAN BEGINS ติดอันดับประจำปี เพราะดิฉันก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเหมือนกัน
BATMAN BEGINS ติดอันดับ TOP 10 หนังในดวงใจของ GUY MADDIN ประจำปี 2005 ด้วยค่ะ GUY MADDIN เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของแคนาดาที่หลายคนในนี้รู้จักกันดี ผลงานการกำกับของเขารวมถึง THE SADDEST MUSIC IN THE WORLD (2003, A+), ODILON REDON OR THE EYE LIKE A STRANGE BALLOON MOUNTS TOWARD INFINITY (1995, A+), SISSI BOY SLAP PARTY (1995, A+/A) และ TALES FROM THE GIMLI HOSPITAL (1988, A-)
อันดับ TOP 10 ของ GUY MADDIN ประจำปี 2005 (จากนิตยสาร FILM COMMENT)
1.THE SQUID AND THE WHALE
อันนี้เป็นรูปของ NOAH BAUMBACH ผู้กำกับ THE SQUID AND THE WHALE เขาเกิดปี 1969 และเป็นสามีของ JENNIFER JASON LEIGH ซึ่งมีอายุแก่กว่าเขา 7 ปี
http://www.bombsite.com/images93/baumbach3.jpg
2.BATMAN BEGINS
3.ZIZEK! (2005, ASTRA TAYLOR)
หนังสารคดีเกี่ยวกับ SLAVOJ ZIZEK นักทฤษฎีภาพยนตร์และนักปรัชญาชื่อดัง
http://www.imdb.com/title/tt0478338/
http://www.zeitgeistfilms.com/films/zizek/poster_large.jpg
4.CAPOTE
5.WAR OF THE WORLDS
6.A HISTORY OF VIOLENCE
7.THE WEATHER MAN
8.GRIZZLY MAN
9.THE UNTOLD STORY OF EMMETT TILL (2005, KEITH BEAUCHAMP + KEVIN A. BEAUCHAMP)
http://www.imdb.com/title/tt0475420/
ชอบเพลงประกอบในเว็บไซท์ภาพยนตร์เรื่องนี้มากเลยค่ะ
http://www.emmetttillstory.com/
หนังสารคดีเกี่ยวกับเอ็มเมทท์ ทิลล์ เด็กชายผิวดำอายุ 14 ปีที่ถูกกลุ่มคนผิวขาวฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมทารุณในปี 1955 เพียงเพราะเขาผิวปากใส่ผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่ง
อันนี้เป็นภาพจากหนังเรื่อง AMERICAN EXPERIENCE – THE MURDER OF EMMETT TILL (2003, STANLEY NELSON)
http://images.amazon.com/images/P/B00019G4XW.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
10.BALLETS RUSSES (2005, DANIEL GELLER + DAYNA GOLDFINE)
http://www.balletsrussesmovie.com/
http://www.filmforum.org/films/ballet/balletssm.jpg
หนังสารคดีเกี่ยวกับสองคณะบัลเลต์ชื่อดังที่มีเรื่องตบตีกันเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยคณะบัลเลต์สองคณะนี้มีต้นกำเนิดมาจากคณะบัลเลต์เดียวกันที่ก่อตั้งโดย SERGE DIAGHILEV (1872-1929) เกย์ชื่อดังชาวรัสเซีย
http://www.glbtq.com/arts/ballet_russes.html
หนึ่งในชายคนรักของ DIAGHILEV คือ VASLAV NIJINSKY นักบัลเล่ต์หนุ่มวัย 19 ปี เรื่องราวความรักแบบโฮโมเซ็กชวลของ DIAGHILEV และ NIJINSKY เคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์มาแล้วใน
10.1 THE DIARIES OF VASLAV NIJINSKY (2001, PAUL COX)
http://images.amazon.com/images/P/B00006LPD0.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
10.2 NIJINSKY (1980, HERBERT ROSS)
ในเรื่องนี้ ALAN BATES รับบทเป็น DIAGHILEV ส่วน GEORGE DE LA PENA รับบทเป็น NIJINSKY
http://www.danceworksonline.co.uk/assets/amazon/nijinsky.jpg
--อิจฉาคุณ BUNGALOWZEN มากๆเลยค่ะที่ได้ดูหนังของ JONAS MEKAS กับ ROBERT FRANK ดิฉันยังไม่เคยดูหนังของสองคนนี้เลย อยากดู PULL MY DAISY (1959) มากๆ เพราะว่า DELPHINE SEYRIG ดาราหญิงคนโปรดของดิฉันร่วมแสดงด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0052100/
--ตอนนี้อยากดูหนัง 2 เรื่อง มากๆ ซึ่งก็คือ “WHO ARE YOU, POLLY MAGOO?” (1966, WILLIAM KLEIN) กับ MR. FREEDOM (1969, WILLIAM KLEIN) รู้สึกว่าทั้ง WILLIAM KLEIN และ ROBERT FRANK จะเป็นตากล้องภาพนิ่งที่หันมาทำงานกำกับภาพยนตร์ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 เหมือนกัน
http://ruthlessreviews.com/pics5/freedom1.jpg
ROBERT FRANK
http://www-rohan.sdsu.edu/dept/english/textmex/RobertFrank/frankworking.html
WILLIAM KLEIN
http://www.masters-of-photography.com/K/klein/klein.html
บทวิจารณ์ MR.FREEDOM
http://ruthlessreviews.com/movies/m/mrfreedom.html
อยากดู MR. FREEDOM มากๆเพราะว่า
1.ในหนังเรื่องนี้ DELPHINE SEYRIG ดาราหญิงคนโปรดของดิฉันรับบทเป็นตัวละครชื่อ “MARIE-MADELEINE” ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสายลับสองหน้าที่เปรี้ยวมากๆ
2.ชอบพล็อตหนังเรื่องนี้มาก และถึงแม้หนังเรื่องนี้จะสร้างขึ้นในปี 1969 ในยุคของสงครามเย็น แต่ดูเหมือนว่า
พล็อตหนังเรื่องนี้จะยังคง “ทันสมัย” แม้เวลาจะผ่านมานานเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม
เรื่องย่อของ MR.FREEDOM
มิสเตอร์ฟรีดอมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องคุ้มครองพระเจ้าและสหรัฐอเมริกา โดยใช้วิธีทำร้าย, ปล้นจี้, ข่มขืน และฆ่าคนทุกคนที่มีท่าทีว่ามีความคิดเห็นแตกต่างไปจากเขา
เมื่อมิสเตอร์ฟรีดอมได้ข่าวว่าฝรั่งเศสกำลังจะตกเป็นของคอมมิวนิสต์ เขาจึงเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อปกป้องฝรั่งเศสจากศัตรู แต่เมื่อเขาไม่ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากฝรั่งเศส เขาก็เลยล้มเลิกความหวังที่จะชักนำฝรั่งเศสออกจากโลกคอมมิวนิสต์ และตัดสินใจว่าจะทำลายประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศแทน
--อ่านเรื่องย่อของ MR.FREEDOM (1969) แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวสหรัฐเคยเกลียดชังชาวฝรั่งเศสมากๆในช่วงสงครามอิรัก จนถึงกับเรียก FRENCH FRIES ว่า FREEDOM FRIES
http://www.cnn.com/2003/ALLPOLITICS/03/11/sprj.irq.fries/
ผลงานภาพถ่ายของ WILLIAM KLEIN
CANDY STORE (1954-1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_candy_store.jpg
ST.PATRICK’S DAY, FIFTH AVENUE (1954-1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_st_patricks.jpg
DANCE IN BROOKLYN (1955)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_dance.jpg
MAURICE THOREZ’S FUNERAL (1964)
http://www.masters-of-photography.com/images/full/klein/klein_thorez.jpg
http://www.hackelbury.co.uk/images/artists/klein/hatandfive_md.jpg
http://www.comune.verona.it/scaviscaligeri/fnac/immagini/Klein.jpg
Wednesday, January 25, 2006
KNUT HAMSUN
*****STARPICS เล่มใหม่ หน้าปก WALK THE LINE มีบทความ “สิบหนังที่เกย์ยิ่งกว่า BROKEBACK MOUNTAIN” อ่านแล้วฮามากๆๆๆๆ ไม่ควรพลาดบทความนี้ด้วยประการทั้งปวง*****
ตอบคุณ OLIVER
หวัดดีทุกๆ คนครับ หายหน้าหายตาไปนาน ไม่ได้หนีไปมีแฟนที่ไหน แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานหลังขดหลังแข็งต่างหาก
ฮ่าๆๆ ถ้าหากคุณ OLIVER หนีไปมีแฟนที่ไหน ก็บอกดิฉันด้วยนะคะ ดิฉันจะได้รีบขี่ม้าสามศอก ไปฟ้อง JAKE GYLLENHAAL สามีของคุณ OLIVER ค่ะ
ตอนนี้มีแต่อะไรๆน่าดูไปหมดเลย ซึ่งรวมถึง
1.วันพฤหัสบดีที่ 26 ม.ค. (ก็วันพรุ่งนี้แล้วน่ะสิ) เวลา 19.30 น. จะมีการแสดงเรื่อง SLOWFLY/V.I.C.T.O.R.I.A. ที่สตูดิโอ 1 ภัทราวดีเธียเตอร์ บัตรราคา 350 บาท เป็นการแสดงเดี่ยวของศิลปินชาวนอรเวย์ MONICA EMILIE HERSTAD โดยดัดแปลงจากวรรณกรรมเรื่อง Victoria ของนักเขียนชาวนอร์เวย์ “คนุท หัมสั้น” (Knut Hamsun) เป็นการแสดงที่ผสมผสานการเต้นเดี่ยวเข้ากับวิดิทัศน์ซึ่งใช้ภาพธรรมชาติและทิวทัศน์ของประเทศนอร์เวย์ในการสื่อความหมาย รายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนให้กับผู้ประสบภัยธรณีพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปีพ.ศ.2547
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ภัทราวดีเธียเตอร์
69/1 ซอยวัดระฆัง ถนนอรุณอัมรินทร์
ศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์ 02 412 7087-8
โทรสาร 02 866 3062
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.patravaditheatre.com/
***คนุท หัมสั้น เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1920
http://nobelprize.org/literature/laureates/1920/hamsun-bio.html
***เคยมีการนำบทประพันธ์ของ คนุท หัมสั้น ไปดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 1”
2.ละครเวที “ตาดู หูชิม” ที่อักษร จุฬา 12 - 29 มกราคม 49เปิดเมนูรีวิวชุด “ตาดู หูชิม” วิพิธทัศนาที่รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับอาหาร หลากหลายรสชาติและเพลงหลากชนิดจากนานาชาติ อาทิเช่น บทเพลงพระราชนิพนธ์ บทเพลงไทยเดิม บทเพลงจากละครโอเปรา และ ละครมิวสิเคลของ บรอดเวย์ กำกับดนตรีและการแสดงโดย จารุณี หงส์จารุ บทและฝึกแสดงโดย ดังกมล ณ ป้อมเพชร แห่งภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ตาดู หูชิม” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 12-29 มกราคม 2549 (พุธ-ศุกร์ รอบ 18.30 น. เสาร์ 14.00 น. และ 18.30 น. อาทิตย์ 14.00 น.) ณ โรงละครอักษรศาสตร์ ตึกอักษรศาสตร์ 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2218-4802
3.ละครเวที 3 เรื่องของกลุ่มหน้ากากเปลือย ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55
3.1 Missing You
(Play in English) (นินาท สตูดิโอ) โรแมนติกนัวร์เหงาๆ กับภารกิจสุดท้ายของนักสืบความจำเสื่อม
- วันศุกร์-เสาร์ และ อาทิตย์ที่ 27, 28 และ 29 มกราคม 2549 เวลา 19.30 น.
3.2 คลั่ง
โรแมนติกระทึกขวัญ ของนักเขียนชื่อดังกับแฟนนิยายอันดับหนึ่ง
- วันศุกร์-เสาร์ และอาทิตย์ที่ 10, 11 และ 12 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 19.30 น.
3.3 ปลิว
ดัดแปลงจาก "ขอชื่อสุธี สามสี่ชาติ" โรแมนติกเซอร์ของเขา เธอ และคนอื่นอีกหลายคน และอื่นๆ อีกมากมาย
- วันศุกร์-เสาร์ และ อาทิตย์ที่ 17, 18 และ 19 มีนาคม 2549 เวลา 19.30 น.
..........................
หมายเหตุ : เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.00 น. แสดง ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ / บัตรราคา 180 บาท (นักเรียน-นักศึกษา ลดเหลือ 120 บาท) สอบถามรายละเอียด โทร.0-2712-8534, 0-6722-1435 และ 0-6612-6473 และ info@nakedmasks.com
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/16/w005_68203.php?news_id=68203
4.เทศกาลภาพยนตร์เม็กซิโกที่ลิโด
4.1 NO ONE WRITES TO THE COLONEL (1999, ARTURO RIPSTEIN)
พฤหัสบดี 2 ก.พ. 18.45 น. และอาทิตย์ 5 ก.พ. 18.30 น.
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองในปี 1999 คือภาพยนตร์เรื่อง No One Writes to the Colonel ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของอาร์ตูโร ริปสไตน์ ผู้กำกับชาวเม็กซิโก โดยสร้างชึ้นจากเรื่องสั้นของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม No One Writes to the Colonel เป็นภาพยนตร์เศร้าเกี่ยวกับความทุกข์และภาพมายาโดยมีตัวละครหลักเป็นอดีตนายพันในวัยชราที่เฝ้ารอบุรุษไปรษณีย์ทุกวันศุกร์ด้วยความหวังว่าจะได้รับเงินบำนาญที่ไม่ได้รับมา 27 ปีแล้ว บทนายพันนี้แสดงโดยเฟอร์นานโด ลูฮาน ส่วนบทภรรยาที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดของนายพันนั้นแสดงโดยมาริสา ปาเรเดส (The Flower of My Secret, High Heels) ทั้งคู่อาศัยอยู่อย่างยากจนในหมู่บ้านเล็กๆในเขตร้อนชื้นของเม็กซิโกในทศวรรษ 1950 โดยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากลูกชายของทั้งคู่ตายในเหตุการณ์ลึกลับ ริปสไตน์รู้จักมาร์เกซมาตั้งแต่เมื่อเขาอายุราว 20 ปี และเขาได้ขอมาร์เกซสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่มาร์เกซตอบว่า "ผมจะให้ลิขสิทธิ์คุณเมื่อคุณเรียนรู้แล้ว" และริปสไตน์ต้องใช้เวลารอถึง 33 ปี ริปสไตน์และปาเรเดสเคยร่วมงานกันแล้วในภาพยนตร์ปี 1998 เรื่อง Deep Crimson ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่หนุ่มสาวซึ่งเป็นฆาตกรใจโหด และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ในสหรัฐ โดยบางรายกล่าวว่า Deep Crimson นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ยากจะลืมได้ มาร์เกซเป็นนักประพันธ์ที่ผลงานของเขาถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์แล้วหลายเรื่อง เช่นเรื่อง I'm the One You're Looking For อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากงานประพันธ์ของมาร์เกซได้ที่ http://www.themodernword.com/gabo/gabo_films_movies.html
ARTURO RIPSTEIN เป็นศิษย์เอกของ LUIS BUNUEL เขาเคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง DIVINE (1998, A++++++++++), SUCH IS LIFE (2000, A+) และ THE RUINATION OF MEN (2000, A) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง THE VIRGIN OF LUST และ A PLACE WITHOUT LIMITS ของ ARTURO RIPSTEIN ได้ที่
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=3546
4.2 TOO MUCH LOVE (2002, ERNESTO RIMOCH)
http://www.imdb.com/title/tt0243212/
ศุกร์ 3 ก.พ. 18.30 น.
4.3 SNAKE AND LADDERS (1992, BUSI CORTES, B)
http://www.imdb.com/title/tt0105359/
เสาร์ 4 ก.พ. 18.30 น.
หนังเรื่อง “งูตกกระได” นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหญิงสาว 2 คน หนังเคยมาลงโรงฉายในไทยแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน และรู้สึกว่าจะเคยมาฉายทาง UBC แล้วหลายครั้ง
5.WWE SMACK DOWN LIVE TOUR IN THAILAND 2006
ศึกมวยปล้ำที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี วันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ. เวลา 19.30 น. บัตรราคา 1000-5000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaiticketmaster.com/sport/wwe2006.php
ไม่แน่ใจว่าจะมีนักมวยปล้ำคนไหนมาร่วมงานนี้บ้าง แต่คาดว่าน่าจะมี
1.BATISTA
http://sportsmedia.ign.com/sports/image/article/635/635699/batista-animal-unleashed-20050721051503000.jpg
http://sportsmedia.ign.com/sports/image/article/635/635699/batista-animal-unleashed-20050721051506249.jpg
http://rawsmackdown.blogs.sapo.pt/arquivo/batista%20e%20eddie.jpg
http://www.savannahnow.com/diversions/images/120204/full_Batista4.jpg
http://www.btwrestling.com/autographs/batista.jpg
http://rawsmackdown.blogs.sapo.pt/arquivo/batista%20saves%20eddie.jpg
2.RANDY ORTON
http://www.obsessedwithwrestling.com/gallery/rorton.html
http://randyortonera.com/gallery
http://www.obsessedwithwrestling.com/pictures/r/randyorton/10.jpg
http://www.hotfair.com/images/upload/RandyOrton.jpg
http://raw-smackdown.ifrance.com/images/Sfondo%20Vengeance%202004%20(Randy%20Orton).jpg
ตอบคุณ OLIVER
หวัดดีทุกๆ คนครับ หายหน้าหายตาไปนาน ไม่ได้หนีไปมีแฟนที่ไหน แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานหลังขดหลังแข็งต่างหาก
ฮ่าๆๆ ถ้าหากคุณ OLIVER หนีไปมีแฟนที่ไหน ก็บอกดิฉันด้วยนะคะ ดิฉันจะได้รีบขี่ม้าสามศอก ไปฟ้อง JAKE GYLLENHAAL สามีของคุณ OLIVER ค่ะ
ตอนนี้มีแต่อะไรๆน่าดูไปหมดเลย ซึ่งรวมถึง
1.วันพฤหัสบดีที่ 26 ม.ค. (ก็วันพรุ่งนี้แล้วน่ะสิ) เวลา 19.30 น. จะมีการแสดงเรื่อง SLOWFLY/V.I.C.T.O.R.I.A. ที่สตูดิโอ 1 ภัทราวดีเธียเตอร์ บัตรราคา 350 บาท เป็นการแสดงเดี่ยวของศิลปินชาวนอรเวย์ MONICA EMILIE HERSTAD โดยดัดแปลงจากวรรณกรรมเรื่อง Victoria ของนักเขียนชาวนอร์เวย์ “คนุท หัมสั้น” (Knut Hamsun) เป็นการแสดงที่ผสมผสานการเต้นเดี่ยวเข้ากับวิดิทัศน์ซึ่งใช้ภาพธรรมชาติและทิวทัศน์ของประเทศนอร์เวย์ในการสื่อความหมาย รายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนให้กับผู้ประสบภัยธรณีพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปีพ.ศ.2547
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ภัทราวดีเธียเตอร์
69/1 ซอยวัดระฆัง ถนนอรุณอัมรินทร์
ศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์ 02 412 7087-8
โทรสาร 02 866 3062
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.patravaditheatre.com/
***คนุท หัมสั้น เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1920
http://nobelprize.org/literature/laureates/1920/hamsun-bio.html
***เคยมีการนำบทประพันธ์ของ คนุท หัมสั้น ไปดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 1”
2.ละครเวที “ตาดู หูชิม” ที่อักษร จุฬา 12 - 29 มกราคม 49เปิดเมนูรีวิวชุด “ตาดู หูชิม” วิพิธทัศนาที่รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับอาหาร หลากหลายรสชาติและเพลงหลากชนิดจากนานาชาติ อาทิเช่น บทเพลงพระราชนิพนธ์ บทเพลงไทยเดิม บทเพลงจากละครโอเปรา และ ละครมิวสิเคลของ บรอดเวย์ กำกับดนตรีและการแสดงโดย จารุณี หงส์จารุ บทและฝึกแสดงโดย ดังกมล ณ ป้อมเพชร แห่งภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ตาดู หูชิม” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 12-29 มกราคม 2549 (พุธ-ศุกร์ รอบ 18.30 น. เสาร์ 14.00 น. และ 18.30 น. อาทิตย์ 14.00 น.) ณ โรงละครอักษรศาสตร์ ตึกอักษรศาสตร์ 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2218-4802
3.ละครเวที 3 เรื่องของกลุ่มหน้ากากเปลือย ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55
3.1 Missing You
(Play in English) (นินาท สตูดิโอ) โรแมนติกนัวร์เหงาๆ กับภารกิจสุดท้ายของนักสืบความจำเสื่อม
- วันศุกร์-เสาร์ และ อาทิตย์ที่ 27, 28 และ 29 มกราคม 2549 เวลา 19.30 น.
3.2 คลั่ง
โรแมนติกระทึกขวัญ ของนักเขียนชื่อดังกับแฟนนิยายอันดับหนึ่ง
- วันศุกร์-เสาร์ และอาทิตย์ที่ 10, 11 และ 12 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 19.30 น.
3.3 ปลิว
ดัดแปลงจาก "ขอชื่อสุธี สามสี่ชาติ" โรแมนติกเซอร์ของเขา เธอ และคนอื่นอีกหลายคน และอื่นๆ อีกมากมาย
- วันศุกร์-เสาร์ และ อาทิตย์ที่ 17, 18 และ 19 มีนาคม 2549 เวลา 19.30 น.
..........................
หมายเหตุ : เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.00 น. แสดง ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ / บัตรราคา 180 บาท (นักเรียน-นักศึกษา ลดเหลือ 120 บาท) สอบถามรายละเอียด โทร.0-2712-8534, 0-6722-1435 และ 0-6612-6473 และ info@nakedmasks.com
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/16/w005_68203.php?news_id=68203
4.เทศกาลภาพยนตร์เม็กซิโกที่ลิโด
4.1 NO ONE WRITES TO THE COLONEL (1999, ARTURO RIPSTEIN)
พฤหัสบดี 2 ก.พ. 18.45 น. และอาทิตย์ 5 ก.พ. 18.30 น.
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองในปี 1999 คือภาพยนตร์เรื่อง No One Writes to the Colonel ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของอาร์ตูโร ริปสไตน์ ผู้กำกับชาวเม็กซิโก โดยสร้างชึ้นจากเรื่องสั้นของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม No One Writes to the Colonel เป็นภาพยนตร์เศร้าเกี่ยวกับความทุกข์และภาพมายาโดยมีตัวละครหลักเป็นอดีตนายพันในวัยชราที่เฝ้ารอบุรุษไปรษณีย์ทุกวันศุกร์ด้วยความหวังว่าจะได้รับเงินบำนาญที่ไม่ได้รับมา 27 ปีแล้ว บทนายพันนี้แสดงโดยเฟอร์นานโด ลูฮาน ส่วนบทภรรยาที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดของนายพันนั้นแสดงโดยมาริสา ปาเรเดส (The Flower of My Secret, High Heels) ทั้งคู่อาศัยอยู่อย่างยากจนในหมู่บ้านเล็กๆในเขตร้อนชื้นของเม็กซิโกในทศวรรษ 1950 โดยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากลูกชายของทั้งคู่ตายในเหตุการณ์ลึกลับ ริปสไตน์รู้จักมาร์เกซมาตั้งแต่เมื่อเขาอายุราว 20 ปี และเขาได้ขอมาร์เกซสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่มาร์เกซตอบว่า "ผมจะให้ลิขสิทธิ์คุณเมื่อคุณเรียนรู้แล้ว" และริปสไตน์ต้องใช้เวลารอถึง 33 ปี ริปสไตน์และปาเรเดสเคยร่วมงานกันแล้วในภาพยนตร์ปี 1998 เรื่อง Deep Crimson ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่หนุ่มสาวซึ่งเป็นฆาตกรใจโหด และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ในสหรัฐ โดยบางรายกล่าวว่า Deep Crimson นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ยากจะลืมได้ มาร์เกซเป็นนักประพันธ์ที่ผลงานของเขาถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์แล้วหลายเรื่อง เช่นเรื่อง I'm the One You're Looking For อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากงานประพันธ์ของมาร์เกซได้ที่ http://www.themodernword.com/gabo/gabo_films_movies.html
ARTURO RIPSTEIN เป็นศิษย์เอกของ LUIS BUNUEL เขาเคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง DIVINE (1998, A++++++++++), SUCH IS LIFE (2000, A+) และ THE RUINATION OF MEN (2000, A) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง THE VIRGIN OF LUST และ A PLACE WITHOUT LIMITS ของ ARTURO RIPSTEIN ได้ที่
http://bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=3546
4.2 TOO MUCH LOVE (2002, ERNESTO RIMOCH)
http://www.imdb.com/title/tt0243212/
ศุกร์ 3 ก.พ. 18.30 น.
4.3 SNAKE AND LADDERS (1992, BUSI CORTES, B)
http://www.imdb.com/title/tt0105359/
เสาร์ 4 ก.พ. 18.30 น.
หนังเรื่อง “งูตกกระได” นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหญิงสาว 2 คน หนังเคยมาลงโรงฉายในไทยแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน และรู้สึกว่าจะเคยมาฉายทาง UBC แล้วหลายครั้ง
5.WWE SMACK DOWN LIVE TOUR IN THAILAND 2006
ศึกมวยปล้ำที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี วันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ. เวลา 19.30 น. บัตรราคา 1000-5000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaiticketmaster.com/sport/wwe2006.php
ไม่แน่ใจว่าจะมีนักมวยปล้ำคนไหนมาร่วมงานนี้บ้าง แต่คาดว่าน่าจะมี
1.BATISTA
http://sportsmedia.ign.com/sports/image/article/635/635699/batista-animal-unleashed-20050721051503000.jpg
http://sportsmedia.ign.com/sports/image/article/635/635699/batista-animal-unleashed-20050721051506249.jpg
http://rawsmackdown.blogs.sapo.pt/arquivo/batista%20e%20eddie.jpg
http://www.savannahnow.com/diversions/images/120204/full_Batista4.jpg
http://www.btwrestling.com/autographs/batista.jpg
http://rawsmackdown.blogs.sapo.pt/arquivo/batista%20saves%20eddie.jpg
2.RANDY ORTON
http://www.obsessedwithwrestling.com/gallery/rorton.html
http://randyortonera.com/gallery
http://www.obsessedwithwrestling.com/pictures/r/randyorton/10.jpg
http://www.hotfair.com/images/upload/RandyOrton.jpg
http://raw-smackdown.ifrance.com/images/Sfondo%20Vengeance%202004%20(Randy%20Orton).jpg
Monday, January 23, 2006
CLAUDE GORETTA
--จริงๆแล้วรู้สึกว่าเรื่องสั้นประกอบภาพ “ฉันคือ อายูมิ ฮามาซากิ” ให้ความรู้สึกที่เศร้ามาก แต่ความรู้สึกฮาเกิดขึ้นเมื่อพยายามจินตนาการภาพของน้อง merveillesxx เข้าไปแทนที่ภาพของอายูมิ ฮามาซากิ ลองจินตนาการภาพน้อง merveillesxx ยืนเท้าสะเอว แล้วเชิดหน้า, จินตนาการภาพน้อง merveillesxx ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลังบนเวที, ภาพน้องนอนไถลร่วงตกลงมาจากเตียง พอจินตนาการภาพแบบนี้เข้ามาในหัวแล้วก็อดรู้สึกขำขึ้นมาไม่ได้
--ตอนนี้พอเห็นภาพปก NEVER EVER ทีไร ก็จะนึกถึงคำว่า “เล็บฉีกหลังจากคุ้ยถังขยะ” ขึ้นมาทันที
--ภาพปก NEVER EVER ดูเหมือนไม่ใช่ภาพของ “การโพสท์ท่าสวยๆ” เหมือนอย่างภาพนักร้องทั่วไป แต่เป็นภาพที่เหมือนเป็นส่วนประกอบของ “เรื่องราว” อะไรสักอย่าง ภาพๆนี้เป็นภาพที่เอื้อต่อการแต่งเรื่องแต่งราวประกอบภาพเป็นอย่างมาก ในขณะที่ภาพอื่นๆอาจจะดูสมบูรณ์ในตัวมันเองโดยไม่ต้องมี story ประกอบ แต่ภาพ NEVER EVER นี่มันดูเรียกร้องให้มีการใส่คำบรรยายประกอบภาพหรือแต่งเสริมเติมเรื่องราวเข้าไปเป็นอย่างมาก
--เวลาเห็นคนบ้าบางคนต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะเป็นมิจฉาชีพแกล้งปลอมตัวเป็นคนบ้า เพื่อนดิฉันเดินไปตามถนน อยู่ดีๆเจอผู้หญิงบ้าเดินมากอดพักนึงแล้วก็เดินจากไป พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าผู้หญิงบ้าคนนั้นได้ล้วงกระเป๋าเพื่อนดิฉันไปแล้วเรียบร้อย
--รถเมล์สาย 53 เป็นสายที่นั่งประจำตอนมาเรียนมัธยมและมหาลัย โดยนั่งจากแถวคุรุสภา แล้วมาลงตรงแถววงเวียน 22 กรกฏา เพื่อนั่งรถสาย 25 หรื อ40 ต่อมาที่โรงเรียนมัธยมและมหาลัย เป็นรถสายที่ชอบมากๆในตอนนั้น (นั่งบ่อยๆประมาณปลายทศวรรษ 1980 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 1990) เพราะว่ามันมาถี่มาก และคนไม่เคยแน่น รถเมล์สายนี้ไม่เคยใช้เวลายืนรอนาน ยืนรอแค่ 3-5 นาทีต้องมีแล่นมาแล้วหนึ่งคัน และไม่เคยแน่น เพราะคนที่ขึ้นรถสายนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นแค่ระยะทางสั้นๆ คนจะขึ้นลงกันตลอดเวลา ไม่เหมือนรถเมล์สายอื่นๆที่จะมีคนนั่งติดต่อกันเป็นระยะทางยาวๆ แต่หลังจากจบมหาลัยก็แทบไม่มีโอกาสได้นั่งรถเมล์สายนี้อีกเลย เห็นรถเมล์สายนี้ทีไรก็จะนึกถึงความทรงจำเก่าๆในอดีตที่เต็มไปด้วยความสุข
--ในขณะที่รถเมล์สาย 53 ติดอันดับรถเมล์ที่มาบ่อยที่สุดในชีวิตของดิฉัน รถเมล์อีกสายหนึ่งที่เห็นแล่นมาถี่มากๆก็คือสาย “1” ที่แล่นผ่านแถวท่าช้าง เพื่อนดิฉันเคยบอกว่า รถเมล์สาย “1” จะมาทุกๆ “1 นาที” (แต่ส่วนใหญ่จะมาในสภาพของมินิบัส) ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย แต่ช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่ารถเมล์สาย 1 ยังคงมาถี่เหมือนเมื่อในอดีตหรือเปล่า
--เรื่อง XEROX เลคเชอร์นี่ ดิฉันก็เป็นทั้งฝ่ายให้คนอื่นๆ XEROX และฝ่าย XEROX คนอื่นๆเหมือนกันค่ะ เพราะสมัยอยู่มหาลัยก็โดดเรียนบ่อยเหมือนกัน เพราะดิฉันเรียนจุฬา แต่เพื่อนสนิทเรียนอยู่เกษตรกับประสานมิตร เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยมักจะโดดเรียนและไปสิงสถิตย์อยู่ที่ม.เกษตรกับม.ประสานมิตรแทน เวลาไปอยู่สองมหาลัยนี้จะมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้อยู่กับเพื่อนสนิทแล้ว ยังรู้สึกว่า “ไม่มีใครรู้จักเรา” อีกด้วย และพอไม่มีใครรู้จักเรา เราก็สามารถทำตัวตามสบายได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีสายตาของเพื่อนๆในมหาลัยคอยจับตาพร้อมกับนินทาด่าทอเราลับหลัง การได้อยู่ในสถานที่ที่ “ไม่มีคนรู้จักเรา นอกจากเพื่อนสนิทของเรา” ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
จำได้ว่ามีบางเทอม ตัวเองจะโดดเรียนวันศุกร์ทั้งวันเลย เพื่อไปอยู่ที่ประสานมิตรทั้งวัน ส่วนใหญ่จะไปนั่งอยู่ในห้องสมุดประสานมิตร ส่วนที่ม.เกษตร ดิฉันมักจะสิงสถิตย์อยู่ตามโรงอาหารต่างๆ
ยุคนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน มีบางครั้งพอทุกคนมารวมตัวกันที่ประสานมิตร และเพื่อนดิฉันเรียนเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะยกขบวนมาสิงสถิตย์ที่มาบุญครองต่อ แต่รถในถนนเพชรบุรีตัดใหม่ติดอย่างวินาศสันตะโรมากๆในตอนเย็น เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยใช้วิธี “เดิน” เดินจากประสานมิตรมามาบุญครองกัน (ไม่กล้าขึ้นเรือค่ะ) ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร แต่เนื่องจากเป็นการเดินคุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ จึงไม่มีความรู้สึกว่าไกลเลยแม้แต่นิดเดียว กิจกรรมการเดินจากประสานมิตรมามาบุญครองเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีความสุขมากในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้คงทำไม่ได้แล้ว เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย อาจจะถึงขั้นรากเลือดได้ถ้าหากทำในปัจจุบัน
แต่ในบางวิชาที่ดิฉันเข้าเรียนเป็นประจำนั้น เพื่อนดิฉันบางคนก็เคยมาขอยืมเลคเชอร์ไป XEROX เหมือนกัน เพราะดิฉันทำคะแนนได้ดีในบางวิชา แต่ดิฉันก็ต้องเตือนทุกคนที่มายืมเลคเชอร์ไป XEROX ว่าให้ระวังให้ดี เพราะดิฉันมีการ “แต่งเรื่อง” เสริมเข้าไปในเลคเชอร์ด้วย
สมุดเลคเชอร์ของดิฉันจะแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะจะมีทั้ง “เรื่องจริง” และ “เรื่องแต่ง” ผสมผสานกัน สาเหตุเป็นเพราะว่าดิฉันเป็นโรค “ง่วงนอนอย่างรุนแรงตลอดเวลา” ขณะอยู่ในห้องเรียน ก็เลยแก้ง่วงด้วยการ “แต่งเรื่อง” ไปเรื่อยๆขณะที่จดเลคเชอร์ ดิฉันจะจดในสิ่งที่อาจารย์พูด และก็จะแต่งเรื่องชิบหายๆประกอบไปด้วยเพื่อความสนุกสนานและไม่ให้ตัวเองง่วงนอน อย่างเช่น เวลาเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศบางประเทศ และอาจารย์บรรยายว่าประเทศนั้นเคยมีปัญหาระหว่างชนเชื้อสาย A กับชนเชื้อสายจีน ดิฉันจะจดลงไปในสมุดเลคเชอร์ว่า “ในปี ค.ศ. 1961 เคยเกิดปัญหาปะทะกันทางเชื้อชาติอย่างรุนแรง เมื่อกลุ่มหญิงสาวชาว A บุกเข้าไปในหอพักของนักศึกษาหนุ่มๆเชื้อสายจีน” การแต่งเรื่องอย่างนี้ไม่ทำให้ดิฉันสับสนแต่อย่างใดขณะท่องหนังสือสอบ เพราะดิฉันจำได้ดีว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง และอันไหนดิฉันแต่งขึ้นมาเองสดๆขณะจดเลคเชอร์ แต่เพื่อนๆดิฉันที่ยืมสมุดไป XEROX อาจจะแยกแยะไม่ถูก และอาจจะเผลอเอาเรื่องแต่งชิบหายๆของดิฉันเขียนตอบไปในกระดาษคำตอบส่งอาจารย์ได้
--พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีผู้หญิงบางคนชอบคุยกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จักทางโทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน เรื่องเกิดขึ้นเพราะว่าดิฉันอยู่อพาร์ทเมนท์ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนึงจะโทรมาหาดิฉัน แต่กดเบอร์ห้องดิฉันผิด ไปติดเบอร์ห้องอีกห้องนึงที่มีตัวเลขคล้ายๆกัน ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงรับ สิ่งที่ประหลาดก็คือว่าแทนที่ผู้หญิงคนนั้นจะบอกแค่ว่า “คุณกดผิดค่ะ” แล้วก็วางหูโทรศัพท์ไป เธอกลับชวนเพื่อนผู้ชายของดิฉันคุยต่อเป็นคุ้งเป็นแควเลยทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันหรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตาชื่อเสียงเรียงนามกันมาก่อน (แต่ถ้าหากเธอรู้จัก เธออาจจะไม่ชวนคุยต่อก็ได้ เพราะเพื่อนผู้ชายคนนั้นเป็นเกย์ โฮะๆๆๆๆ)
--IN HER SHOES จัดเป็นหนังที่ชอบมากผิดคาดเรื่องนึง พอๆกับ THE FAMILY STONE เพราะตอนดูหนังตัวอย่าง รู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้มันน่าจะเป็นหนังสูตรสำเร็จแบบที่ดิฉันไม่ชอบ แต่พอได้ดูเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่าถึงมันจะยังคงมีความเป็นฮอลลีวู้ดสูง และพล็อตเรื่องดูเน่าๆยังไงพิกล แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินกับมันมากกว่าที่คาด
ปกติรู้สึกเฉยๆกับ SARAH JESSICA PARKER และ CAMERON DIAZ แต่หนังสองเรื่องนี้ทำให้ชอบดาราหญิงสองคนนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก การแสดงของ SARAH JESSICA PARKER ใน THE FAMILY STONE เต็มไปด้วยอากัปกิริยาเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจมาก ส่วน CAMERON DIAZ ก็ทำให้ตัวละครที่ดูสูตรสำเร็จมากๆ (สาวสำส่อนสมองกลวง) ดูเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆขึ้นมาได้
--นอกจาก 3-IRON จะติดอันดับ TOP TEN ประจำปี 2005 ของน้อง merveillesxx แล้ว หนังเรื่องนี้ยังติดอันดับ TOP TEN ประจำปีของ JOUMANE CHAHINE นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอนด้วยเช่นกัน
อันดับ TOP TEN หนังโปรดในปี 2005 ของ JOUMANE CHAHINE มีดังต่อไปนี้ (จากนิตยสาร FILM COMMENT)
1.KINGS AND QUEEN (ARNAUD DESPLECHIN)
2.HIDDEN
3.MATCH POINT
4.JARHEAD
5.BROKEBACK MOUNTAIN
6.THE DEATH OF MR. LAZARESCU
7.3-IRON
8.CAPOTE
9.THE SQUID AND THE WHALE
10.BATMAN BEGINS
11.MASSKAER (MONIKA BORGMANN+LOKMAN SLIM +HERMANN THEISSEN)
และ WALLACE & GROMIT: THE CURSE OF THE WERE-RABBIT
--วันนี้ได้ดูหนัง 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ
1.AMATEUR (1994, HAL HARTLEY, A+)
2.THE LACEMAKER (1977, CLAUDE GORETTA, A+)
3.JUST LIKE HEAVEN (2000, MARK WATERS, A)
--ตอนนี้พอเห็นภาพปก NEVER EVER ทีไร ก็จะนึกถึงคำว่า “เล็บฉีกหลังจากคุ้ยถังขยะ” ขึ้นมาทันที
--ภาพปก NEVER EVER ดูเหมือนไม่ใช่ภาพของ “การโพสท์ท่าสวยๆ” เหมือนอย่างภาพนักร้องทั่วไป แต่เป็นภาพที่เหมือนเป็นส่วนประกอบของ “เรื่องราว” อะไรสักอย่าง ภาพๆนี้เป็นภาพที่เอื้อต่อการแต่งเรื่องแต่งราวประกอบภาพเป็นอย่างมาก ในขณะที่ภาพอื่นๆอาจจะดูสมบูรณ์ในตัวมันเองโดยไม่ต้องมี story ประกอบ แต่ภาพ NEVER EVER นี่มันดูเรียกร้องให้มีการใส่คำบรรยายประกอบภาพหรือแต่งเสริมเติมเรื่องราวเข้าไปเป็นอย่างมาก
--เวลาเห็นคนบ้าบางคนต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะเป็นมิจฉาชีพแกล้งปลอมตัวเป็นคนบ้า เพื่อนดิฉันเดินไปตามถนน อยู่ดีๆเจอผู้หญิงบ้าเดินมากอดพักนึงแล้วก็เดินจากไป พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าผู้หญิงบ้าคนนั้นได้ล้วงกระเป๋าเพื่อนดิฉันไปแล้วเรียบร้อย
--รถเมล์สาย 53 เป็นสายที่นั่งประจำตอนมาเรียนมัธยมและมหาลัย โดยนั่งจากแถวคุรุสภา แล้วมาลงตรงแถววงเวียน 22 กรกฏา เพื่อนั่งรถสาย 25 หรื อ40 ต่อมาที่โรงเรียนมัธยมและมหาลัย เป็นรถสายที่ชอบมากๆในตอนนั้น (นั่งบ่อยๆประมาณปลายทศวรรษ 1980 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 1990) เพราะว่ามันมาถี่มาก และคนไม่เคยแน่น รถเมล์สายนี้ไม่เคยใช้เวลายืนรอนาน ยืนรอแค่ 3-5 นาทีต้องมีแล่นมาแล้วหนึ่งคัน และไม่เคยแน่น เพราะคนที่ขึ้นรถสายนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นแค่ระยะทางสั้นๆ คนจะขึ้นลงกันตลอดเวลา ไม่เหมือนรถเมล์สายอื่นๆที่จะมีคนนั่งติดต่อกันเป็นระยะทางยาวๆ แต่หลังจากจบมหาลัยก็แทบไม่มีโอกาสได้นั่งรถเมล์สายนี้อีกเลย เห็นรถเมล์สายนี้ทีไรก็จะนึกถึงความทรงจำเก่าๆในอดีตที่เต็มไปด้วยความสุข
--ในขณะที่รถเมล์สาย 53 ติดอันดับรถเมล์ที่มาบ่อยที่สุดในชีวิตของดิฉัน รถเมล์อีกสายหนึ่งที่เห็นแล่นมาถี่มากๆก็คือสาย “1” ที่แล่นผ่านแถวท่าช้าง เพื่อนดิฉันเคยบอกว่า รถเมล์สาย “1” จะมาทุกๆ “1 นาที” (แต่ส่วนใหญ่จะมาในสภาพของมินิบัส) ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย แต่ช่วง 5-6 ปีหลังมานี้ก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่ารถเมล์สาย 1 ยังคงมาถี่เหมือนเมื่อในอดีตหรือเปล่า
--เรื่อง XEROX เลคเชอร์นี่ ดิฉันก็เป็นทั้งฝ่ายให้คนอื่นๆ XEROX และฝ่าย XEROX คนอื่นๆเหมือนกันค่ะ เพราะสมัยอยู่มหาลัยก็โดดเรียนบ่อยเหมือนกัน เพราะดิฉันเรียนจุฬา แต่เพื่อนสนิทเรียนอยู่เกษตรกับประสานมิตร เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยมักจะโดดเรียนและไปสิงสถิตย์อยู่ที่ม.เกษตรกับม.ประสานมิตรแทน เวลาไปอยู่สองมหาลัยนี้จะมีความสุขมาก เพราะนอกจากจะได้อยู่กับเพื่อนสนิทแล้ว ยังรู้สึกว่า “ไม่มีใครรู้จักเรา” อีกด้วย และพอไม่มีใครรู้จักเรา เราก็สามารถทำตัวตามสบายได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีสายตาของเพื่อนๆในมหาลัยคอยจับตาพร้อมกับนินทาด่าทอเราลับหลัง การได้อยู่ในสถานที่ที่ “ไม่มีคนรู้จักเรา นอกจากเพื่อนสนิทของเรา” ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
จำได้ว่ามีบางเทอม ตัวเองจะโดดเรียนวันศุกร์ทั้งวันเลย เพื่อไปอยู่ที่ประสานมิตรทั้งวัน ส่วนใหญ่จะไปนั่งอยู่ในห้องสมุดประสานมิตร ส่วนที่ม.เกษตร ดิฉันมักจะสิงสถิตย์อยู่ตามโรงอาหารต่างๆ
ยุคนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน มีบางครั้งพอทุกคนมารวมตัวกันที่ประสานมิตร และเพื่อนดิฉันเรียนเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะยกขบวนมาสิงสถิตย์ที่มาบุญครองต่อ แต่รถในถนนเพชรบุรีตัดใหม่ติดอย่างวินาศสันตะโรมากๆในตอนเย็น เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยใช้วิธี “เดิน” เดินจากประสานมิตรมามาบุญครองกัน (ไม่กล้าขึ้นเรือค่ะ) ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร แต่เนื่องจากเป็นการเดินคุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ จึงไม่มีความรู้สึกว่าไกลเลยแม้แต่นิดเดียว กิจกรรมการเดินจากประสานมิตรมามาบุญครองเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีความสุขมากในอดีต แต่ในปัจจุบันนี้คงทำไม่ได้แล้ว เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย อาจจะถึงขั้นรากเลือดได้ถ้าหากทำในปัจจุบัน
แต่ในบางวิชาที่ดิฉันเข้าเรียนเป็นประจำนั้น เพื่อนดิฉันบางคนก็เคยมาขอยืมเลคเชอร์ไป XEROX เหมือนกัน เพราะดิฉันทำคะแนนได้ดีในบางวิชา แต่ดิฉันก็ต้องเตือนทุกคนที่มายืมเลคเชอร์ไป XEROX ว่าให้ระวังให้ดี เพราะดิฉันมีการ “แต่งเรื่อง” เสริมเข้าไปในเลคเชอร์ด้วย
สมุดเลคเชอร์ของดิฉันจะแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะจะมีทั้ง “เรื่องจริง” และ “เรื่องแต่ง” ผสมผสานกัน สาเหตุเป็นเพราะว่าดิฉันเป็นโรค “ง่วงนอนอย่างรุนแรงตลอดเวลา” ขณะอยู่ในห้องเรียน ก็เลยแก้ง่วงด้วยการ “แต่งเรื่อง” ไปเรื่อยๆขณะที่จดเลคเชอร์ ดิฉันจะจดในสิ่งที่อาจารย์พูด และก็จะแต่งเรื่องชิบหายๆประกอบไปด้วยเพื่อความสนุกสนานและไม่ให้ตัวเองง่วงนอน อย่างเช่น เวลาเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศบางประเทศ และอาจารย์บรรยายว่าประเทศนั้นเคยมีปัญหาระหว่างชนเชื้อสาย A กับชนเชื้อสายจีน ดิฉันจะจดลงไปในสมุดเลคเชอร์ว่า “ในปี ค.ศ. 1961 เคยเกิดปัญหาปะทะกันทางเชื้อชาติอย่างรุนแรง เมื่อกลุ่มหญิงสาวชาว A บุกเข้าไปในหอพักของนักศึกษาหนุ่มๆเชื้อสายจีน” การแต่งเรื่องอย่างนี้ไม่ทำให้ดิฉันสับสนแต่อย่างใดขณะท่องหนังสือสอบ เพราะดิฉันจำได้ดีว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง และอันไหนดิฉันแต่งขึ้นมาเองสดๆขณะจดเลคเชอร์ แต่เพื่อนๆดิฉันที่ยืมสมุดไป XEROX อาจจะแยกแยะไม่ถูก และอาจจะเผลอเอาเรื่องแต่งชิบหายๆของดิฉันเขียนตอบไปในกระดาษคำตอบส่งอาจารย์ได้
--พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีผู้หญิงบางคนชอบคุยกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จักทางโทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน เรื่องเกิดขึ้นเพราะว่าดิฉันอยู่อพาร์ทเมนท์ แล้วเพื่อนผู้ชายคนนึงจะโทรมาหาดิฉัน แต่กดเบอร์ห้องดิฉันผิด ไปติดเบอร์ห้องอีกห้องนึงที่มีตัวเลขคล้ายๆกัน ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงรับ สิ่งที่ประหลาดก็คือว่าแทนที่ผู้หญิงคนนั้นจะบอกแค่ว่า “คุณกดผิดค่ะ” แล้วก็วางหูโทรศัพท์ไป เธอกลับชวนเพื่อนผู้ชายของดิฉันคุยต่อเป็นคุ้งเป็นแควเลยทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันหรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตาชื่อเสียงเรียงนามกันมาก่อน (แต่ถ้าหากเธอรู้จัก เธออาจจะไม่ชวนคุยต่อก็ได้ เพราะเพื่อนผู้ชายคนนั้นเป็นเกย์ โฮะๆๆๆๆ)
--IN HER SHOES จัดเป็นหนังที่ชอบมากผิดคาดเรื่องนึง พอๆกับ THE FAMILY STONE เพราะตอนดูหนังตัวอย่าง รู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้มันน่าจะเป็นหนังสูตรสำเร็จแบบที่ดิฉันไม่ชอบ แต่พอได้ดูเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่าถึงมันจะยังคงมีความเป็นฮอลลีวู้ดสูง และพล็อตเรื่องดูเน่าๆยังไงพิกล แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินกับมันมากกว่าที่คาด
ปกติรู้สึกเฉยๆกับ SARAH JESSICA PARKER และ CAMERON DIAZ แต่หนังสองเรื่องนี้ทำให้ชอบดาราหญิงสองคนนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก การแสดงของ SARAH JESSICA PARKER ใน THE FAMILY STONE เต็มไปด้วยอากัปกิริยาเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจมาก ส่วน CAMERON DIAZ ก็ทำให้ตัวละครที่ดูสูตรสำเร็จมากๆ (สาวสำส่อนสมองกลวง) ดูเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆขึ้นมาได้
--นอกจาก 3-IRON จะติดอันดับ TOP TEN ประจำปี 2005 ของน้อง merveillesxx แล้ว หนังเรื่องนี้ยังติดอันดับ TOP TEN ประจำปีของ JOUMANE CHAHINE นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอนด้วยเช่นกัน
อันดับ TOP TEN หนังโปรดในปี 2005 ของ JOUMANE CHAHINE มีดังต่อไปนี้ (จากนิตยสาร FILM COMMENT)
1.KINGS AND QUEEN (ARNAUD DESPLECHIN)
2.HIDDEN
3.MATCH POINT
4.JARHEAD
5.BROKEBACK MOUNTAIN
6.THE DEATH OF MR. LAZARESCU
7.3-IRON
8.CAPOTE
9.THE SQUID AND THE WHALE
10.BATMAN BEGINS
11.MASSKAER (MONIKA BORGMANN+LOKMAN SLIM +HERMANN THEISSEN)
และ WALLACE & GROMIT: THE CURSE OF THE WERE-RABBIT
--วันนี้ได้ดูหนัง 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ
1.AMATEUR (1994, HAL HARTLEY, A+)
2.THE LACEMAKER (1977, CLAUDE GORETTA, A+)
3.JUST LIKE HEAVEN (2000, MARK WATERS, A)
A BOLD FAMILY (2005, CHO MYUNG-NAM, A+++++)
ไม่รู้ว่าคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND เคยเห็นรูปคุณแฟรงเกนสไตน์ตัวจริงแล้วยังคะ ถ้ายังไม่เคยเห็น ก็เข้าไปดูได้ในกระทู้ข้างล่างนี้ค่ะ คุณ GENTLE เขาเคยเอารูปคุณแฟรงเกนสไตน์มาโพสท์ไว้
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=8580
ขอแปะความรู้สึกของตัวเองกับหนังที่เพิ่งได้ดูนะคะ แล้วเดี๋ยววันหลังจะมาตอบคนอื่นๆค่ะ
วันนี้ได้ดูหนังอีก 2 เรื่องที่ EGV METROPOLIS ซึ่งก็คือ
1.A BOLD FAMILY (2005, CHO MYUNG-NAM, A+++++)
http://www.mykima.org/festival_4th/films_bf.htm
หนังมีฉายรอบ 10.45 น., 13.00 น., 17.30 น. และ 19.45 น.
บางทีนี่อาจจะเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกในชีวิตที่ทำให้ดิฉันดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง (ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าเคยดูหนังเกาหลีเรื่องไหนแล้วร้องไห้บ้าง บางทีวันหลังอาจจะนึกออก) หนังเรื่องนี้มีส่วนที่ไม่ชอบเยอะมาก ถ้าหากดิฉันเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยการให้ 100 คะแนนเต็มตั้งแต่เริ่มแรก แล้วพอเจอส่วนที่ไม่ชอบ ก็หักคะแนนทิ้งไปเรื่อยๆ บางทีพอดูจนจบแล้วดิฉันอาจจะเหลือคะแนนให้หนังเรื่องนี้แค่ 10 คะแนน จาก 100 คะแนน อย่างไรก็ดี มีอยู่ 5 วินาทีในหนังเรื่องนี้ที่โดนใจดิฉันอย่างรุนแรงสุดๆ เพราะฉะนั้นแทนที่ดิฉันจะมัวแต่เป็นทุกข์กับส่วนที่ไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ ดิฉันกลับรู้สึกว่า 5 วินาทีนั้นในหนังเรื่องนี้ ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+++++ ไปเลย
หนังเรื่องนี้อาจจะ ORIGINAL สู้ GOOD BYE LENIN! (2003, WOLFGANG BECKER, A) ไม่ได้ แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โดนใจดิฉันมากกว่า GOOD BYE LENIN! บางทีอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่แตกต่างกันหลายๆอย่างระหว่างหนังสองเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึง
1.การที่ตัวละครใน A BOLD FAMILY ทำสิ่งต่างๆด้วยแรงกระตุ้นจาก “ความละโมบในเงินทอง” ไม่ใช่ด้วย “ความรักในครอบครัว” แบบใน GOOD BYE LENIN!
2.การที่เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยังคงรวมกันไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง และยังคงเป็นจุดล่อแหลมที่พร้อมจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ทุกเมื่อในขณะนี้ จุดนี้มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของดิฉันเป็นอย่างมาก และทำให้ความรู้สึกเศร้าที่ได้รับจาก A BOLD FAMILY รุนแรงกว่าความรู้สึกซาบซึ้งที่ได้รับจาก GOOD BYE LENIN! สำหรับตัวดิฉัน
ดิฉันเดาว่าบางทีสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอินกับ A BOLD FAMILY มากกว่า GOOD BYE LENIN! อาจจะเป็นเพราะว่าขณะที่ดู GOOD BYE LENIN! ดิฉันไม่มีอารมณ์ร่วมกับความผูกพันของตัวละครในเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ขณะที่ดู A BOLD FAMILY ดิฉันเองก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับความผูกพันของตัวละครในเรื่องเช่นกัน แต่รู้สึกสะเทือนใจกับ “น้ำตา” ของคนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ที่ต้องทนทุกข์ตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา และความทุกข์นี้ก็อาจดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน
2.HEAVEN’S SOLDIERS (2005, MIN JOON-KI, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0470711/
หนังมีฉายรอบ 15.15 น.
ดูหนังเกาหลีเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือน “ทวิภพ” + “บางระจัน” แต่ปรากฏว่าดูแล้วรู้สึกว่าเพลินดี หนังมี “ทัศนคติ” ที่ดิฉันอาจจะไม่ค่อยรู้สึกสนิทใจอยู่บ้าง เพราะดูแล้วไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้สนับสนุนการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือเปล่า และหนังเรื่องนี้สนับสนุนความรู้สึกเกลียดชังคนญี่ปุ่นมากน้อยขนาดไหน ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้ “รักชาติ” หรือว่า “คลั่งชาติ” กันแน่ แต่ถ้าหากไม่นับทัศนคติหรือมุมมองทางการเมืองแล้ว ดิฉันก็รู้สึกว่าสนุกและได้รับความบันเทิงจากหนังเรื่องนี้มากพอสมควร
FAVORITE ACTOR
1.HWANG JEONG-MIN—HEAVEN’S SOLDIERS
http://www.imdb.com/name/nm1058565/
http://english.chosun.com/media/photo/news/200510/200510020002_00.jpg
2.KIM SEUNG-WOO—HEAVEN’S SOLDIERS
http://www.imdb.com/name/nm0453670/
เขาเกิดปี 1969 และสูง 180 เซนติเมตร
http://eee.eplus.co.jp/hanryu/img/ph_KimSeungWoo.jpg
อย่าจำชื่อของ KIM SEUNG-WOO สลับกับ KWON SANG-WOO (VOLCANO HIGH, MY TUTOR FRIEND, STAIRWAY TO PARADISE)
KWON SANG-WOO เกิดปี 1976
http://www.imdb.com/name/nm1085861/
http://www.hazysky.com/lj/kwon/kwon_sang_woo_photo1.jpg
http://img42.photobucket.com/albums/v130/nikkislipp/kwonsangwoo.jpg
http://kr.img.image.yahoo.com/ygi/gallery/img/81/c8/414d263183592.jpg
http://pr4y.free.fr/1000/!!!%20Korean%20actors%20-%20movies/(m)%20Kwon%20Sang-Woo%20(1978)/photo523.jpg
http://astro.qq.com/star/05/qxy/50.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B0009PAK1A.09._SCLZZZZZZZ_.jpg
น้อง merveillesxx เขียนไว้ในข้อความข้างบนว่า
>>แต่เวลาเขียนจริงๆ แล้วบางทีมันก็ “ไหล“ ไปในทิศทางที่เราคาดไม่ถึง แล้วบางทีก็รู้สึกว่ามันดีกว่าเราคิดไว้ในตอนแรก
ตอนนี้พี่ก็พอจะเข้าใจแล้วค่ะว่าอาการ “ไหล” มันเป็นยังไง เพราะตอนแรกกะว่าจะเขียนถึงความรู้สึกที่ได้รับจาก A BOLD FAMILY แต่ไหงอยู่ดีๆมาลงเอยด้วย KWON SANG-WOO ดิฉันเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน โฮะๆๆๆๆ
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=8580
ขอแปะความรู้สึกของตัวเองกับหนังที่เพิ่งได้ดูนะคะ แล้วเดี๋ยววันหลังจะมาตอบคนอื่นๆค่ะ
วันนี้ได้ดูหนังอีก 2 เรื่องที่ EGV METROPOLIS ซึ่งก็คือ
1.A BOLD FAMILY (2005, CHO MYUNG-NAM, A+++++)
http://www.mykima.org/festival_4th/films_bf.htm
หนังมีฉายรอบ 10.45 น., 13.00 น., 17.30 น. และ 19.45 น.
บางทีนี่อาจจะเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกในชีวิตที่ทำให้ดิฉันดูแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง (ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าเคยดูหนังเกาหลีเรื่องไหนแล้วร้องไห้บ้าง บางทีวันหลังอาจจะนึกออก) หนังเรื่องนี้มีส่วนที่ไม่ชอบเยอะมาก ถ้าหากดิฉันเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยการให้ 100 คะแนนเต็มตั้งแต่เริ่มแรก แล้วพอเจอส่วนที่ไม่ชอบ ก็หักคะแนนทิ้งไปเรื่อยๆ บางทีพอดูจนจบแล้วดิฉันอาจจะเหลือคะแนนให้หนังเรื่องนี้แค่ 10 คะแนน จาก 100 คะแนน อย่างไรก็ดี มีอยู่ 5 วินาทีในหนังเรื่องนี้ที่โดนใจดิฉันอย่างรุนแรงสุดๆ เพราะฉะนั้นแทนที่ดิฉันจะมัวแต่เป็นทุกข์กับส่วนที่ไม่ชอบในหนังเรื่องนี้ ดิฉันกลับรู้สึกว่า 5 วินาทีนั้นในหนังเรื่องนี้ ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+++++ ไปเลย
หนังเรื่องนี้อาจจะ ORIGINAL สู้ GOOD BYE LENIN! (2003, WOLFGANG BECKER, A) ไม่ได้ แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โดนใจดิฉันมากกว่า GOOD BYE LENIN! บางทีอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่แตกต่างกันหลายๆอย่างระหว่างหนังสองเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึง
1.การที่ตัวละครใน A BOLD FAMILY ทำสิ่งต่างๆด้วยแรงกระตุ้นจาก “ความละโมบในเงินทอง” ไม่ใช่ด้วย “ความรักในครอบครัว” แบบใน GOOD BYE LENIN!
2.การที่เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยังคงรวมกันไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง และยังคงเป็นจุดล่อแหลมที่พร้อมจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ทุกเมื่อในขณะนี้ จุดนี้มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของดิฉันเป็นอย่างมาก และทำให้ความรู้สึกเศร้าที่ได้รับจาก A BOLD FAMILY รุนแรงกว่าความรู้สึกซาบซึ้งที่ได้รับจาก GOOD BYE LENIN! สำหรับตัวดิฉัน
ดิฉันเดาว่าบางทีสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอินกับ A BOLD FAMILY มากกว่า GOOD BYE LENIN! อาจจะเป็นเพราะว่าขณะที่ดู GOOD BYE LENIN! ดิฉันไม่มีอารมณ์ร่วมกับความผูกพันของตัวละครในเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ขณะที่ดู A BOLD FAMILY ดิฉันเองก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับความผูกพันของตัวละครในเรื่องเช่นกัน แต่รู้สึกสะเทือนใจกับ “น้ำตา” ของคนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ที่ต้องทนทุกข์ตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา และความทุกข์นี้ก็อาจดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน
2.HEAVEN’S SOLDIERS (2005, MIN JOON-KI, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0470711/
หนังมีฉายรอบ 15.15 น.
ดูหนังเกาหลีเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือน “ทวิภพ” + “บางระจัน” แต่ปรากฏว่าดูแล้วรู้สึกว่าเพลินดี หนังมี “ทัศนคติ” ที่ดิฉันอาจจะไม่ค่อยรู้สึกสนิทใจอยู่บ้าง เพราะดูแล้วไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้สนับสนุนการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือเปล่า และหนังเรื่องนี้สนับสนุนความรู้สึกเกลียดชังคนญี่ปุ่นมากน้อยขนาดไหน ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้ “รักชาติ” หรือว่า “คลั่งชาติ” กันแน่ แต่ถ้าหากไม่นับทัศนคติหรือมุมมองทางการเมืองแล้ว ดิฉันก็รู้สึกว่าสนุกและได้รับความบันเทิงจากหนังเรื่องนี้มากพอสมควร
FAVORITE ACTOR
1.HWANG JEONG-MIN—HEAVEN’S SOLDIERS
http://www.imdb.com/name/nm1058565/
http://english.chosun.com/media/photo/news/200510/200510020002_00.jpg
2.KIM SEUNG-WOO—HEAVEN’S SOLDIERS
http://www.imdb.com/name/nm0453670/
เขาเกิดปี 1969 และสูง 180 เซนติเมตร
http://eee.eplus.co.jp/hanryu/img/ph_KimSeungWoo.jpg
อย่าจำชื่อของ KIM SEUNG-WOO สลับกับ KWON SANG-WOO (VOLCANO HIGH, MY TUTOR FRIEND, STAIRWAY TO PARADISE)
KWON SANG-WOO เกิดปี 1976
http://www.imdb.com/name/nm1085861/
http://www.hazysky.com/lj/kwon/kwon_sang_woo_photo1.jpg
http://img42.photobucket.com/albums/v130/nikkislipp/kwonsangwoo.jpg
http://kr.img.image.yahoo.com/ygi/gallery/img/81/c8/414d263183592.jpg
http://pr4y.free.fr/1000/!!!%20Korean%20actors%20-%20movies/(m)%20Kwon%20Sang-Woo%20(1978)/photo523.jpg
http://astro.qq.com/star/05/qxy/50.jpg
http://images.amazon.com/images/P/B0009PAK1A.09._SCLZZZZZZZ_.jpg
น้อง merveillesxx เขียนไว้ในข้อความข้างบนว่า
>>แต่เวลาเขียนจริงๆ แล้วบางทีมันก็ “ไหล“ ไปในทิศทางที่เราคาดไม่ถึง แล้วบางทีก็รู้สึกว่ามันดีกว่าเราคิดไว้ในตอนแรก
ตอนนี้พี่ก็พอจะเข้าใจแล้วค่ะว่าอาการ “ไหล” มันเป็นยังไง เพราะตอนแรกกะว่าจะเขียนถึงความรู้สึกที่ได้รับจาก A BOLD FAMILY แต่ไหงอยู่ดีๆมาลงเอยด้วย KWON SANG-WOO ดิฉันเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน โฮะๆๆๆๆ
Saturday, January 21, 2006
LAND OF THE LIVING--KRISTINE W
ขออนุญาตคุณ lakari นอกเรื่องต่ออีกหน่อยนะคะ
1.เรื่องถามทางไปศูนย์สิริกิติ์ ก็เพิ่งเจอเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หลังจากดูหนังที่อาคารเสริมมิตร ถ.อโศกเสร็จ ก็จะเดินไปขึ้นรถที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ระหว่างทางก็เจอผู้ชายไทยแต่งตัวดี มาถามทางไปศูนย์สิริกิติ์เหมือนกัน เราก็บอกให้เดินตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงเอง แล้วเขาเหมือนจะถามอะไรต่อ แต่เราก็เริ่มสงสัยแล้วว่าตอนนั้นมันจะ 3 ทุ่มแล้ว ใครจะไปงานนิทรรศการที่ศูนย์สิริกิติ์อะไรกันเวลานั้น เราก็เลยเดินหนีไปเลย
2.เคยเจอผู้หญิงไทยวัยกลางคน ออกทัวร์เร่ร่อนขอเงินไปตามที่ต่างๆ ครั้งแรกเจอเธอแถวสวนลุม เดินมาบอกเราว่า เธอเพิ่งไปค้างบ้านเพื่อน แล้วโดนเพื่อนล้วงกระเป๋าตังค์ไปหมดเลย (เธอแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย) แล้วอีกประมาณไม่กี่ปีต่อมา ก็เจอเธอเดินมาขอตังค์แถวถนนอโศก
3.มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่เวลาเดินไปตามท้องถนนแล้วเจอคนเหมือนจะเข้ามาถามทาง แต่ดิฉันจะเดินหนีไปทุกครั้ง
4.แต่มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่บอกเส้นทางให้กับคนที่เข้ามาถามอย่างละเอียดยิบ เพราะคนที่เข้ามาถามเป็นฝรั่งหนุ่มน่ารัก บางครั้งเวลาจะเดินไปดูหนังที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาทรใต้ ก็จะเจอฝรั่งหนุ่มน่ารักเดินมาถามเส้นทางไป BABYLON
5.เคยเจอคุณป้าขอทานคนหนึ่งอิทธิฤทธิ์สูงมาก เพราะเธอจะถูกตำรวจจับกลางสยามสแควร์ (ไม่แน่ใจว่าในข้อหาใช้เด็กขอทานหรือเปล่า) เธอก็เลยนั่งกับพื้นถนนข้างๆฟุตบาทแล้วกอดยางรถของรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างๆฟุตบาทไว้แน่น แล้วก็ตะโกนเสียงโหยหวนดังมากๆ ตอนแรกดิฉันกับเพื่อนๆเดินผ่านมาเจอเหตุการณ์นี้ เห็นเธอนั่งอยู่ข้างๆรถยนต์ กรีดร้องเสียงหลง แล้วก็มีคนมุงๆกันแน่น ตอนแรกก็นึกว่าเธอโดนรถทับ ตอนหลังถึงรู้ว่าเธอเป็นมิจฉาชีพ
6.เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็เจอโทรศัพท์ลึกลับ อยู่ดีๆมีผู้หญิงโทรมาที่บ้านเก่า บอกเบอร์โทรศัพท์ให้โทรกลับโดยด่วน พอดิฉันโทรไป บอกชื่อดิฉัน แล้วถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า “คุณแจ้งเรื่องอะไรไว้เหรอคะ” ดิฉันก็เลยงงๆ ถามว่าที่นั่นคืออะไร เธอก็ตอบว่า “ที่นี่คือบริษัทเดอะ คอลเลคเตอร์ค่ะ เราต้องเช็คดูก่อนว่าคุณแจ้งเรื่องอะไรไว้ ไม่ทราบว่าคุณนามสกุลอะไรคะ” ดิฉันเห็นท่าทางไม่ชอบมาพากล ก็เลยวางหูโทรศัพท์ไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้ได้ชื่อดิฉันกับเบอร์โทรศัพท์ดิฉันมาได้ยังไง แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรลึกลับๆโผล่เข้ามาในชีวิตหลังจากนี้อีกนะ
You live you learn,
you love you learn You cry you learn,
you lose you learn You bleed you learn,
you scream you learn
(จากเพลง YOU LEARN ของ ALANIS MORRISSETTE)
ดีใจมากค่ะที่ได้อ่านข้อความของน้อง merveillesxx และเห็นว่าน้องยังมีอารมณ์ขันอยู่ รูปประกอบของน้องเด็ดมากๆค่ะ ดูรูปประกอบกับคำบรรยายใน BLOG ของน้องแล้ว ทำให้ทั้งหัวเราะและทั้งน้ำตาไหลในเวลาเดียวกัน
เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อาจจะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นค่ะ เหมือนกับเคยได้ยินคนบางคนพูดเปรียบเปรยในทำนองที่ว่า “แรงกดดันต่างๆอย่างรุนแรงที่เราได้รับเข้ามาในชีวิต จะช่วยหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนจากถ่านหินไปเป็นเพชร” (ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องธรณีวิทยา แต่เข้าใจว่าเพชรกับถ่านหินอาจมีอะไรบางอย่างใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันตรงที่เพชรเกิดขึ้นภายใต้ pressure ขั้นสูงมาก) เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยได้แต่หวังว่า ไม่ว่าเหตุการณ์ต่างๆจะลงเอยในรูปแบบใด อย่างน้อยเราก็อาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ เราอาจใกล้เคียงกับเพชรมากขึ้น หรืออย่างน้อยถ้าหากเหตุการณ์นั้นได้ช่วยให้น้อง merveillesxx เกิดการ METAMORPHOSIS กลายสภาพเป็น AYUMI HAMASAKI ดังรูปที่นำมาลง ก็คงถือเป็นสิ่งดีเล็กๆน้อยๆหลังจากผ่านพ้นมรสุมร้ายเช่นกันค่ะ
--ไม่ค่อยได้ฟังเพลงของ RADIOHEAD สักเท่าไหร่ แต่ชอบเนื้อเพลงที่น้องนำมาลงมาก แค่อ่านเนื้อเพลงเฉยๆก็ได้อารมณ์มากๆแล้ว
--เพลงประเภท “เรารักเขา แต่เขาไม่รักเรา” ที่ดิฉันมักนึกถึง ก็คือเพลง I CAN’T MAKE YOU LOVE ME ของ BONNIE RAITT ค่ะ
http://www.amazon.com/gp/product/B0000C6FI7/qid=1137844114/sr=2-2/ref=pd_bbs_b_2_2/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
Turn down the lightsTurn down the bedTurn down these voicesinside my head
Lay down with meTell me no liesJust hold me close,don't patronize
Don't patronize me
Cause I can't make you love meif you don'tYou can't make your heart feelsomething it won'tHere in the darkin these final hoursI will lay down my heartAnd I'll feel the powerbut you won'tNo, you won'tCause I can't make you love meif you don't
I'll close my eyesthen I won't seethe love you don't feelwhen you're holding me
Morning will comeand I'll do what's rightjust give me till thento give up this fightand I will give up this fight
--เพลงเศร้าๆอีกเพลงที่ชอบมากๆคือเพลง ALL AT ONCE ของ WHITNEY HOUSTON เป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบที่สุดของเธอ
http://www.amazon.com/gp/product/B000002VCQ/qid=1137844557/sr=2-2/ref=pd_bbs_b_2_2/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
All at once
I fin'lly took a moment
And I'm realizing that
You're not coming back
And it fin'lly hit me
All at once
All at once
I started counting teardrops
And at least a million fell
My eyes began to swell
And all my dreams were shattered
All at once
Ever since I met you
You're the only love I've known
And I can't forget you
Though I must face it all alone
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Wishing you'd come back to me
And that's all that matters now
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Holding on to memories
And it hurts me more than you know
So much more than it shows
All at once
All at once
I looked around and found that
You were with another love
In someone else's arms
And all my dreams were shattered
All at once
All at once
The smile that used to greet me
Brightened someone else's day
She took your smile away
And left me with just mem'ries
All at once
Ever since I met you
You're the only love I've known
And I can't forget you
Though I must face it all alone
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Wishing you'd come back to me
And that's all that matters now
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Holding on to memories
And it hurts me more than you know
So much more than it shows
All at once
--ส่วนเพลงแนวเดียวกับ I WILL SURVIVE ที่ชอบมากๆคือเพลง LAND OF THE LIVING ของ KRISTINE W หนึ่งในนักร้องหญิงที่ดิฉันชอบที่สุด (เพลงนี้น่าจะนำมาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง LAND OF THE DEAD เนอะ)
http://www.amazon.com/gp/product/B000002WWL/qid=1137845418/sr=1-3/ref=sr_1_3/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
http://images.amazon.com/images/P/B000002WWL.01._SCLZZZZZZZ_.gif
LAND OF THE LIVING
(BY KRISTINE W)
I got a mirror, a bottle and a pen The mirror is cracked The bottle is empty And my pen don't know where to begin I've got a picture, a letter and a song The picture is torn The letter is worn And my tune has been sung before Another show is over And the lights have gone down There's no flowers at my door No, no callers come around, baby But I'm glad to be alive and in the land of the living Oh I can't believe that I survived And I'm in the land of the living Can't believe that I survived I saw the city, the lights and the music The city is hard The lights they have lied The music just seems to have died And I had my hope I had my faith Oh my pride, yeah And to hope I cling To faith I am blind And my pride I have left far behind Another show is over And the lights have gone down There's no flowers at my door Ain't no callers come around babe But I'm glad to be alive and in the land of the living, babe I can't believe that I survived Still in the land of the living, baby Can't believe that I'm alive Still in the land of the living, baby Can't believe that I survived Oh no, I'm still in the land of the living Yea Yea Yea You see another night is over And the curtain's come down I see no flowers at my door Oh no one's comin' 'round, yeah But I'm glad to be alive Still in the land of the living Bet you can't believe I survived Still alive in the land of the living Oh babe, I'm still alive In the land of the living I bet you, bet you can't believe I survived Oh, I'm still in the land of the living Another night is over I'm still in the land of the living I see the curtains coming down But babe, I'm still in the land of the living I bet you can't believe me, I bet you can't believe Yes, Here I am, I see that I'm still in the land of the living Yea, I'm going to take my curtain call Because I'm in the land of the living
--ต้องขอบคุณน้อง merveillesxx มากค่ะที่แนะนำรายการเพลงญี่ปุ่นทางช่อง 98.5 FM เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะการฟังรายการนี้ทำให้ดิฉันได้ค้นพบอีกรายการหนึ่งที่ดิฉันชอบสุดๆ นั่นก็คือรายการ JAZZ AROUND THE WORLD ที่ออกอากาศหลังรายการเพลงญี่ปุ่น โดยออกอากาศในเวลา 24.00-02.00 น.ในคืนวันเสาร์และคืนวันอาทิตย์
ตอบคุณ THUNSKA
ในบรรดาหนังไทยที่ได้ไปฉายในเทศกาลรอตเตอร์ดัมครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนังที่ดิฉันชอบในระดับ A+ หรือ A หมดเลย ยกเว้นเรื่อง “ผงชูรส” เพียงเรื่องเดียว เคยดูเรื่องนี้แล้วรอบนึง รู้สึกงงๆ จับอารมณ์อะไรไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นเรื่อง “ผงชูรส” ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในหนังที่อยากดูซ้ำมากที่สุดในตอนนี้ เพราะมีเปอร์เซ็นต์สูงมากว่าตัวเองอาจพลาดอะไรบางอย่างไปในการดูรอบแรก
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
ดีใจมากค่ะที่ได้เห็นอันดับของคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND โดยเฉพาะอันดับกล่องเสียงทองคำ, ดาราหนุ่มหล่อทั้งถ่านเก่าไฟใหม่ และรางวัลทุเรียนผูกโบว์ (ชอบมากที่ให้ดาราหญิงฝรั่งจาก RICE RHAPSODY เข้าอันดับด้วย ชอบ “ตัวละคร” ตัวนี้มากๆ)
จำได้ว่าคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND ชอบ MUDDY RIVER (1981, KOHEI OGURI, A) มาก พอดีเห็นบทสัมภาษณ์ KOHEI OGURI ในเว็บไซท์ MIDNIGHT EYE ก็เลยทำลิงค์ให้ค่ะ รู้สึกว่าบทสัมภาษณ์ของเขาน่าสนใจมาก
http://www.midnighteye.com/interviews/kohei_oguri.shtml
KOHEI OGURI เพิ่งกำกับหนังใหม่เรื่อง THE BURIED FOREST ที่นำแสดงโดย TADANOBU ASANO เป็นหนังที่น่าดูอย่างรุนแรงที่สุด
http://www.midnighteye.com/reviews/buried-forest.shtml
เว็บไซท์ MIDNIGHT EYE มีบทความเขียนชมหนังผีเรื่อง KOKKURI (1997, TAKAHISA ZEZE, A+++++++++++++++) ด้วย รู้สึกดีใจมากๆที่มีคนชอบหนังผีเรื่องนี้เหมือนกัน KOKKURI เคยมีขายในไทยในรูปแบบวีซีดีลิขสิทธิ์ หนังเรื่องนี้เคยโดนหนังสือพิมพ์ไทยบางฉบับเขียนด่าประณามอย่างรุนแรง แต่ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มาก
บทวิจารณ์ KOKKURI
http://www.midnighteye.com/reviews/kokkuri.shtml
KOKKURI เคยติดอันดับหนังประจำปีของใครบางคน
http://www.sensesofcinema.com/contents/04/30/favourites3.html#phokaew
--หนังโรงที่ได้ดูในช่วงนี้
1.AFTERNOON TIME (ทศพล บุญสินสุข, A+)
2.SHE IS READING NEWSPAPER (ทศพล บุญสินสุข, A+)
3.NUAN (ทศพล บุญสินสุข, A+)
4.TYPHOON CLUB (1985, SHINJI SOMAI, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0088222/
หนังวัยรุ่นเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเรียนชายหญิง 6 คนที่ติดอยู่ในโรงเรียนหลายชั่วโมงขณะเกิดพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำ โดยนักเรียน 6 คนนี้ประกอบด้วยชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เหมือนมีปัญหาทางจิตแอบซ่อนอยู่ภายใน, ชายหนุ่มที่กลั่นแกล้งหญิงสาวที่เขาหลงรักจนเธอต้องพิการตลอดชีวิต, หญิงสาวที่ถูกกลั่นแกล้ง, สองสาวเลสเบี้ยน และหญิงสาวใส่แว่นที่ทำอาการเหมือนแสดงละครเวทีอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ หนังยังพูดถึงชีวิตของตัวละครบางตัวที่ไม่ได้ติดอยู่ในโรงเรียนด้วย ซึ่งรวมถึงคุณครูหนุ่มที่พยายามหนีแฟนเก่า, หญิงสาวมัธยมที่ผิดหวังในความรักจนเตลิดหนีไปติดพายุไต้ฝุ่นอยู่กลางโตเกียวกับหนุ่มมหาวิทยาลัยจิตใจลามก และชายหนุ่มซื่อๆบ๊องๆที่ถูกเพื่อนผู้หญิงรุมถอดกางเกงว่ายน้ำกลางสระน้ำและถูกสายกั้นลู่สระว่ายน้ำรัดคอจนเกือบตาย
หนังของ SHINJI SOMAI มักมีฉากที่ดู “เหนือจริง” แทรกเข้ามาในบางช่วงของเรื่อง และมักเป็นฉากที่ติดตามากๆ โดยใน TYPHOON CLUB นี้ มีฉากที่หญิงสาวกลางโตเกียวเจอตัวประหลาดสองตัวทำอาการประหลาดๆ, ใน MOVING (1993, SHINJI SOMAI, A+) มีฉากที่นางเอกมองเห็น”ตัวเอง” อยู่ริมทะเล, ใน KAZA-HANA (2000, SHINJI SOMAI, A) มีฉาก TADANOBU ASANO มองเห็น KYOKO KOIZUMI เริงระบำกลางหิมะ ซึ่งมันอาจจะเป็นฉากที่เกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อารมณ์ในฉากมันดู “เหนือจริง” ส่วนใน WAIT AND SEE (1998, SHINJI SOMAI, B+) นั้น จำไม่ได้ว่ามีฉากเหนือจริงบ้างหรือเปล่า
5.THE GREATEST CIVIL WAR ON EARTH (1961, WANG TIAN LIN, A+)
6.THE GODDESS (1934, WU YONGGANG, A+)
7.IN HER SHOES (2005, CURTIS HANSON, A+)
8.NO ONE AT THE SEA (ทศพล บุญสินสุข, A+)
9.MISSING YOU (ทศพล บุญสินสุข, A+)
10. ._._._._. (ทศพล บุญสินสุข, A)
11.THE KINGDOM AND THE BEAUTY (1958, LI HAN XIANG, A)
12.LONESOME JIM (2005, STEVE BUSCEMI, B+)
13.THE FOG (2005, RUPERT WAINWRIGHT, B)
FAVORITE SUPPORTING ACTOR
TOMOKAZU MIURA--TYPHOON CLUB
MOST DESIRABLE ACTOR
TOM WELLING--THE FOG
http://www.finitesite.com/rumpuso/transference.jpg
http://www.patcostello.com/temp/spell.jpg
อยากเขียนบรรยายถึงหนังแต่ละเรื่องยาวๆกว่านี้ แต่เนื่องจากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นขอแปะไว้เท่านี้ก่อนแล้วกัน
--ได้ FILM COMMENT เล่มใหม่มาจากร้าน KINOKUNIYA เจอบทวิจารณ์ MARCH OF THE PENGUINS ของ HARLAN JACOBSON แล้วแทบร้องกรี๊ด ชอบมากๆ จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ชอบที่สุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (รู้สึกว่ามันฮาดี)
HARLAN JACOBSON เขียนในทำนองที่ว่า สิ่งสำคัญใน MARCH OF THE PENGUINS ไม่ใช่การสะท้อนธรรมชาติ แต่เป็นการช่วยยืนยันรับรองคุณค่าของ “กิจกรรมการหาคู่รักแบบที่ชาวตะวันตกกระทำกันในยุคปัจจุบัน” เพราะในหนังเรื่องนี้ หนุ่มๆสาวๆจะไปรวมตัวกันในงานสังสันทน์กับคนต่างเพศ, ทุกคนเลือกหาเพศตรงข้ามที่ตัวเองถูกใจ, มีเพศสัมพันธ์กัน, ออกลูก, สร้างบ้านด้วยกัน, ส่งภรรยาออกไปหาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่สามีอยู่บ้านและเลี้ยงดูลูก โดยที่ฝ่ายสามีไม่ได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่นิดเดียว และไม่ได้รู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองแม้แต่นิดเดียว หลังจากนั้น สามีภรรยาก็หย่าร้างกันในเวลา 1 ปี และแต่ละฝ่ายต่างก็ไปมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและแต่งงานกับเพื่อนบ้าน, มีลูกกับสามีใหม่-ภรรยาใหม่, หย่าร้าง, หาสามีภรรยาใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
--ใน FILM COMMENT เล่มใหม่ลงอันดับ TOP 10 ประจำปีของนักวิจารณ์หลายคน สิ่งที่ชอบมากๆเวลาได้อ่านอันดับ TOP 10 ของนักวิจารณ์เหล่านี้ ก็คือการได้พบว่าหนังที่ตัวเองชอบสุดๆ กลายเป็นหนังขวัญใจประจำปีของนักวิจารณ์บางคนอย่างไม่คาดฝันด้วย อย่างเช่นเรื่อง DOMINO (2005, TONY SCOTT, A+)
อันดับ TOP 10 ประจำปี 2005 ของ SHIGEHIKO HASUMI นักวิจารณ์จากโตเกียว
(เรียงตามลำดับตัวอักษร)
1.BEFORE THE FLOOD (2005, LI YUFAN + YAN YU)
2.DOMINO
3.ELI ELI LEMA SABACHTANI? (SHINJI AOYAMA)
4.THE LIFE AQUATIC WITH STEVE ZISSOU
5.NOTRE MUSIQUE
6.ROUTE 181: FRAGMENTS OF A JOURNEY IN PALESTINE-ISRAEL (2004, MICHEL KHLEIFI + EYAL SIVAN) หนังยาว 4 ชม. 30 นาที
http://www.imdb.com/title/tt0403462/
7.TRIPLE AGENT (ERIC ROHMER)
8.A VISIT TO THE LOURVE (2004, JEAN-MARIE STRAUB + DANIELE HUILLET)
http://www.imdb.com/title/tt0405418/
9.WAR OF THE WORLDS
10.THE WORLD
1.เรื่องถามทางไปศูนย์สิริกิติ์ ก็เพิ่งเจอเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หลังจากดูหนังที่อาคารเสริมมิตร ถ.อโศกเสร็จ ก็จะเดินไปขึ้นรถที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ระหว่างทางก็เจอผู้ชายไทยแต่งตัวดี มาถามทางไปศูนย์สิริกิติ์เหมือนกัน เราก็บอกให้เดินตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงเอง แล้วเขาเหมือนจะถามอะไรต่อ แต่เราก็เริ่มสงสัยแล้วว่าตอนนั้นมันจะ 3 ทุ่มแล้ว ใครจะไปงานนิทรรศการที่ศูนย์สิริกิติ์อะไรกันเวลานั้น เราก็เลยเดินหนีไปเลย
2.เคยเจอผู้หญิงไทยวัยกลางคน ออกทัวร์เร่ร่อนขอเงินไปตามที่ต่างๆ ครั้งแรกเจอเธอแถวสวนลุม เดินมาบอกเราว่า เธอเพิ่งไปค้างบ้านเพื่อน แล้วโดนเพื่อนล้วงกระเป๋าตังค์ไปหมดเลย (เธอแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย) แล้วอีกประมาณไม่กี่ปีต่อมา ก็เจอเธอเดินมาขอตังค์แถวถนนอโศก
3.มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่เวลาเดินไปตามท้องถนนแล้วเจอคนเหมือนจะเข้ามาถามทาง แต่ดิฉันจะเดินหนีไปทุกครั้ง
4.แต่มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่บอกเส้นทางให้กับคนที่เข้ามาถามอย่างละเอียดยิบ เพราะคนที่เข้ามาถามเป็นฝรั่งหนุ่มน่ารัก บางครั้งเวลาจะเดินไปดูหนังที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาทรใต้ ก็จะเจอฝรั่งหนุ่มน่ารักเดินมาถามเส้นทางไป BABYLON
5.เคยเจอคุณป้าขอทานคนหนึ่งอิทธิฤทธิ์สูงมาก เพราะเธอจะถูกตำรวจจับกลางสยามสแควร์ (ไม่แน่ใจว่าในข้อหาใช้เด็กขอทานหรือเปล่า) เธอก็เลยนั่งกับพื้นถนนข้างๆฟุตบาทแล้วกอดยางรถของรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างๆฟุตบาทไว้แน่น แล้วก็ตะโกนเสียงโหยหวนดังมากๆ ตอนแรกดิฉันกับเพื่อนๆเดินผ่านมาเจอเหตุการณ์นี้ เห็นเธอนั่งอยู่ข้างๆรถยนต์ กรีดร้องเสียงหลง แล้วก็มีคนมุงๆกันแน่น ตอนแรกก็นึกว่าเธอโดนรถทับ ตอนหลังถึงรู้ว่าเธอเป็นมิจฉาชีพ
6.เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็เจอโทรศัพท์ลึกลับ อยู่ดีๆมีผู้หญิงโทรมาที่บ้านเก่า บอกเบอร์โทรศัพท์ให้โทรกลับโดยด่วน พอดิฉันโทรไป บอกชื่อดิฉัน แล้วถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า “คุณแจ้งเรื่องอะไรไว้เหรอคะ” ดิฉันก็เลยงงๆ ถามว่าที่นั่นคืออะไร เธอก็ตอบว่า “ที่นี่คือบริษัทเดอะ คอลเลคเตอร์ค่ะ เราต้องเช็คดูก่อนว่าคุณแจ้งเรื่องอะไรไว้ ไม่ทราบว่าคุณนามสกุลอะไรคะ” ดิฉันเห็นท่าทางไม่ชอบมาพากล ก็เลยวางหูโทรศัพท์ไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้ได้ชื่อดิฉันกับเบอร์โทรศัพท์ดิฉันมาได้ยังไง แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรลึกลับๆโผล่เข้ามาในชีวิตหลังจากนี้อีกนะ
You live you learn,
you love you learn You cry you learn,
you lose you learn You bleed you learn,
you scream you learn
(จากเพลง YOU LEARN ของ ALANIS MORRISSETTE)
ดีใจมากค่ะที่ได้อ่านข้อความของน้อง merveillesxx และเห็นว่าน้องยังมีอารมณ์ขันอยู่ รูปประกอบของน้องเด็ดมากๆค่ะ ดูรูปประกอบกับคำบรรยายใน BLOG ของน้องแล้ว ทำให้ทั้งหัวเราะและทั้งน้ำตาไหลในเวลาเดียวกัน
เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อาจจะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นค่ะ เหมือนกับเคยได้ยินคนบางคนพูดเปรียบเปรยในทำนองที่ว่า “แรงกดดันต่างๆอย่างรุนแรงที่เราได้รับเข้ามาในชีวิต จะช่วยหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนจากถ่านหินไปเป็นเพชร” (ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องธรณีวิทยา แต่เข้าใจว่าเพชรกับถ่านหินอาจมีอะไรบางอย่างใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันตรงที่เพชรเกิดขึ้นภายใต้ pressure ขั้นสูงมาก) เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยได้แต่หวังว่า ไม่ว่าเหตุการณ์ต่างๆจะลงเอยในรูปแบบใด อย่างน้อยเราก็อาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ เราอาจใกล้เคียงกับเพชรมากขึ้น หรืออย่างน้อยถ้าหากเหตุการณ์นั้นได้ช่วยให้น้อง merveillesxx เกิดการ METAMORPHOSIS กลายสภาพเป็น AYUMI HAMASAKI ดังรูปที่นำมาลง ก็คงถือเป็นสิ่งดีเล็กๆน้อยๆหลังจากผ่านพ้นมรสุมร้ายเช่นกันค่ะ
--ไม่ค่อยได้ฟังเพลงของ RADIOHEAD สักเท่าไหร่ แต่ชอบเนื้อเพลงที่น้องนำมาลงมาก แค่อ่านเนื้อเพลงเฉยๆก็ได้อารมณ์มากๆแล้ว
--เพลงประเภท “เรารักเขา แต่เขาไม่รักเรา” ที่ดิฉันมักนึกถึง ก็คือเพลง I CAN’T MAKE YOU LOVE ME ของ BONNIE RAITT ค่ะ
http://www.amazon.com/gp/product/B0000C6FI7/qid=1137844114/sr=2-2/ref=pd_bbs_b_2_2/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
Turn down the lightsTurn down the bedTurn down these voicesinside my head
Lay down with meTell me no liesJust hold me close,don't patronize
Don't patronize me
Cause I can't make you love meif you don'tYou can't make your heart feelsomething it won'tHere in the darkin these final hoursI will lay down my heartAnd I'll feel the powerbut you won'tNo, you won'tCause I can't make you love meif you don't
I'll close my eyesthen I won't seethe love you don't feelwhen you're holding me
Morning will comeand I'll do what's rightjust give me till thento give up this fightand I will give up this fight
--เพลงเศร้าๆอีกเพลงที่ชอบมากๆคือเพลง ALL AT ONCE ของ WHITNEY HOUSTON เป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบที่สุดของเธอ
http://www.amazon.com/gp/product/B000002VCQ/qid=1137844557/sr=2-2/ref=pd_bbs_b_2_2/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
All at once
I fin'lly took a moment
And I'm realizing that
You're not coming back
And it fin'lly hit me
All at once
All at once
I started counting teardrops
And at least a million fell
My eyes began to swell
And all my dreams were shattered
All at once
Ever since I met you
You're the only love I've known
And I can't forget you
Though I must face it all alone
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Wishing you'd come back to me
And that's all that matters now
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Holding on to memories
And it hurts me more than you know
So much more than it shows
All at once
All at once
I looked around and found that
You were with another love
In someone else's arms
And all my dreams were shattered
All at once
All at once
The smile that used to greet me
Brightened someone else's day
She took your smile away
And left me with just mem'ries
All at once
Ever since I met you
You're the only love I've known
And I can't forget you
Though I must face it all alone
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Wishing you'd come back to me
And that's all that matters now
All at once
I'm drifting on a lonely sea
Holding on to memories
And it hurts me more than you know
So much more than it shows
All at once
--ส่วนเพลงแนวเดียวกับ I WILL SURVIVE ที่ชอบมากๆคือเพลง LAND OF THE LIVING ของ KRISTINE W หนึ่งในนักร้องหญิงที่ดิฉันชอบที่สุด (เพลงนี้น่าจะนำมาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง LAND OF THE DEAD เนอะ)
http://www.amazon.com/gp/product/B000002WWL/qid=1137845418/sr=1-3/ref=sr_1_3/002-3891547-7768030?s=music&v=glance&n=5174
http://images.amazon.com/images/P/B000002WWL.01._SCLZZZZZZZ_.gif
LAND OF THE LIVING
(BY KRISTINE W)
I got a mirror, a bottle and a pen The mirror is cracked The bottle is empty And my pen don't know where to begin I've got a picture, a letter and a song The picture is torn The letter is worn And my tune has been sung before Another show is over And the lights have gone down There's no flowers at my door No, no callers come around, baby But I'm glad to be alive and in the land of the living Oh I can't believe that I survived And I'm in the land of the living Can't believe that I survived I saw the city, the lights and the music The city is hard The lights they have lied The music just seems to have died And I had my hope I had my faith Oh my pride, yeah And to hope I cling To faith I am blind And my pride I have left far behind Another show is over And the lights have gone down There's no flowers at my door Ain't no callers come around babe But I'm glad to be alive and in the land of the living, babe I can't believe that I survived Still in the land of the living, baby Can't believe that I'm alive Still in the land of the living, baby Can't believe that I survived Oh no, I'm still in the land of the living Yea Yea Yea You see another night is over And the curtain's come down I see no flowers at my door Oh no one's comin' 'round, yeah But I'm glad to be alive Still in the land of the living Bet you can't believe I survived Still alive in the land of the living Oh babe, I'm still alive In the land of the living I bet you, bet you can't believe I survived Oh, I'm still in the land of the living Another night is over I'm still in the land of the living I see the curtains coming down But babe, I'm still in the land of the living I bet you can't believe me, I bet you can't believe Yes, Here I am, I see that I'm still in the land of the living Yea, I'm going to take my curtain call Because I'm in the land of the living
--ต้องขอบคุณน้อง merveillesxx มากค่ะที่แนะนำรายการเพลงญี่ปุ่นทางช่อง 98.5 FM เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะการฟังรายการนี้ทำให้ดิฉันได้ค้นพบอีกรายการหนึ่งที่ดิฉันชอบสุดๆ นั่นก็คือรายการ JAZZ AROUND THE WORLD ที่ออกอากาศหลังรายการเพลงญี่ปุ่น โดยออกอากาศในเวลา 24.00-02.00 น.ในคืนวันเสาร์และคืนวันอาทิตย์
ตอบคุณ THUNSKA
ในบรรดาหนังไทยที่ได้ไปฉายในเทศกาลรอตเตอร์ดัมครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนังที่ดิฉันชอบในระดับ A+ หรือ A หมดเลย ยกเว้นเรื่อง “ผงชูรส” เพียงเรื่องเดียว เคยดูเรื่องนี้แล้วรอบนึง รู้สึกงงๆ จับอารมณ์อะไรไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นเรื่อง “ผงชูรส” ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในหนังที่อยากดูซ้ำมากที่สุดในตอนนี้ เพราะมีเปอร์เซ็นต์สูงมากว่าตัวเองอาจพลาดอะไรบางอย่างไปในการดูรอบแรก
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
ดีใจมากค่ะที่ได้เห็นอันดับของคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND โดยเฉพาะอันดับกล่องเสียงทองคำ, ดาราหนุ่มหล่อทั้งถ่านเก่าไฟใหม่ และรางวัลทุเรียนผูกโบว์ (ชอบมากที่ให้ดาราหญิงฝรั่งจาก RICE RHAPSODY เข้าอันดับด้วย ชอบ “ตัวละคร” ตัวนี้มากๆ)
จำได้ว่าคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND ชอบ MUDDY RIVER (1981, KOHEI OGURI, A) มาก พอดีเห็นบทสัมภาษณ์ KOHEI OGURI ในเว็บไซท์ MIDNIGHT EYE ก็เลยทำลิงค์ให้ค่ะ รู้สึกว่าบทสัมภาษณ์ของเขาน่าสนใจมาก
http://www.midnighteye.com/interviews/kohei_oguri.shtml
KOHEI OGURI เพิ่งกำกับหนังใหม่เรื่อง THE BURIED FOREST ที่นำแสดงโดย TADANOBU ASANO เป็นหนังที่น่าดูอย่างรุนแรงที่สุด
http://www.midnighteye.com/reviews/buried-forest.shtml
เว็บไซท์ MIDNIGHT EYE มีบทความเขียนชมหนังผีเรื่อง KOKKURI (1997, TAKAHISA ZEZE, A+++++++++++++++) ด้วย รู้สึกดีใจมากๆที่มีคนชอบหนังผีเรื่องนี้เหมือนกัน KOKKURI เคยมีขายในไทยในรูปแบบวีซีดีลิขสิทธิ์ หนังเรื่องนี้เคยโดนหนังสือพิมพ์ไทยบางฉบับเขียนด่าประณามอย่างรุนแรง แต่ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มาก
บทวิจารณ์ KOKKURI
http://www.midnighteye.com/reviews/kokkuri.shtml
KOKKURI เคยติดอันดับหนังประจำปีของใครบางคน
http://www.sensesofcinema.com/contents/04/30/favourites3.html#phokaew
--หนังโรงที่ได้ดูในช่วงนี้
1.AFTERNOON TIME (ทศพล บุญสินสุข, A+)
2.SHE IS READING NEWSPAPER (ทศพล บุญสินสุข, A+)
3.NUAN (ทศพล บุญสินสุข, A+)
4.TYPHOON CLUB (1985, SHINJI SOMAI, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0088222/
หนังวัยรุ่นเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเรียนชายหญิง 6 คนที่ติดอยู่ในโรงเรียนหลายชั่วโมงขณะเกิดพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำ โดยนักเรียน 6 คนนี้ประกอบด้วยชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เหมือนมีปัญหาทางจิตแอบซ่อนอยู่ภายใน, ชายหนุ่มที่กลั่นแกล้งหญิงสาวที่เขาหลงรักจนเธอต้องพิการตลอดชีวิต, หญิงสาวที่ถูกกลั่นแกล้ง, สองสาวเลสเบี้ยน และหญิงสาวใส่แว่นที่ทำอาการเหมือนแสดงละครเวทีอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ หนังยังพูดถึงชีวิตของตัวละครบางตัวที่ไม่ได้ติดอยู่ในโรงเรียนด้วย ซึ่งรวมถึงคุณครูหนุ่มที่พยายามหนีแฟนเก่า, หญิงสาวมัธยมที่ผิดหวังในความรักจนเตลิดหนีไปติดพายุไต้ฝุ่นอยู่กลางโตเกียวกับหนุ่มมหาวิทยาลัยจิตใจลามก และชายหนุ่มซื่อๆบ๊องๆที่ถูกเพื่อนผู้หญิงรุมถอดกางเกงว่ายน้ำกลางสระน้ำและถูกสายกั้นลู่สระว่ายน้ำรัดคอจนเกือบตาย
หนังของ SHINJI SOMAI มักมีฉากที่ดู “เหนือจริง” แทรกเข้ามาในบางช่วงของเรื่อง และมักเป็นฉากที่ติดตามากๆ โดยใน TYPHOON CLUB นี้ มีฉากที่หญิงสาวกลางโตเกียวเจอตัวประหลาดสองตัวทำอาการประหลาดๆ, ใน MOVING (1993, SHINJI SOMAI, A+) มีฉากที่นางเอกมองเห็น”ตัวเอง” อยู่ริมทะเล, ใน KAZA-HANA (2000, SHINJI SOMAI, A) มีฉาก TADANOBU ASANO มองเห็น KYOKO KOIZUMI เริงระบำกลางหิมะ ซึ่งมันอาจจะเป็นฉากที่เกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อารมณ์ในฉากมันดู “เหนือจริง” ส่วนใน WAIT AND SEE (1998, SHINJI SOMAI, B+) นั้น จำไม่ได้ว่ามีฉากเหนือจริงบ้างหรือเปล่า
5.THE GREATEST CIVIL WAR ON EARTH (1961, WANG TIAN LIN, A+)
6.THE GODDESS (1934, WU YONGGANG, A+)
7.IN HER SHOES (2005, CURTIS HANSON, A+)
8.NO ONE AT THE SEA (ทศพล บุญสินสุข, A+)
9.MISSING YOU (ทศพล บุญสินสุข, A+)
10. ._._._._. (ทศพล บุญสินสุข, A)
11.THE KINGDOM AND THE BEAUTY (1958, LI HAN XIANG, A)
12.LONESOME JIM (2005, STEVE BUSCEMI, B+)
13.THE FOG (2005, RUPERT WAINWRIGHT, B)
FAVORITE SUPPORTING ACTOR
TOMOKAZU MIURA--TYPHOON CLUB
MOST DESIRABLE ACTOR
TOM WELLING--THE FOG
http://www.finitesite.com/rumpuso/transference.jpg
http://www.patcostello.com/temp/spell.jpg
อยากเขียนบรรยายถึงหนังแต่ละเรื่องยาวๆกว่านี้ แต่เนื่องจากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นขอแปะไว้เท่านี้ก่อนแล้วกัน
--ได้ FILM COMMENT เล่มใหม่มาจากร้าน KINOKUNIYA เจอบทวิจารณ์ MARCH OF THE PENGUINS ของ HARLAN JACOBSON แล้วแทบร้องกรี๊ด ชอบมากๆ จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ชอบที่สุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (รู้สึกว่ามันฮาดี)
HARLAN JACOBSON เขียนในทำนองที่ว่า สิ่งสำคัญใน MARCH OF THE PENGUINS ไม่ใช่การสะท้อนธรรมชาติ แต่เป็นการช่วยยืนยันรับรองคุณค่าของ “กิจกรรมการหาคู่รักแบบที่ชาวตะวันตกกระทำกันในยุคปัจจุบัน” เพราะในหนังเรื่องนี้ หนุ่มๆสาวๆจะไปรวมตัวกันในงานสังสันทน์กับคนต่างเพศ, ทุกคนเลือกหาเพศตรงข้ามที่ตัวเองถูกใจ, มีเพศสัมพันธ์กัน, ออกลูก, สร้างบ้านด้วยกัน, ส่งภรรยาออกไปหาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่สามีอยู่บ้านและเลี้ยงดูลูก โดยที่ฝ่ายสามีไม่ได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่นิดเดียว และไม่ได้รู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองแม้แต่นิดเดียว หลังจากนั้น สามีภรรยาก็หย่าร้างกันในเวลา 1 ปี และแต่ละฝ่ายต่างก็ไปมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและแต่งงานกับเพื่อนบ้าน, มีลูกกับสามีใหม่-ภรรยาใหม่, หย่าร้าง, หาสามีภรรยาใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
--ใน FILM COMMENT เล่มใหม่ลงอันดับ TOP 10 ประจำปีของนักวิจารณ์หลายคน สิ่งที่ชอบมากๆเวลาได้อ่านอันดับ TOP 10 ของนักวิจารณ์เหล่านี้ ก็คือการได้พบว่าหนังที่ตัวเองชอบสุดๆ กลายเป็นหนังขวัญใจประจำปีของนักวิจารณ์บางคนอย่างไม่คาดฝันด้วย อย่างเช่นเรื่อง DOMINO (2005, TONY SCOTT, A+)
อันดับ TOP 10 ประจำปี 2005 ของ SHIGEHIKO HASUMI นักวิจารณ์จากโตเกียว
(เรียงตามลำดับตัวอักษร)
1.BEFORE THE FLOOD (2005, LI YUFAN + YAN YU)
2.DOMINO
3.ELI ELI LEMA SABACHTANI? (SHINJI AOYAMA)
4.THE LIFE AQUATIC WITH STEVE ZISSOU
5.NOTRE MUSIQUE
6.ROUTE 181: FRAGMENTS OF A JOURNEY IN PALESTINE-ISRAEL (2004, MICHEL KHLEIFI + EYAL SIVAN) หนังยาว 4 ชม. 30 นาที
http://www.imdb.com/title/tt0403462/
7.TRIPLE AGENT (ERIC ROHMER)
8.A VISIT TO THE LOURVE (2004, JEAN-MARIE STRAUB + DANIELE HUILLET)
http://www.imdb.com/title/tt0405418/
9.WAR OF THE WORLDS
10.THE WORLD
Friday, January 20, 2006
SHEENA EASTON
--ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่ได้เข้าโรงหนังเลย อยากรอให้อาการหวัดดีขึ้นก่อน
--มีความสุขกับการอ่านสิ่งที่ทุกคนเขียนมากๆ แต่เอาไว้วันหลังค่อยตอบอีกทีแล้วกันนะ
--ดีใจมากค่ะที่ ROBOKON (2003, TOMOYUKI FURUMAYA, A+) ติดท็อปเทนของคุณแฟรงเกนสไตน์
--ขอให้ปัญหาของคุณ lovejuice ได้รับการคลี่คลายไปด้วยดีนะคะ
ตอบน้อง ZM
--เคยมีเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ไม่สนิทกับเธอมากนัก แต่ดันอยู่กลุ่มเดียวกัน เวลาไปดูวิดีโอหนังเรื่องต่างๆที่บ้านเพื่อนด้วยกัน เธอก็จะคอยซักถามตลอดเวลาว่า “ทำไมคนนี้ถึงทำอย่างนี้” “ทำไมคนนั้นถึงทำอย่างนั้น” “เกิดอะไรขึ้น” “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง” ดิฉันก็ได้แต่ด่าอยู่ในใจว่า “ E HA หล่อนก็นั่งดูต่อไปสิ แล้วหล่อนก็จะเข้าใจเอง ก็นั่งดูต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่อง แล้วหล่อนก็จะได้รับคำตอบเองแหละ ไม่รู้จะถามหา HOG ไปทำไม” ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนอย่างนี้อยู่ด้วย มนุษย์ช่างเป็นอะไรที่โง่จนไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมารองรับจริงๆ ว้า ไม่เอาไม่เอา ไม่นึกถึงเพื่อนคนนี้ดีกว่า นึกแล้วอารมณ์เสีย
อันนี้ไม่รู้เล่าไปแล้วยัง ว่าเพื่อนผู้หญิงคนนี้มีอาการประเภท “เขารักฉัน” ตอนแรกดิฉันนึกว่าดิฉันเป็นคนที่มีปัญหาที่สุดในกลุ่มแล้ว เพราะดิฉันชอบมีอาการประเภท “ฉันรักผัวเขา” ชอบผัวคนโน้นผัวคนนี้ไปทั่ว ดิฉันก็บอกกับเพื่อนๆว่า ดิฉันมีอาการน่าเป็นห่วงมาก เพื่อนๆในกลุ่มก็เลยบอกว่า “โอ๊ย อย่างหล่อนน่ะเหรอ ยังสู้อี...ไม่ได้หรอก อีนั่นน่ะเป็นโรค ‘เขารักฉัน’” เพราะเธอชอบคิดไปเองว่าผู้ชายคนโน้นก็มาชอบเธอ ผู้ชายคนนี้ก็มาชอบเธอ เธอจะทำอย่างไรดี จะเลือกคนโน้นดี หรือจะเลือกคนนี้ดี ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้มีใครชอบเธอจริงๆสักคน เธอหลงนึกไปเองหมด เพื่อนๆบอกว่าอาการ “เขารักฉัน” นี่ร้ายแรงกว่าอาการ “ฉันรักผัวเขา” ของดิฉันอย่างมากๆ เพราะอาการ “ฉันรักผัวเขา” นี่ยังเป็นอาการของคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อาการ “เขารักฉัน” นี่เป็นอาการของคนที่หลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปแล้ว
--ในเว็บบอร์ด bioscope ได้คุยกับคุณ TAIKI SAKPISIT ผู้กำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY (A) ค่ะ ได้เข้าไปดู BLOG ของเขาด้วย เขาถ่ายภาพสวยมากๆ ลองเข้าไปดู BLOG ของเขาได้ที่
http://bungalowzen.blogspot.com/
ส่วนกระทู้ที่คุยกับคุณ TAIKI อยู่ที่นี่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=25354
--เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลอน ONE ART ในหนังเรื่อง IN HER SHOES (A+)
ตามความเข้าใจและจินตนาการของตัวดิฉันเอง ผู้เขียนกลอนบทนี้สูญเสียเพื่อนไป และเธอรู้สึกว่าการสูญเสียเพื่อนในครั้งนี้มันร้ายแรงมาก มันสาหัสสากรรจ์มาก มันก่อให้เกิดความรู้สึกเลวร้ายอย่างรุนแรงจนไม่รู้จะพรรณนาว่ายังไง เธอก็เลยได้แต่ปลอบใจตัวเอง ได้แต่หลอกตัวเอง ว่า “โอ๊ย การสูญเสียมันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ยากหรอก” แต่เธอก็ปลอบตัวเอง หลอกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะพอมาถึงประโยคสุดท้ายของกลอนนี้ คำว่า “write it!” คำนี้นี่แหละที่ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้แทบจะจดปากกาลงบนหน้ากระดาษไม่ได้อีกต่อไป ก้อนสะอื้นมันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย น้ำตามันคงเอ่อล้นอยู่เต็มทำนบดวงตา จนเธอถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า “เขียนมันลงไป เขียนมันลงไปให้ได้ เขียนมันลงไปสิ เขียนมันลงไปให้จบ” เธอต้องฝืนตัวเองเป็นอย่างมากในการที่จะเขียนคำสุดท้ายที่สะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงในตัวเองลงไป คำที่เธอพยายามจะบอกว่า “มันไม่จริงหรอก ฉันอาจจะรู้สึกคล้ายๆกับว่าการสูญเสียเพื่อนเป็นสิ่งที่เลวร้าย เป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่หายนะแต่อย่างใด มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่” เธอพยายามจะปิดกั้นความรู้สึกโศกเศร้าของตัวเอง เธอพยายามจะบอกตัวเองให้ “รู้สึก” ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเธอเองจริงๆกำลังรู้สึก แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ ในที่สุดเธอก็ต้องยอมรับกับใจตัวเองว่าการสูญเสียเป็นหายนะครั้งใหญ่จริงๆ
ชอบกลอนนี้มาก เพราะผู้เขียนเขียนในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเอง เขียนให้เว่อๆเข้าไว้ เพื่อจะได้พยายามหลอกตัวเองให้ได้ แต่ในที่สุด ผู้เขียนก็ต้องพ่ายแพ้แก่ความรู้สึกของตัวเองในตอนจบ
ถ้าหากอ่านกลอนนี้แค่สามบรรทัดแรก อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้คิดว่าการสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากอ่านต่อไปเรื่อยๆ เห็น “ความเว่อ” ของการทดลองสูญเสียของผู้เขียน ก็จะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่เขียนไว้ แต่หมายความในทางตรงกันข้าม เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนถ้าหากเราสูญเสียอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไป แต่ผู้เขียนบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่นแสดงว่าผู้เขียนกำลังพยายามหลอกตัวเองเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง กำลังพยายามฝืนใจตัวเองในเรื่องบางเรื่องอยู่
และพอมาถึงบทสุดท้าย เราก็เข้าใจได้ว่าผู้เขียนพยายามจะหลอกตัวเองเรื่องอะไร เพราะสิ่งที่ผู้แต่งกลอนนี้รู้สึกจริงๆก็คือว่า “Losing you is like disaster, but I just tried to lie to myself that it’s not a disaster.”
(อันนี้ไม่ใช่การแปลกลอนนะคะ แต่เป็นการ “ดัดแปลง” ตามความรู้สึกของตัวเอง)
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
เพราะหลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนจะจงใจทำให้ตัวเองสูญหาย
จนกระทั่งการสูญเสียมันไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ลองทำของหายทุกวันดูสิ และยอมรับความรู้สึกอารมณ์เสีย
เมื่อเราทำกุญแจประตูหาย เมื่อเราเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆชั่วโมงนึง
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
หลังจากนั้นก็ฝึกฝนตัวเองให้สูญเสียมากยิ่งขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น
ลองลืมสถานที่ ลองลืมชื่อคน ลองลืมซิว่าคุณตั้งใจ
จะเดินทางไปที่ใด การสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ฉันเคยทำนาฬิกาของแม่หาย และดูสิ บ้านหลังสุดท้าย หรือ
บ้านก่อนหลังสุดท้าย ในบรรดาบ้านที่ฉันรักสามหลังได้จากฉันไปแล้ว
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ฉันสูญเสียเมืองไปสองเมือง เมืองที่น่ารักเสียด้วย และ ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น
ฉันสูญเสียอาณาจักรบางแห่งที่ฉันเคยครอบครอง สูญเสียแม่น้ำสองสาย ทวีปหนึ่งทวีป
ฉันคิดถึงสถานที่เหล่านั้นนะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
--แม้แต่การสูญเสียเธอ (เสียงที่เล่าเรื่องน่าขัน อากัปกิริยา
ที่ฉันรัก) ฉันไม่ได้พูดปดในเรื่องนี้เลยนะ เห็นได้ชัดเลยว่า
ไม่ยากเกินไปเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ถึงแม้ฉันอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่า (เขียนมันลงไปสิ) มันคือหายนะก็ตาม
ตอบคุณเจ้าชายน้อย
เคยดู FACE (A-) ของ JUNJI SAKAMOTO เมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนมาฉายในเทศกาล BANGKOK FILM FESTIVAL ที่เอ็มโพเรียม เป็นหนังที่ชอบพอสมควร เดาเนื้อหาในหนังไม่ค่อยได้ด้วย
ฉากที่นางเอกจินตนาการว่ากินข้าวอยู่กลางทุ่งกับยีราฟเป็นฉากที่ติดตามากๆ
ชอบ RIHO MAKISE ที่เล่นเป็นน้องสาวนางเอกมากๆเหมือนกัน รู้สึกว่าเธอเคยเป็นนักร้องมาก่อน เพิ่งได้เห็นเธออีกครั้งในหนังเรื่อง A BOY’S SUMMER IN 1945 (2002, KAZUO KUROKI, A+) รู้สึกว่าเธอยังคงดูน่าสนใจเหมือนเดิม รู้สึกว่าเธอร่วมแสดงใน HINOKIO (2005, TAKAHIKO AKIYAMA) ที่ลงโรงฉายในตอนนี้ด้วยนะ
ใน FACE มีอยู่ช่วงนึงที่นางเอกเดินทางไปเจอกับผู้หญิงแปลกหน้าที่มาทำดีกับนางเอก แล้วตอนหลังนางเอกถึงค้นพบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฆาตกรนักแปลงโฉม รู้สึกว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้ในหนังน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคดีจริงๆในญี่ปุ่น เพราะเคยอ่านในหนังสือพิมพ์ว่าที่ญี่ปุ่นมีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่เวลาฆ่าใครเสร็จ เธอก็จะพยายามลอกเลียน IDENTITY ของเหยื่อที่ตัวเองฆ่าไปด้วย เพราะฉะนั้นรูปพรรณของฆาตกรหญิงคนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และทำให้ตามจับได้ยากมาก (อาจจะคล้ายๆกับฆาตกรโรคจิตเพศชายใน TAKING LIVES) แต่ตอนนี้ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าฆาตกรคนนี้มีสมญานามว่าอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะ SEARCH หาข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวนักฆ่าคนนี้อย่างไรดี
จริงๆแล้วเนื้อหาตรงช่วงนั้นใน FACE รู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะนางเอกก็เป็นฆาตกรเหมือนกัน เรียกได้ว่าฉากนั้นเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างฆาตกรหญิงกับฆาตกรหญิง แต่ปรากฏว่าทั้งสองไม่ได้ห้ำหั่นกันแต่อย่างใด
ตอบน้อง merveillesxx
เข้าไปอ่านใน blog ของน้องแล้ว เข้าใจว่าตอนนี้น้องคงนอนนิ่งๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องจะได้เข้ามาอ่านข้อความนี้เมื่อไหร่ และปัญหาชีวิตรักจะคลี่คลายไปในทิศทางใด แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดีนะคะ
ข้างล่างนี้เป็นการตอบแบบเล่นๆ
เพลง SOUNDTRACK ที่อาจเอามาใช้ประกอบชีวิตของน้องในช่วงนี้ รวมถึงเพลง
1. DAYS LIKE THIS ของ SHEENA EASTON ที่บอกว่าในบางช่วงของชีวิต เราจะต้องเจออะไรที่มันหนักหนาสาหัสมากๆจนทำให้เราแทบจะยอมแพ้ แต่เราก็จะต้อง “เข้มแข็ง” ให้มากเป็นพิเศษเพื่อผ่านช่วงนี้ไปให้ได้
THERE WOULD BE DAYS LIKE THIS
THERE WOULD BE TIME WHEN YOU JUST CAN’T GO ON
THERE WOULD BE SECONDS OF MINUTE
MINUTES OF HOUR
THAT’S WHEN YOU’VE GOT TO BE STRONG
2. เพลง TELEFONE (LONG DISTANCE LOVE AFFAIR) ของ SHEENA EASTON ซึ่งเป็นเพลงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในยุคที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน
http://www.amazon.com/gp/product/B000002T0V/qid=1137768475/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/002-0470505-2058429?n=507846&s=music&v=glance
I've been away from you for far too longToo much chances make my heart go franticI wanna tell you what's been goin' onOperator give me Trans AtlanticI sit alone as the night goes byStare at the phone and wait for your replyLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohWhat in the world's comin' over youHow come you're acting like a total strangerI try to reach you but I can't get throughI got this feeling that my heart's in dangerI got your letter it was perfectly clearHavin' a ball, and wishin' you are hereLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohPremonition is a funny thingA familiar kind of pain and easyLike knowin' when the phone is gonna ringToo many times and it'll drive you crazyI hear your echo in the longer hallCall out your nameBut no-one's there at allLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never home
--ถ้าเล็บของน้องเริ่มดีขึ้นแล้ว ขอแนะนำให้น้องเข้าร้านทำเล็บค่ะ การทำเล็บจะช่วยให้น้องมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก อย่าลืมไปทำเล็บมาให้สวยๆเลยนะคะ
--ส่วนเรื่องที่อาจจะมีบางคนไม่ชอบสิ่งที่น้องเขียนนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ถ้าน้องทำอะไรผิด แล้วมีคนมาชี้จุดที่น้องทำผิดให้รู้ตัว เราก็จะได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าน้องไม่ได้ทำผิดอย่างที่เขากล่าวหา ก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร น้องจงคิดซะว่าขนาด “อายูมิ ฮามาซากิ” ยังมีคนที่ไม่ชอบเธอตั้งมากมายหลายคน น้องจงคิดซะว่าตัวเองก็เหมือนกับอายูมิ ฮามาซากิ มีหลายคนที่ชอบและมีหลายคนที่ไม่ชอบ แต่เธอก็ยังคงผลิตผลงานใหม่ๆออกมาอย่างมากมาย ไม่ได้ท้อถอย และไม่ได้เสียเวลาไปกับการกังวลว่าคนจะเกลียดชังเธอมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่น้องพบว่ามีคนไม่ชอบน้อง แล้วน้องรู้สึกท้อถอย ไม่มั่นใจในตัวเอง และหมดกำลังใจ น้องจงคิดซะว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ ถ้าหากจะมีคนไม่ชอบฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา” หรือไม่น้องก็ตะโกนออกมาดังๆให้คนแถวนั้นได้ยินกันทั่วว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ” แล้วน้องก็จะรู้สึกดีขึ้นและกลับมามั่นใจในตัวเองตามเดิมค่ะ แต่ถ้าหากคนแถวนั้นช่วยกันจับน้องส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ไม่ต้องมาโทษว่าเป็นเพราะคำแนะนำของดิฉันนะคะ :-)
--มีความสุขกับการอ่านสิ่งที่ทุกคนเขียนมากๆ แต่เอาไว้วันหลังค่อยตอบอีกทีแล้วกันนะ
--ดีใจมากค่ะที่ ROBOKON (2003, TOMOYUKI FURUMAYA, A+) ติดท็อปเทนของคุณแฟรงเกนสไตน์
--ขอให้ปัญหาของคุณ lovejuice ได้รับการคลี่คลายไปด้วยดีนะคะ
ตอบน้อง ZM
--เคยมีเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ไม่สนิทกับเธอมากนัก แต่ดันอยู่กลุ่มเดียวกัน เวลาไปดูวิดีโอหนังเรื่องต่างๆที่บ้านเพื่อนด้วยกัน เธอก็จะคอยซักถามตลอดเวลาว่า “ทำไมคนนี้ถึงทำอย่างนี้” “ทำไมคนนั้นถึงทำอย่างนั้น” “เกิดอะไรขึ้น” “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง” ดิฉันก็ได้แต่ด่าอยู่ในใจว่า “ E HA หล่อนก็นั่งดูต่อไปสิ แล้วหล่อนก็จะเข้าใจเอง ก็นั่งดูต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่อง แล้วหล่อนก็จะได้รับคำตอบเองแหละ ไม่รู้จะถามหา HOG ไปทำไม” ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนอย่างนี้อยู่ด้วย มนุษย์ช่างเป็นอะไรที่โง่จนไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมารองรับจริงๆ ว้า ไม่เอาไม่เอา ไม่นึกถึงเพื่อนคนนี้ดีกว่า นึกแล้วอารมณ์เสีย
อันนี้ไม่รู้เล่าไปแล้วยัง ว่าเพื่อนผู้หญิงคนนี้มีอาการประเภท “เขารักฉัน” ตอนแรกดิฉันนึกว่าดิฉันเป็นคนที่มีปัญหาที่สุดในกลุ่มแล้ว เพราะดิฉันชอบมีอาการประเภท “ฉันรักผัวเขา” ชอบผัวคนโน้นผัวคนนี้ไปทั่ว ดิฉันก็บอกกับเพื่อนๆว่า ดิฉันมีอาการน่าเป็นห่วงมาก เพื่อนๆในกลุ่มก็เลยบอกว่า “โอ๊ย อย่างหล่อนน่ะเหรอ ยังสู้อี...ไม่ได้หรอก อีนั่นน่ะเป็นโรค ‘เขารักฉัน’” เพราะเธอชอบคิดไปเองว่าผู้ชายคนโน้นก็มาชอบเธอ ผู้ชายคนนี้ก็มาชอบเธอ เธอจะทำอย่างไรดี จะเลือกคนโน้นดี หรือจะเลือกคนนี้ดี ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้มีใครชอบเธอจริงๆสักคน เธอหลงนึกไปเองหมด เพื่อนๆบอกว่าอาการ “เขารักฉัน” นี่ร้ายแรงกว่าอาการ “ฉันรักผัวเขา” ของดิฉันอย่างมากๆ เพราะอาการ “ฉันรักผัวเขา” นี่ยังเป็นอาการของคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อาการ “เขารักฉัน” นี่เป็นอาการของคนที่หลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปแล้ว
--ในเว็บบอร์ด bioscope ได้คุยกับคุณ TAIKI SAKPISIT ผู้กำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY (A) ค่ะ ได้เข้าไปดู BLOG ของเขาด้วย เขาถ่ายภาพสวยมากๆ ลองเข้าไปดู BLOG ของเขาได้ที่
http://bungalowzen.blogspot.com/
ส่วนกระทู้ที่คุยกับคุณ TAIKI อยู่ที่นี่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=25354
--เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลอน ONE ART ในหนังเรื่อง IN HER SHOES (A+)
ตามความเข้าใจและจินตนาการของตัวดิฉันเอง ผู้เขียนกลอนบทนี้สูญเสียเพื่อนไป และเธอรู้สึกว่าการสูญเสียเพื่อนในครั้งนี้มันร้ายแรงมาก มันสาหัสสากรรจ์มาก มันก่อให้เกิดความรู้สึกเลวร้ายอย่างรุนแรงจนไม่รู้จะพรรณนาว่ายังไง เธอก็เลยได้แต่ปลอบใจตัวเอง ได้แต่หลอกตัวเอง ว่า “โอ๊ย การสูญเสียมันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ยากหรอก” แต่เธอก็ปลอบตัวเอง หลอกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะพอมาถึงประโยคสุดท้ายของกลอนนี้ คำว่า “write it!” คำนี้นี่แหละที่ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้แทบจะจดปากกาลงบนหน้ากระดาษไม่ได้อีกต่อไป ก้อนสะอื้นมันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย น้ำตามันคงเอ่อล้นอยู่เต็มทำนบดวงตา จนเธอถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า “เขียนมันลงไป เขียนมันลงไปให้ได้ เขียนมันลงไปสิ เขียนมันลงไปให้จบ” เธอต้องฝืนตัวเองเป็นอย่างมากในการที่จะเขียนคำสุดท้ายที่สะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงในตัวเองลงไป คำที่เธอพยายามจะบอกว่า “มันไม่จริงหรอก ฉันอาจจะรู้สึกคล้ายๆกับว่าการสูญเสียเพื่อนเป็นสิ่งที่เลวร้าย เป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่หายนะแต่อย่างใด มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่” เธอพยายามจะปิดกั้นความรู้สึกโศกเศร้าของตัวเอง เธอพยายามจะบอกตัวเองให้ “รู้สึก” ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเธอเองจริงๆกำลังรู้สึก แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ ในที่สุดเธอก็ต้องยอมรับกับใจตัวเองว่าการสูญเสียเป็นหายนะครั้งใหญ่จริงๆ
ชอบกลอนนี้มาก เพราะผู้เขียนเขียนในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเอง เขียนให้เว่อๆเข้าไว้ เพื่อจะได้พยายามหลอกตัวเองให้ได้ แต่ในที่สุด ผู้เขียนก็ต้องพ่ายแพ้แก่ความรู้สึกของตัวเองในตอนจบ
ถ้าหากอ่านกลอนนี้แค่สามบรรทัดแรก อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้คิดว่าการสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากอ่านต่อไปเรื่อยๆ เห็น “ความเว่อ” ของการทดลองสูญเสียของผู้เขียน ก็จะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่เขียนไว้ แต่หมายความในทางตรงกันข้าม เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนถ้าหากเราสูญเสียอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไป แต่ผู้เขียนบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่นแสดงว่าผู้เขียนกำลังพยายามหลอกตัวเองเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง กำลังพยายามฝืนใจตัวเองในเรื่องบางเรื่องอยู่
และพอมาถึงบทสุดท้าย เราก็เข้าใจได้ว่าผู้เขียนพยายามจะหลอกตัวเองเรื่องอะไร เพราะสิ่งที่ผู้แต่งกลอนนี้รู้สึกจริงๆก็คือว่า “Losing you is like disaster, but I just tried to lie to myself that it’s not a disaster.”
(อันนี้ไม่ใช่การแปลกลอนนะคะ แต่เป็นการ “ดัดแปลง” ตามความรู้สึกของตัวเอง)
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
เพราะหลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนจะจงใจทำให้ตัวเองสูญหาย
จนกระทั่งการสูญเสียมันไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ลองทำของหายทุกวันดูสิ และยอมรับความรู้สึกอารมณ์เสีย
เมื่อเราทำกุญแจประตูหาย เมื่อเราเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆชั่วโมงนึง
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
หลังจากนั้นก็ฝึกฝนตัวเองให้สูญเสียมากยิ่งขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น
ลองลืมสถานที่ ลองลืมชื่อคน ลองลืมซิว่าคุณตั้งใจ
จะเดินทางไปที่ใด การสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ฉันเคยทำนาฬิกาของแม่หาย และดูสิ บ้านหลังสุดท้าย หรือ
บ้านก่อนหลังสุดท้าย ในบรรดาบ้านที่ฉันรักสามหลังได้จากฉันไปแล้ว
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ฉันสูญเสียเมืองไปสองเมือง เมืองที่น่ารักเสียด้วย และ ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น
ฉันสูญเสียอาณาจักรบางแห่งที่ฉันเคยครอบครอง สูญเสียแม่น้ำสองสาย ทวีปหนึ่งทวีป
ฉันคิดถึงสถานที่เหล่านั้นนะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
--แม้แต่การสูญเสียเธอ (เสียงที่เล่าเรื่องน่าขัน อากัปกิริยา
ที่ฉันรัก) ฉันไม่ได้พูดปดในเรื่องนี้เลยนะ เห็นได้ชัดเลยว่า
ไม่ยากเกินไปเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ถึงแม้ฉันอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่า (เขียนมันลงไปสิ) มันคือหายนะก็ตาม
ตอบคุณเจ้าชายน้อย
เคยดู FACE (A-) ของ JUNJI SAKAMOTO เมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนมาฉายในเทศกาล BANGKOK FILM FESTIVAL ที่เอ็มโพเรียม เป็นหนังที่ชอบพอสมควร เดาเนื้อหาในหนังไม่ค่อยได้ด้วย
ฉากที่นางเอกจินตนาการว่ากินข้าวอยู่กลางทุ่งกับยีราฟเป็นฉากที่ติดตามากๆ
ชอบ RIHO MAKISE ที่เล่นเป็นน้องสาวนางเอกมากๆเหมือนกัน รู้สึกว่าเธอเคยเป็นนักร้องมาก่อน เพิ่งได้เห็นเธออีกครั้งในหนังเรื่อง A BOY’S SUMMER IN 1945 (2002, KAZUO KUROKI, A+) รู้สึกว่าเธอยังคงดูน่าสนใจเหมือนเดิม รู้สึกว่าเธอร่วมแสดงใน HINOKIO (2005, TAKAHIKO AKIYAMA) ที่ลงโรงฉายในตอนนี้ด้วยนะ
ใน FACE มีอยู่ช่วงนึงที่นางเอกเดินทางไปเจอกับผู้หญิงแปลกหน้าที่มาทำดีกับนางเอก แล้วตอนหลังนางเอกถึงค้นพบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฆาตกรนักแปลงโฉม รู้สึกว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้ในหนังน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคดีจริงๆในญี่ปุ่น เพราะเคยอ่านในหนังสือพิมพ์ว่าที่ญี่ปุ่นมีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่เวลาฆ่าใครเสร็จ เธอก็จะพยายามลอกเลียน IDENTITY ของเหยื่อที่ตัวเองฆ่าไปด้วย เพราะฉะนั้นรูปพรรณของฆาตกรหญิงคนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และทำให้ตามจับได้ยากมาก (อาจจะคล้ายๆกับฆาตกรโรคจิตเพศชายใน TAKING LIVES) แต่ตอนนี้ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าฆาตกรคนนี้มีสมญานามว่าอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะ SEARCH หาข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวนักฆ่าคนนี้อย่างไรดี
จริงๆแล้วเนื้อหาตรงช่วงนั้นใน FACE รู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะนางเอกก็เป็นฆาตกรเหมือนกัน เรียกได้ว่าฉากนั้นเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างฆาตกรหญิงกับฆาตกรหญิง แต่ปรากฏว่าทั้งสองไม่ได้ห้ำหั่นกันแต่อย่างใด
ตอบน้อง merveillesxx
เข้าไปอ่านใน blog ของน้องแล้ว เข้าใจว่าตอนนี้น้องคงนอนนิ่งๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องจะได้เข้ามาอ่านข้อความนี้เมื่อไหร่ และปัญหาชีวิตรักจะคลี่คลายไปในทิศทางใด แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดีนะคะ
ข้างล่างนี้เป็นการตอบแบบเล่นๆ
เพลง SOUNDTRACK ที่อาจเอามาใช้ประกอบชีวิตของน้องในช่วงนี้ รวมถึงเพลง
1. DAYS LIKE THIS ของ SHEENA EASTON ที่บอกว่าในบางช่วงของชีวิต เราจะต้องเจออะไรที่มันหนักหนาสาหัสมากๆจนทำให้เราแทบจะยอมแพ้ แต่เราก็จะต้อง “เข้มแข็ง” ให้มากเป็นพิเศษเพื่อผ่านช่วงนี้ไปให้ได้
THERE WOULD BE DAYS LIKE THIS
THERE WOULD BE TIME WHEN YOU JUST CAN’T GO ON
THERE WOULD BE SECONDS OF MINUTE
MINUTES OF HOUR
THAT’S WHEN YOU’VE GOT TO BE STRONG
2. เพลง TELEFONE (LONG DISTANCE LOVE AFFAIR) ของ SHEENA EASTON ซึ่งเป็นเพลงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในยุคที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน
http://www.amazon.com/gp/product/B000002T0V/qid=1137768475/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/002-0470505-2058429?n=507846&s=music&v=glance
I've been away from you for far too longToo much chances make my heart go franticI wanna tell you what's been goin' onOperator give me Trans AtlanticI sit alone as the night goes byStare at the phone and wait for your replyLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohWhat in the world's comin' over youHow come you're acting like a total strangerI try to reach you but I can't get throughI got this feeling that my heart's in dangerI got your letter it was perfectly clearHavin' a ball, and wishin' you are hereLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohPremonition is a funny thingA familiar kind of pain and easyLike knowin' when the phone is gonna ringToo many times and it'll drive you crazyI hear your echo in the longer hallCall out your nameBut no-one's there at allLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never home
--ถ้าเล็บของน้องเริ่มดีขึ้นแล้ว ขอแนะนำให้น้องเข้าร้านทำเล็บค่ะ การทำเล็บจะช่วยให้น้องมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก อย่าลืมไปทำเล็บมาให้สวยๆเลยนะคะ
--ส่วนเรื่องที่อาจจะมีบางคนไม่ชอบสิ่งที่น้องเขียนนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ถ้าน้องทำอะไรผิด แล้วมีคนมาชี้จุดที่น้องทำผิดให้รู้ตัว เราก็จะได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าน้องไม่ได้ทำผิดอย่างที่เขากล่าวหา ก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร น้องจงคิดซะว่าขนาด “อายูมิ ฮามาซากิ” ยังมีคนที่ไม่ชอบเธอตั้งมากมายหลายคน น้องจงคิดซะว่าตัวเองก็เหมือนกับอายูมิ ฮามาซากิ มีหลายคนที่ชอบและมีหลายคนที่ไม่ชอบ แต่เธอก็ยังคงผลิตผลงานใหม่ๆออกมาอย่างมากมาย ไม่ได้ท้อถอย และไม่ได้เสียเวลาไปกับการกังวลว่าคนจะเกลียดชังเธอมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่น้องพบว่ามีคนไม่ชอบน้อง แล้วน้องรู้สึกท้อถอย ไม่มั่นใจในตัวเอง และหมดกำลังใจ น้องจงคิดซะว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ ถ้าหากจะมีคนไม่ชอบฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา” หรือไม่น้องก็ตะโกนออกมาดังๆให้คนแถวนั้นได้ยินกันทั่วว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ” แล้วน้องก็จะรู้สึกดีขึ้นและกลับมามั่นใจในตัวเองตามเดิมค่ะ แต่ถ้าหากคนแถวนั้นช่วยกันจับน้องส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ไม่ต้องมาโทษว่าเป็นเพราะคำแนะนำของดิฉันนะคะ :-)
Thursday, January 19, 2006
SHE IS READING NEWSPAPER (A+++++)
ตอบคุณ bungalowzen
(I hope you can read Thai.)
--ได้ดู I AM A S-E-X ADDICT ในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดฉายในกรุงเทพในเดือนต.ค.ปี 2005 ค่ะ
น่าอิจฉามากเลยค่ะที่ได้เรียนหนังสือกับ CAVEH ZAHEDI คิดว่าเขาคงเป็นอาจารย์ที่ช่วยให้นักเรียนได้เปิดกว้างทางความคิดมากขึ้นแน่ๆ
รู้สึกว่าผู้กำกับเก่งๆหลายคนได้หันมาทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในช่วงต่อมา แล้วก็ไม่ได้ทำหนังอะไรออกมาอีกเลย แต่ CAVEH ZAHEDI ยังโชคดีที่ได้ทำหนังออกมาเรื่อยๆ
ได้ดู STALKER, THE IDIOTS, BREAKING THE WAVES และ L’ARGENT แล้ว รู้สึกชอบ L’ARGENT มากที่สุด (ดู L’ARGENT แล้วทำให้ไม่กล้าทำบาปแม้บาปนั้นจะเป็นเพียงอะไรเล็กๆน้อยๆ) ส่วน A WOMAN UNDER THE INFLUENCE กับ MY LIFE TO LIVE ยังไม่ได้ดู
รู้สึกว่า CAVEH ZAHEDI เป็นคนที่สร้างปฏิกิริยาแปลกๆบางอย่างต่อตัวดิฉัน เหมือนกับเขาถือกระจกให้ดิฉันได้เห็นอะไรบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในตัวเอง เพราะแค่ได้ดูหนังของเขาเรื่องแรก ดิฉันก็ได้ข้อคิดที่สำคัญบางอย่างที่สามารถนำมาใช้ปรับปรุงชีวิตของตัวเอง ทั้งๆที่หนังของเขาไม่ใช่หนังที่ตั้งหน้าตั้งตาจะสั่งสอนผู้ชมอย่างชัดเจน และพอได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในลิงค์บทความข้างต้น ที่เขาพูดถึงเรื่อง EGO ของมนุษย์ ก็รู้สึกว่าคำให้สัมภาษณ์ของเขาทำให้ดิฉันต้องหันมาทบทวนเรื่อง ego ของตัวเองเหมือนกัน
--Blog ของคุณ bungalowzen เต็มไปด้วยภาพถ่ายที่สวยงามน่าสนใจมากๆเลยค่ะ ตอนเห็นชื่อ bungalow ก็ยังสงสัยอยู่ในใจว่าจะใช่ผู้กำกับหนังเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY หรือเปล่า ปรากฏว่าใช่จริงๆด้วย
ได้ดู BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY ในงานประกวดหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทยเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ได้ดูเพียงรอบเดียว เป็นหนังที่ชอบมากพอสมควร ตอนนี้จำรายละเอียดอะไรในหนังไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าชอบดนตรีประกอบอันรื่นหู, การถ่ายภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกโล่งว่าง และรู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ดู ชอบหนังที่ไม่มีเนื้อเรื่องแบบนี้นี่แหละ (หรือมันมีเนื้อเรื่อง แต่ดิฉันเองนี่แหละที่ “ไม่รู้เรื่อง” ไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันแฮะ) บางอารมณ์ในหนังทำให้นึกถึง ALABAMA: 2000 LIGHT YEARS FROM HOME (1969, WIM WENDERS, A+++++) เพราะหนังสองเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง ROAD MOVIE ขนานแท้ เพราะมีแต่ “ถนน” แต่แทบไม่มี “คน” อยู่ในเรื่องเลย (ฮา)
หวังว่าคุณ TAIKI จะทำหนังออกมาอีกเรื่อยๆนะคะ ดูจากภาพที่ถ่ายไว้ใน blog ของคุณ รู้สึกว่าถ้าหากคุณทำหนังอีก หนังของคุณจะต้องน่าสนใจมากๆ ดูจาก blog ของคุณแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณกำลังทำงานในกองถ่ายหนังหรือทำงานศิลปะด้านอื่นๆอยู่หรือเปล่า
รู้สึกว่าถ้าหากเอาภาพถ่ายของคุณมาจัดเรียงใหม่ แล้วแต่งเนื้อเรื่องเข้าไป บางทีอาจจะได้หนัง 1 เรื่องแล้วก็ได้ (แบบ LA JETEE ของ CHRIS MARKER ที่มีแต่ภาพนิ่งเกือบทั้งเรื่องไง)
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจใน blog ของคุณก็คือการได้เห็นชื่อของ JEAN-LUC GODARD อยู่ในหมวด FAVORITE MUSIC เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า GODARD ทำงานด้านนี้ด้วย (แต่แกก็ใช้ดนตรีประกอบในหนังของแกได้อย่างเฮี้ยนมากๆเลยนะ โดยเฉพาะใน Week-End)
--การที่ CAVEH ZAHEDI ทำหนังที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ และดัดแปลงมาจากประวัติชีวิตของตัวเอง ทำให้นึกถึงหนังของผู้กำกับอีกหลายๆคนที่ดิฉันอยากดู แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ดู รู้สึกว่าจะมีผู้กำกับกลุ่มนึงที่ชอบบันทึกชีวิตของตัวเองลงในหนังโดยตรงในรูปแบบ “ไดอารี่” หนังกลุ่มนี้จะมีความเป็นสารคดีค่อนข้างสูง ในขณะที่ผู้กำกับอีกกลุ่มนึงจะหยิบยกเอาชีวิตในอดีตของตัวเองมาสร้างเป็นหนัง โดยอาจให้ดาราบางคนมารับบทเป็นตัวเองในอดีต หนังกลุ่มนี้จะค่อนไปในทางเป็น autobiography รู้สึกว่าหนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT ของ CAVEH ZAHEDI น่าจะจัดอยู่ในข่าย AUTOBIOGRAPHY ได้ด้วยเหมือนกัน
การที่ CAVEH ZAHEDI หยิบยกชีวิตของตัวเองมาสร้างเป็นหนัง ทำให้นึกถึงสิ่งที่ FRANCOIS TRUFFAUT เคยเขียนไว้ในปี 1957 ที่ว่า
http://www.sensesofcinema.com/contents/01/12/garrel.html
"The film of tomorrow appears to me as even more personal than an individual and autobiographical novel, like a confession or a diary. The young filmmakers will express themselves in the first person and will relate what has happened to them: it may be the story of their first love or their most recent; of their political awakening; the story of a trip, a sickness, their military service, their marriage, their last vacation.and it will be enjoyable because it will be true.the film of tomorrow will be an act of love."
MAXIMILIAN LE CAIN นักวิจารณ์วัย 22 ปี เขียนไว้ในเว็บไซท์ SENSES OF CINEMA ว่า ผู้กำกับกลุ่มที่ชอบสร้างหนังที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของตัวเอง รวมถึงผู้กำกับ 3 คนในกลุ่ม POST NEW WAVE ของฝรั่งเศส ซึ่งได้แก่
1.MAURICE PIALAT
2.JEAN EUSTACHE (THE MOTHER AND THE WHORE, MY LITTLE LOVE, NUMERO ZERO)
3.PHILIPPE GARREL (THE BIRTH OF LOVE, REGULAR LOVERS, I DON’T HEAR THE GUITAR ANYMORE)
http://www.imdb.com/name/nm0308042/
ส่วนผู้กำกับที่ทำหนังแนวสารคดี-ไดอารี่ รวมถึง
1.JONATHAN CAOUETTE (TARNATION)
2.JONAS MEKAS (AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY)
3.ROBERT FRANK (HOME IMPROVEMENTS, ME AND MY BROTHER, C’EST VRAI)
http://www.imdb.com/name/nm0291071/
http://www.villagevoice.com/film/0530,halter2,66234,20.html
4.MICHEL AUDER
http://www.imdb.com/name/nm0041536/
http://www.michelauder.com/
5.ALAIN CAVALIER (LE FILMEUR, LIVES, THIS ANSWERING SERVICE TAKES NO MESSAGES)
http://www.imdb.com/name/nm0146760/
--รู้สึกว่าหนังเรื่อง ENDLESS STORY (2005, THUNSKA PANSITTIVORAKUL, A+) ก็มีอะไรบางอย่างใกล้เคียงกับหนังแนว AUTOBIOGRAPHY, DIARY เหมือนกันนะ
ตอบน้อง merveillesxx
ใช่แล้วจ้า GABRIELLE กำกับโดย PATRICE CHEREAU น้อง merveillesxx ช่างสังเกตมากๆเลยจ้ะ โฮะๆๆๆ นี่ขนาดลอกมาจากเว็บไซท์ของ FILM COMMENT โดยตรงนะเนี่ย
ขอบคุณคุณ ar เป็นอย่างยิ่งค่ะสำหรับข้อมูลหนังจีน
ตอบน้อง merveillesxx
แล้วเดี๋ยวจะมาตอบอีกทีแบบยาวๆนะคะ ช่วงนี้ยังไม่หายดีจากหวัด ก็เลยทำให้แทบไม่ได้เข้าโรงหนังและแทบไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เลย
ยินดีกับน้อง merveillesxx ด้วยนะคะที่ได้ตำแหน่ง “ปรียานุช ปานประดับ” (รองอันดับ 1) แห่งวงการ BLOG ภาพยนตร์ นับจากนี้เป็นต้นไป เวลาน้อง merveillesxx ไปไหนมาไหน น้องต้องทำเหมือนกับว่าตัวเองมี “มงกุฎ” สวมอยู่บนศีรษะนะคะ โฮะๆๆๆๆ
วันอาทิตย์ที่น้อง merveillesxx ไม่ได้ไปดูหนังที่ธรรมศาสตร์น่ะ ดิฉันกับเพื่อนๆนินทาน้อง merveillesxx กันใหญ่เลยค่ะ นินทากันสนุกมาก เวลานินทา บางทีคนแถวๆนั้นก็หันมามอง ยังนึกอยู่ในใจเลยว่าคนแถวนั้นบางคนเป็นเพื่อนของน้อง merveillesxx หรือเปล่า และอาจจะพยายามเงี่ยหูฟังว่าพวกเรากำลังนินทาน้องว่ายังไงบ้าง
แต่จริงๆแล้วการนินทาที่ว่าเป็นการ “พูดถึงในทางบวก” ทั้งหมดค่ะ
การดูหนังของคุณทศพล บุญสินสุขในวันนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันมีความสุขมากในขณะที่ดู (แต่ก็ร้องไห้อีกครั้งตอนดู AFTERNOON TIME) แต่รู้สึกทรมานมากขณะที่ดูจบแล้ว เพราะดูแล้วทำให้นอนไม่หลับ เหมือนประสาทมันตื่นตัวอย่างรุนแรงเหมือนตอนที่ได้ดูหนังในเทศกาลหนังทดลอง รู้สึกว่าอารมณ์มันแช่มชื่นเบิกบานแจ่มใสมาก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆแห่งอารมณ์เปี่ยมสุข และยากที่จะทำจิตใจให้สงบนิ่งและหลับลงได้
แต่พอวันอังคาร อยู่ดีๆพอดิฉันนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงท้ายของ AFTERNOON TIME ดิฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรงเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปว่าการดูหนังของคุณทศพล บุญสินสุขทำให้ดิฉันกลายเป็นบ้า เพราะมันทำให้ดิฉันมีอาการ “ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง, “ร่าเริงเบิกบานแจ่มใส”, “ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง” สลับกันไปมา เดี๋ยวยิ้มร่า, เดี๋ยวสะอื้นไห้ รู้สึกว่าตัวเองมีอาการไม่ต่างอะไรจากคนบ้าแม้แต่นิดเดียว
(I hope you can read Thai.)
--ได้ดู I AM A S-E-X ADDICT ในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดฉายในกรุงเทพในเดือนต.ค.ปี 2005 ค่ะ
น่าอิจฉามากเลยค่ะที่ได้เรียนหนังสือกับ CAVEH ZAHEDI คิดว่าเขาคงเป็นอาจารย์ที่ช่วยให้นักเรียนได้เปิดกว้างทางความคิดมากขึ้นแน่ๆ
รู้สึกว่าผู้กำกับเก่งๆหลายคนได้หันมาทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในช่วงต่อมา แล้วก็ไม่ได้ทำหนังอะไรออกมาอีกเลย แต่ CAVEH ZAHEDI ยังโชคดีที่ได้ทำหนังออกมาเรื่อยๆ
ได้ดู STALKER, THE IDIOTS, BREAKING THE WAVES และ L’ARGENT แล้ว รู้สึกชอบ L’ARGENT มากที่สุด (ดู L’ARGENT แล้วทำให้ไม่กล้าทำบาปแม้บาปนั้นจะเป็นเพียงอะไรเล็กๆน้อยๆ) ส่วน A WOMAN UNDER THE INFLUENCE กับ MY LIFE TO LIVE ยังไม่ได้ดู
รู้สึกว่า CAVEH ZAHEDI เป็นคนที่สร้างปฏิกิริยาแปลกๆบางอย่างต่อตัวดิฉัน เหมือนกับเขาถือกระจกให้ดิฉันได้เห็นอะไรบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในตัวเอง เพราะแค่ได้ดูหนังของเขาเรื่องแรก ดิฉันก็ได้ข้อคิดที่สำคัญบางอย่างที่สามารถนำมาใช้ปรับปรุงชีวิตของตัวเอง ทั้งๆที่หนังของเขาไม่ใช่หนังที่ตั้งหน้าตั้งตาจะสั่งสอนผู้ชมอย่างชัดเจน และพอได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในลิงค์บทความข้างต้น ที่เขาพูดถึงเรื่อง EGO ของมนุษย์ ก็รู้สึกว่าคำให้สัมภาษณ์ของเขาทำให้ดิฉันต้องหันมาทบทวนเรื่อง ego ของตัวเองเหมือนกัน
--Blog ของคุณ bungalowzen เต็มไปด้วยภาพถ่ายที่สวยงามน่าสนใจมากๆเลยค่ะ ตอนเห็นชื่อ bungalow ก็ยังสงสัยอยู่ในใจว่าจะใช่ผู้กำกับหนังเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY หรือเปล่า ปรากฏว่าใช่จริงๆด้วย
ได้ดู BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY ในงานประกวดหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทยเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ได้ดูเพียงรอบเดียว เป็นหนังที่ชอบมากพอสมควร ตอนนี้จำรายละเอียดอะไรในหนังไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าชอบดนตรีประกอบอันรื่นหู, การถ่ายภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกโล่งว่าง และรู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ดู ชอบหนังที่ไม่มีเนื้อเรื่องแบบนี้นี่แหละ (หรือมันมีเนื้อเรื่อง แต่ดิฉันเองนี่แหละที่ “ไม่รู้เรื่อง” ไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันแฮะ) บางอารมณ์ในหนังทำให้นึกถึง ALABAMA: 2000 LIGHT YEARS FROM HOME (1969, WIM WENDERS, A+++++) เพราะหนังสองเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง ROAD MOVIE ขนานแท้ เพราะมีแต่ “ถนน” แต่แทบไม่มี “คน” อยู่ในเรื่องเลย (ฮา)
หวังว่าคุณ TAIKI จะทำหนังออกมาอีกเรื่อยๆนะคะ ดูจากภาพที่ถ่ายไว้ใน blog ของคุณ รู้สึกว่าถ้าหากคุณทำหนังอีก หนังของคุณจะต้องน่าสนใจมากๆ ดูจาก blog ของคุณแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณกำลังทำงานในกองถ่ายหนังหรือทำงานศิลปะด้านอื่นๆอยู่หรือเปล่า
รู้สึกว่าถ้าหากเอาภาพถ่ายของคุณมาจัดเรียงใหม่ แล้วแต่งเนื้อเรื่องเข้าไป บางทีอาจจะได้หนัง 1 เรื่องแล้วก็ได้ (แบบ LA JETEE ของ CHRIS MARKER ที่มีแต่ภาพนิ่งเกือบทั้งเรื่องไง)
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจใน blog ของคุณก็คือการได้เห็นชื่อของ JEAN-LUC GODARD อยู่ในหมวด FAVORITE MUSIC เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า GODARD ทำงานด้านนี้ด้วย (แต่แกก็ใช้ดนตรีประกอบในหนังของแกได้อย่างเฮี้ยนมากๆเลยนะ โดยเฉพาะใน Week-End)
--การที่ CAVEH ZAHEDI ทำหนังที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ และดัดแปลงมาจากประวัติชีวิตของตัวเอง ทำให้นึกถึงหนังของผู้กำกับอีกหลายๆคนที่ดิฉันอยากดู แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ดู รู้สึกว่าจะมีผู้กำกับกลุ่มนึงที่ชอบบันทึกชีวิตของตัวเองลงในหนังโดยตรงในรูปแบบ “ไดอารี่” หนังกลุ่มนี้จะมีความเป็นสารคดีค่อนข้างสูง ในขณะที่ผู้กำกับอีกกลุ่มนึงจะหยิบยกเอาชีวิตในอดีตของตัวเองมาสร้างเป็นหนัง โดยอาจให้ดาราบางคนมารับบทเป็นตัวเองในอดีต หนังกลุ่มนี้จะค่อนไปในทางเป็น autobiography รู้สึกว่าหนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT ของ CAVEH ZAHEDI น่าจะจัดอยู่ในข่าย AUTOBIOGRAPHY ได้ด้วยเหมือนกัน
การที่ CAVEH ZAHEDI หยิบยกชีวิตของตัวเองมาสร้างเป็นหนัง ทำให้นึกถึงสิ่งที่ FRANCOIS TRUFFAUT เคยเขียนไว้ในปี 1957 ที่ว่า
http://www.sensesofcinema.com/contents/01/12/garrel.html
"The film of tomorrow appears to me as even more personal than an individual and autobiographical novel, like a confession or a diary. The young filmmakers will express themselves in the first person and will relate what has happened to them: it may be the story of their first love or their most recent; of their political awakening; the story of a trip, a sickness, their military service, their marriage, their last vacation.and it will be enjoyable because it will be true.the film of tomorrow will be an act of love."
MAXIMILIAN LE CAIN นักวิจารณ์วัย 22 ปี เขียนไว้ในเว็บไซท์ SENSES OF CINEMA ว่า ผู้กำกับกลุ่มที่ชอบสร้างหนังที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของตัวเอง รวมถึงผู้กำกับ 3 คนในกลุ่ม POST NEW WAVE ของฝรั่งเศส ซึ่งได้แก่
1.MAURICE PIALAT
2.JEAN EUSTACHE (THE MOTHER AND THE WHORE, MY LITTLE LOVE, NUMERO ZERO)
3.PHILIPPE GARREL (THE BIRTH OF LOVE, REGULAR LOVERS, I DON’T HEAR THE GUITAR ANYMORE)
http://www.imdb.com/name/nm0308042/
ส่วนผู้กำกับที่ทำหนังแนวสารคดี-ไดอารี่ รวมถึง
1.JONATHAN CAOUETTE (TARNATION)
2.JONAS MEKAS (AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY)
3.ROBERT FRANK (HOME IMPROVEMENTS, ME AND MY BROTHER, C’EST VRAI)
http://www.imdb.com/name/nm0291071/
http://www.villagevoice.com/film/0530,halter2,66234,20.html
4.MICHEL AUDER
http://www.imdb.com/name/nm0041536/
http://www.michelauder.com/
5.ALAIN CAVALIER (LE FILMEUR, LIVES, THIS ANSWERING SERVICE TAKES NO MESSAGES)
http://www.imdb.com/name/nm0146760/
--รู้สึกว่าหนังเรื่อง ENDLESS STORY (2005, THUNSKA PANSITTIVORAKUL, A+) ก็มีอะไรบางอย่างใกล้เคียงกับหนังแนว AUTOBIOGRAPHY, DIARY เหมือนกันนะ
ตอบน้อง merveillesxx
ใช่แล้วจ้า GABRIELLE กำกับโดย PATRICE CHEREAU น้อง merveillesxx ช่างสังเกตมากๆเลยจ้ะ โฮะๆๆๆ นี่ขนาดลอกมาจากเว็บไซท์ของ FILM COMMENT โดยตรงนะเนี่ย
ขอบคุณคุณ ar เป็นอย่างยิ่งค่ะสำหรับข้อมูลหนังจีน
ตอบน้อง merveillesxx
แล้วเดี๋ยวจะมาตอบอีกทีแบบยาวๆนะคะ ช่วงนี้ยังไม่หายดีจากหวัด ก็เลยทำให้แทบไม่ได้เข้าโรงหนังและแทบไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เลย
ยินดีกับน้อง merveillesxx ด้วยนะคะที่ได้ตำแหน่ง “ปรียานุช ปานประดับ” (รองอันดับ 1) แห่งวงการ BLOG ภาพยนตร์ นับจากนี้เป็นต้นไป เวลาน้อง merveillesxx ไปไหนมาไหน น้องต้องทำเหมือนกับว่าตัวเองมี “มงกุฎ” สวมอยู่บนศีรษะนะคะ โฮะๆๆๆๆ
วันอาทิตย์ที่น้อง merveillesxx ไม่ได้ไปดูหนังที่ธรรมศาสตร์น่ะ ดิฉันกับเพื่อนๆนินทาน้อง merveillesxx กันใหญ่เลยค่ะ นินทากันสนุกมาก เวลานินทา บางทีคนแถวๆนั้นก็หันมามอง ยังนึกอยู่ในใจเลยว่าคนแถวนั้นบางคนเป็นเพื่อนของน้อง merveillesxx หรือเปล่า และอาจจะพยายามเงี่ยหูฟังว่าพวกเรากำลังนินทาน้องว่ายังไงบ้าง
แต่จริงๆแล้วการนินทาที่ว่าเป็นการ “พูดถึงในทางบวก” ทั้งหมดค่ะ
การดูหนังของคุณทศพล บุญสินสุขในวันนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันมีความสุขมากในขณะที่ดู (แต่ก็ร้องไห้อีกครั้งตอนดู AFTERNOON TIME) แต่รู้สึกทรมานมากขณะที่ดูจบแล้ว เพราะดูแล้วทำให้นอนไม่หลับ เหมือนประสาทมันตื่นตัวอย่างรุนแรงเหมือนตอนที่ได้ดูหนังในเทศกาลหนังทดลอง รู้สึกว่าอารมณ์มันแช่มชื่นเบิกบานแจ่มใสมาก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆแห่งอารมณ์เปี่ยมสุข และยากที่จะทำจิตใจให้สงบนิ่งและหลับลงได้
แต่พอวันอังคาร อยู่ดีๆพอดิฉันนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงท้ายของ AFTERNOON TIME ดิฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรงเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปว่าการดูหนังของคุณทศพล บุญสินสุขทำให้ดิฉันกลายเป็นบ้า เพราะมันทำให้ดิฉันมีอาการ “ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง, “ร่าเริงเบิกบานแจ่มใส”, “ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง” สลับกันไปมา เดี๋ยวยิ้มร่า, เดี๋ยวสะอื้นไห้ รู้สึกว่าตัวเองมีอาการไม่ต่างอะไรจากคนบ้าแม้แต่นิดเดียว
Monday, January 16, 2006
ELIZABETH BISHOP
ตอบพี่ KIT
--ชอบเพลง UP WHERE WE BELONG มากค่ะ ฟังทีไรจะต้องนึกถึงวัยเด็ก ถึงแม้จะรู้สึกค่อนข้างเฉยๆกับหนัง AN OFFICER AND A GENTLEMAN (B)
--ชอบหนังเรื่อง SERENITY (A+) มากๆเช่นกัน
ตอบภรรยา GAEL GARCIA BERNAL
โฮะๆๆ มิน่าล่ะ ถึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับ TWILIGHTS และ ART IS DEAD ไม่เจอ
เพิ่งดู IN HER SHOES (2005, CURTIS HANSON, A+) ที่สกาล่ามา ในภาพยนตร์มีตัวละครอ่านบทกวี 2 บท แต่ถ้าคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็อย่าเพิ่งอ่านความเห็นนี้ก็ได้ค่ะ ไปดูหนังก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านบทกวีซ้ำอีกครั้งอาจจะดีกว่า
1. ONE ART
แต่งโดย ELIZABETH BISHOP The art of losing isn't hard to master;so many things seem filled with the intentto be lost that their loss is no disaster. Lose something every day. Accept the flusterof lost door keys, the hour badly spent.The art of losing isn't hard to master. Then practice losing farther, losing faster:places, and names, and where it was you meantto travel. None of these will bring disaster. I lost my mother's watch. And look! my last, ornext-to-last, of three loved houses went.The art of losing isn't hard to master. I lost two cities, lovely ones. And, vaster,some realms I owned, two rivers, a continent.I miss them, but it wasn't a disaster. ---Even losing you (the joking voice, a gestureI love) I shan't have lied. It's evidentthe art of losing's not too hard to masterthough it may look like (Write it!) like disaster.
(อ่านแล้วร้องไห้)
อ่านประวัติของ ELIZABETH BISHOP ได้ที่
http://occawlonline.pearsoned.com/bookbind/pubbooks/kennedy2_awl/chapter4/objectives/deluxe-content.html
2. “i carry your heart wit me”
ประพันธ์โดย e.e. cummings
i carry your heart with me(i carry it inmy heart)i am never without it(anywherei go you go,my dear; and whatever is doneby only me is your doing,my darling) i fearno fate(for you are my fate,my sweet)i wantno world(for beautiful you are my world,my true)and it's you are whatever a moon has always meantand whatever a sun will always sing is you here is the deepest secret nobody knows(here is the root of the root and the bud of the budand the sky of the sky of a tree called life;which growshigher than the soul can hope or mind can hide)and this is the wonder that's keeping the stars apart
i carry your heart(i carry it in my heart)
อ่านประวัติของ e.e. cummings ได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/E.e._cummings
ถ้าเข้าใจไม่ผิด จุดเด่นของ e.e. cummings รวมถึง
1.ลักษณะการเขียนแบบแปลกๆ อย่างเช่นการใช้ “i” แทนที่จะเป็น “I” ในกลอนบทนี้
2. การจัดวางแถวกลอนบนหน้ากระดาษให้ออกมาเป็น “ภาพ”
3. การจงใจใช้เครื่องหมาย punctuation ให้ออกมาผิดที่ผิดทาง
4.การเล่นกลกับหลักไวยากรณ์ อย่างเช่นการใช้ ADVERB แทนที่ NOUN
ไม่แน่ใจว่า IN HER SHOES จงใจสื่อถึงลักษณะนิสัยบางอย่างของตัวละครในหนังผ่านทางลักษณะการเขียนของ e.e. cummings ด้วยหรือเปล่า
e.e. cummings เคยได้รับอิทธิพลจากนักประพันธ์หลายคน ซึ่งรวมถึงจาก GERTRUDE STEIN กวีเลสเบียนชื่อดังที่ต่อมาได้กลายเป็นตัวละครในหนังบางเรื่อง อย่างเช่นใน
1.THE MODERNS (1988, ALAN RUDOLPH, A+)
บทของเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย ELSA RAVEN
2.MODIGLIANI (2004, MICK DAVIS, B-/C+)
บทเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย MIRIAM MARGOLYES (BEING JULIA, LADIES IN LAVENDER, THE LIFE AND DEATH OF PETER SELLERS)
3.WAITING FOR THE MOON (1987, JILL GODMILOW)
บทเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย LINDA BASSETT โดยมี LINDA HUNT แสดงเป็นหญิงคนรักของเกอร์ทรูด สไตน์
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GERTRUDE STEIN ได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Gertrude_Stein
--นิตยสาร FILM COMMENT ประกาศผลอันดับหนังประจำปี 2005 ออกมาแล้ว ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.filmlinc.com/fcm/JF06/2005poll.htm
มี TROPICAL MALADY ติดอันดับ 8 ในสาขา BEST FILMS OF 2005 สำหรับหนังที่ได้รับการจัดจำหน่ายในสหรัฐ และมี I AM A S-E-X ADDICT ติดอันดับ 22 ในสาขา BEST UNRELEASED FILMS OF 2005 สำหรับหนังที่ยังไม่ได้รับการจัดจำหน่ายในสหรัฐ
I AM A S-E-X ADDICT กำกับโดย CAVEH ZAHEDI และเคยมาเปิดฉายในกรุงเทพในเดือนต.ค.ปี 2005 จ้ะ
--ชอบเพลง UP WHERE WE BELONG มากค่ะ ฟังทีไรจะต้องนึกถึงวัยเด็ก ถึงแม้จะรู้สึกค่อนข้างเฉยๆกับหนัง AN OFFICER AND A GENTLEMAN (B)
--ชอบหนังเรื่อง SERENITY (A+) มากๆเช่นกัน
ตอบภรรยา GAEL GARCIA BERNAL
โฮะๆๆ มิน่าล่ะ ถึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับ TWILIGHTS และ ART IS DEAD ไม่เจอ
เพิ่งดู IN HER SHOES (2005, CURTIS HANSON, A+) ที่สกาล่ามา ในภาพยนตร์มีตัวละครอ่านบทกวี 2 บท แต่ถ้าคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็อย่าเพิ่งอ่านความเห็นนี้ก็ได้ค่ะ ไปดูหนังก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านบทกวีซ้ำอีกครั้งอาจจะดีกว่า
1. ONE ART
แต่งโดย ELIZABETH BISHOP The art of losing isn't hard to master;so many things seem filled with the intentto be lost that their loss is no disaster. Lose something every day. Accept the flusterof lost door keys, the hour badly spent.The art of losing isn't hard to master. Then practice losing farther, losing faster:places, and names, and where it was you meantto travel. None of these will bring disaster. I lost my mother's watch. And look! my last, ornext-to-last, of three loved houses went.The art of losing isn't hard to master. I lost two cities, lovely ones. And, vaster,some realms I owned, two rivers, a continent.I miss them, but it wasn't a disaster. ---Even losing you (the joking voice, a gestureI love) I shan't have lied. It's evidentthe art of losing's not too hard to masterthough it may look like (Write it!) like disaster.
(อ่านแล้วร้องไห้)
อ่านประวัติของ ELIZABETH BISHOP ได้ที่
http://occawlonline.pearsoned.com/bookbind/pubbooks/kennedy2_awl/chapter4/objectives/deluxe-content.html
2. “i carry your heart wit me”
ประพันธ์โดย e.e. cummings
i carry your heart with me(i carry it inmy heart)i am never without it(anywherei go you go,my dear; and whatever is doneby only me is your doing,my darling) i fearno fate(for you are my fate,my sweet)i wantno world(for beautiful you are my world,my true)and it's you are whatever a moon has always meantand whatever a sun will always sing is you here is the deepest secret nobody knows(here is the root of the root and the bud of the budand the sky of the sky of a tree called life;which growshigher than the soul can hope or mind can hide)and this is the wonder that's keeping the stars apart
i carry your heart(i carry it in my heart)
อ่านประวัติของ e.e. cummings ได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/E.e._cummings
ถ้าเข้าใจไม่ผิด จุดเด่นของ e.e. cummings รวมถึง
1.ลักษณะการเขียนแบบแปลกๆ อย่างเช่นการใช้ “i” แทนที่จะเป็น “I” ในกลอนบทนี้
2. การจัดวางแถวกลอนบนหน้ากระดาษให้ออกมาเป็น “ภาพ”
3. การจงใจใช้เครื่องหมาย punctuation ให้ออกมาผิดที่ผิดทาง
4.การเล่นกลกับหลักไวยากรณ์ อย่างเช่นการใช้ ADVERB แทนที่ NOUN
ไม่แน่ใจว่า IN HER SHOES จงใจสื่อถึงลักษณะนิสัยบางอย่างของตัวละครในหนังผ่านทางลักษณะการเขียนของ e.e. cummings ด้วยหรือเปล่า
e.e. cummings เคยได้รับอิทธิพลจากนักประพันธ์หลายคน ซึ่งรวมถึงจาก GERTRUDE STEIN กวีเลสเบียนชื่อดังที่ต่อมาได้กลายเป็นตัวละครในหนังบางเรื่อง อย่างเช่นใน
1.THE MODERNS (1988, ALAN RUDOLPH, A+)
บทของเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย ELSA RAVEN
2.MODIGLIANI (2004, MICK DAVIS, B-/C+)
บทเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย MIRIAM MARGOLYES (BEING JULIA, LADIES IN LAVENDER, THE LIFE AND DEATH OF PETER SELLERS)
3.WAITING FOR THE MOON (1987, JILL GODMILOW)
บทเกอร์ทรูด สไตน์ในเรื่องนี้แสดงโดย LINDA BASSETT โดยมี LINDA HUNT แสดงเป็นหญิงคนรักของเกอร์ทรูด สไตน์
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GERTRUDE STEIN ได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Gertrude_Stein
--นิตยสาร FILM COMMENT ประกาศผลอันดับหนังประจำปี 2005 ออกมาแล้ว ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.filmlinc.com/fcm/JF06/2005poll.htm
มี TROPICAL MALADY ติดอันดับ 8 ในสาขา BEST FILMS OF 2005 สำหรับหนังที่ได้รับการจัดจำหน่ายในสหรัฐ และมี I AM A S-E-X ADDICT ติดอันดับ 22 ในสาขา BEST UNRELEASED FILMS OF 2005 สำหรับหนังที่ยังไม่ได้รับการจัดจำหน่ายในสหรัฐ
I AM A S-E-X ADDICT กำกับโดย CAVEH ZAHEDI และเคยมาเปิดฉายในกรุงเทพในเดือนต.ค.ปี 2005 จ้ะ
Saturday, January 14, 2006
LE COMPLEX DE THENARDIER (A+/A)
ฮือ ฮือ ฮือ รู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะวันนี้เพิ่งทราบว่ามีคนติดโรคจากดิฉันไปแล้วอย่างน้อย 1 คนจากการที่มามีทติ้งกับดิฉันเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาล้มป่วยจนต้องลางานไป 2 วัน ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองได้ทำบาปอย่างให้อภัยไม่ได้ที่ได้แพร่โรคใส่ผู้อื่นเช่นนั้น แต่ถ้าเขาได้มาอ่านข้อความนี้ ก็ขออวยพรให้เขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แจ่มใสโดยเร็ววันนะคะ
ตอบคุณ porky
รู้สึกว่า HITCH จะทำให้วิล สมิธ ได้เข้าชิงรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมด้วยล่ะค่ะ แต่เป็นการเข้าชิงรางวัลอิมเมจ อวอร์ด ที่จัดโดยองค์การ NAACP ที่โปรโมทชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ดูรายชื่อผู้เข้าชิงประจำปีนี้ได้ที่
http://www.imdb.com/Sections/Awards/Image_Awards/2006
ดิฉันรู้สึกงงๆกับรางวัลอิมเมจ อวอร์ดอยู่เล็กน้อย เพราะเข้าใจว่ารางวัลนี้จัดขึ้นเพื่อยกย่องสื่อมวลชนที่นำเสนอชนกลุ่มน้อยในทางบวก แต่ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสังคมอเมริกามากนัก ก็เลยงงๆกับผู้เข้าชิงบางรายว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกาด้วยหรือ อย่างเช่น
1.ANTONIO SABATO JR. เข้าชิงรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง THE BOLD AND THE BEAUTIFUL
http://www.violan.de/galerie/themen/2017_antonio_sabato/2017_p_antonio_sabato_107.jpg
ไม่รู้เหมือนกันว่า ANTONIO SABATO JR. รับบทบาทอะไรในละครเรื่องนี้ ไม่แน่ใจว่าเขารับบทเป็นคนอิตาเลียนหรือเปล่า รู้สึกว่าคนเชื้อสายอิตาลีอาจจะถือเป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกาได้เหมือนกัน แต่เวลาพูดถึงชนกลุ่มน้อย ดิฉันมักจะไม่ได้นึกถึง “ชาวอิตาเลียน-อเมริกัน” เป็นลำดับแรกๆ
2.TIM STORY ได้เข้าชิงรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก FANTASTIC FOUR ซึ่งดิฉันก็งงๆว่าเกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อยในสังคมตรงไหน หรือว่าเป็นเพราะนำเสนอตัวละครหญิงผิวดำตาบอด (KERRY WASHINGTON) คนนึงในทางบวก
CHRIS EVANS ดารานำของ FANTASTIC FOUR
http://www.bryanockert.com/fotoj/2005/jul05/chris_evans.jpg
ส่วนชื่อผู้เข้าชิงรางวัลอิมเมจ อวอร์ดที่ทำให้รู้สึกดีใจที่สุดก็คือ ZOE SALDANA จาก GUESS WHO (A+) ค่ะ คิดว่าเธอคงไม่ชนะรางวัลนี้อย่างแน่นอน แต่ก็รู้สึกดีใจมากๆที่อย่างน้อยก็มีคนกลุ่มนึงเห็นคุณค่าของเธอในหนังเรื่องนี้
ตอบคุณอ้วน
--โฮะๆๆ ตอนแรกก็นึกว่าอาจจะเป็นคุณอ้วนเขียนค่ะ
--ดีใจมากๆที่ A GIRL กับ THIRST ก็ติดอันดับของคุณอ้วนด้วย
--หนังโฮโมอีโรติกที่คุณอ้วนชอบมาก แต่ดิฉันยังไม่ได้ดูก็คือเรื่อง SAND AND BLOOD (1987, JEANNE LABRUNE) กับ THE BEST WAY TO WALK
http://www.imdb.com/title/tt0092839/
http://images.amazon.com/images/P/B0006H30GI.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
--รู้สึกว่ารางวัลรุ้งอ้วนอวอร์ดอาจจะเป็นผลรางวัลที่ตรงใจดิฉันมากที่สุดในโลก น่าเชื่อถือยิ่งกว่าผลรางวัลของสมาคมนักวิจารณ์ใดๆหรือรางวัลเทศกาลขึ้นคานเสียอีก
ชอบ JACQUES DUTRONC ใน VAN GOGH มากๆเหมือนกัน
ภาพอมนุษย์ใน LA VIE NOUVELLE ดูเฮี้ยนสุดๆเลยค่ะ
ส่วนรางวัลที่เริ่ดสุดๆ ก็คือรางวัลแพนด้าเริงระบำ ถ้าให้เลือกได้ 1 คนในนั้น ดิฉันก็จะเลือก SAM WORTHINGTON ค่ะ
พูดถึงหมีแพนด้า ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนึงเมื่อเร็วๆนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่อง KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR หรือหนังเรื่องอื่น แต่มีตัวละครคนนึงในหนังพูดในทำนองที่ว่า “ความใฝ่ฝันสูงสุดของหมีแพนด้า ก็คือการได้ดู “ภาพถ่ายสี” ของตัวเอง”
ตอบภรรยาเจมี คัลลัม
หนังที่น้องได้ดู แต่ดิฉันไม่รู้จักว่ามันคือเรื่องอะไร ก็คือเรื่อง TWILIGHTS คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเดียวกับ TWILIGHT (1998, ROBERT BENTON) นะ ตกลงว่ามันคือเรื่องอะไรกันหรือ
หนังเรื่อง DEAD IS ART ก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเหมือนกัน อยากรู้จังเลยว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร
--สัปดาห์นี้ป่วย ก็เลยไม่ได้เข้าโรงหนังเลย เพิ่งเข้าโรงหนังวันนี้วันแรก เพื่อดูเรื่อง LE COMPLEX DE THENARDIER (2002, JEAN-MICHEL RIBES, A+/A)
หนังเรื่องนี้เป็นบันทึกการแสดงละครเวทีเหมือน UN FIL A LA PATTE ที่ได้ดูในสัปดาห์ที่แล้ว แต่คราวนี้ดิฉันชอบมาก เพราะมันไม่ได้เป็นละครเวทีแนวตลก แต่เป็นละครดราม่าที่ให้นักแสดงหญิง 2 คนมาปะทะกันอย่างรุนแรงตลอดทั้งเรื่อง องค์ประกอบบางอย่างในละครเวทีเรื่องนี้ทำให้นึกถึงไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ เพราะละครเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้หญิงเฮี้ยนๆ, การ ABUSE ผู้อื่น, การเต็มใจถูก ABUSE และปมปัญหาทางจิตของตัวละคร แต่ละครเวทีเรื่องนี้มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่กราดเกรี้ยวมาก ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่มักไม่ค่อยพบในหนังของฟาสบินเดอร์ แต่อาจจะทำให้นึกถึงหนังบางเรื่องของ PATRICE CHEREAU มากกว่า
MARILU MARINI แสดงได้อย่างสุดยอดมากในบทของหญิงชราผู้ชั่วร้าย เธอเหมือนกับเป็นส่วนผสมระหว่างเบ็ตตี้ เดวิส กับเกลนน์ โคลส ส่วน LAURE CALAMY รับบทเป็นหญิงสาวรับใช้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้านาย ตอนแรกดิฉันไม่รู้สึกประทับใจกับตัวละครตัวนี้เท่าไหร่ เพราะดูเธอโง่ๆอย่างไร้เหตุผล แต่ในช่วงกลางเรื่อง เมื่อมีฉากที่ตัวละครทั้งสองตัวใช้ “สายตา” เชือดเฉือนกันอย่างรุนแรง ดิฉันก็แทบก้มลงกราบ LAURE CALAMY ในทันที เพราะสายตาของเธอในฉากนั้นมันรุนแรงมากๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่า LE COMPLEX DE THENARDIER เคยเปิดการแสดงกี่รอบในฝรั่งเศส แต่ถ้าหากดิฉันเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเรื่องนี้ ดิฉันคงขอแสดงแค่รอบเดียวพอ เพราะแค่เห็นการแสดงของดาราหญิงสองคนในเรื่องนี้แล้ว ดิฉันก็รู้สึกว่าเส้นเลือดในสมองแทบจะแตกออกมาในเวลานั้นเลย มันเป็นการแสดงที่ระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรง เลือดในกายเดือดพล่านมากๆ ถ้าหากดิฉันต้องแสดงละครเรื่องนี้เกิน 3 รอบขึ้นไป ดิฉันคงต้องเช็คอินเข้าโรงพยาบาลประสาทหลังจากแสดงเสร็จ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LE COMPLEX DE THENARDIER ได้ที่
http://entractes.sacd.fr/en/oeuvre_edite2.php?idoeuvre=265&l=ma
บทพูดใน LE COMPLEX DE THENARDIER ที่ชอบมากๆ
People say such nonsense. Times don't change. There is no before and no now. There is no here or elsewhere. There is no gratitude, no consideration or respect. Only one thing remains: self-interest. Anything can be bought, sold and paid for. Anything. There is no humanity. No humanity.
--หนังที่น่าดูอย่างมากๆในสหรัฐเวลานี้ก็คือหนังสารคดีเรื่อง THAT MAN: PETER BERLIN (2006, JIM TUSHINSKI) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ PETER BERLIN นายแบบชื่อดังในทศวรรษ 1970
http://www.thatmanpeterberlin.com/photos.html#pbphotos
PETER BERLIN
http://www.breckfilmfest.com/images/films/film1105.jpg
http://www.hglcf.org/images/2005%20film%20images/THAT%20MAN%20PETER%20BERLIN.jpg
http://www.queer-arts.org/berlin/images/Peter_Berlin_32.jpg
http://www.queer-arts.org/berlin/images/Peter_Berlin_19.jpg
--ควันหลงจาก MARCH OF THE PENGUINS
ได้ดู MARCH OF THE PENGUINS ที่แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อนกแม่นกที่มีต่อลูกนกแล้ว ก็เลยทำให้นึกถึงกลอนชิ้นนึงที่เคยอ่านตอนเด็กๆที่เกี่ยวกับแม่นกเขา เป็นกลอนที่ชอบสุดๆ แต่ดิฉันไม่รู้ว่าผู้แต่งกลอนนี้คือใคร หนังสือที่มีกลอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ ถ้าหากใครรู้ว่าผู้แต่งกลอนนี้คือใครก็ช่วยบอกมาด้วยนะคะ
แม่เอย แม่นกเขา
ตะวันเช้าเจ้าจะผินสู่ถิ่นไหน
เสนาะเสียงขันคูกู่ก้องไกล
โบยบินไปหาเหยื่อเพื่อลูกยา
รักเอย รักลูกน้อย
เจ้าคงหิวตาลอยละห้อยหา
อีกประเดี๋ยวเดียวนะจ๊ะแก้วตา
แม่จะมาปลอบขวัญเจ้าคนดี
แสนเอย แสนสงสาร
เพราะพรานพาลผลาญพร่าน่าบัดสี
แม่นกน้อยพลอยดิ้นสิ้นชีวี
ดวงฤดีรอแม่ไม่เห็นมา
สะอื้นเอย สะอื้นไห้
กลอยใจเรียกแม่ชะแง้หา
ตะวันคล้อยลอยลับยังกลับมา
โอ้แม่จ๋าไปลับไม่กลับคืน
http://www.alphabet-soup.net/dir6/birds.jpg
ตอบคุณ porky
รู้สึกว่า HITCH จะทำให้วิล สมิธ ได้เข้าชิงรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมด้วยล่ะค่ะ แต่เป็นการเข้าชิงรางวัลอิมเมจ อวอร์ด ที่จัดโดยองค์การ NAACP ที่โปรโมทชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ดูรายชื่อผู้เข้าชิงประจำปีนี้ได้ที่
http://www.imdb.com/Sections/Awards/Image_Awards/2006
ดิฉันรู้สึกงงๆกับรางวัลอิมเมจ อวอร์ดอยู่เล็กน้อย เพราะเข้าใจว่ารางวัลนี้จัดขึ้นเพื่อยกย่องสื่อมวลชนที่นำเสนอชนกลุ่มน้อยในทางบวก แต่ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสังคมอเมริกามากนัก ก็เลยงงๆกับผู้เข้าชิงบางรายว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกาด้วยหรือ อย่างเช่น
1.ANTONIO SABATO JR. เข้าชิงรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง THE BOLD AND THE BEAUTIFUL
http://www.violan.de/galerie/themen/2017_antonio_sabato/2017_p_antonio_sabato_107.jpg
ไม่รู้เหมือนกันว่า ANTONIO SABATO JR. รับบทบาทอะไรในละครเรื่องนี้ ไม่แน่ใจว่าเขารับบทเป็นคนอิตาเลียนหรือเปล่า รู้สึกว่าคนเชื้อสายอิตาลีอาจจะถือเป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกาได้เหมือนกัน แต่เวลาพูดถึงชนกลุ่มน้อย ดิฉันมักจะไม่ได้นึกถึง “ชาวอิตาเลียน-อเมริกัน” เป็นลำดับแรกๆ
2.TIM STORY ได้เข้าชิงรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก FANTASTIC FOUR ซึ่งดิฉันก็งงๆว่าเกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อยในสังคมตรงไหน หรือว่าเป็นเพราะนำเสนอตัวละครหญิงผิวดำตาบอด (KERRY WASHINGTON) คนนึงในทางบวก
CHRIS EVANS ดารานำของ FANTASTIC FOUR
http://www.bryanockert.com/fotoj/2005/jul05/chris_evans.jpg
ส่วนชื่อผู้เข้าชิงรางวัลอิมเมจ อวอร์ดที่ทำให้รู้สึกดีใจที่สุดก็คือ ZOE SALDANA จาก GUESS WHO (A+) ค่ะ คิดว่าเธอคงไม่ชนะรางวัลนี้อย่างแน่นอน แต่ก็รู้สึกดีใจมากๆที่อย่างน้อยก็มีคนกลุ่มนึงเห็นคุณค่าของเธอในหนังเรื่องนี้
ตอบคุณอ้วน
--โฮะๆๆ ตอนแรกก็นึกว่าอาจจะเป็นคุณอ้วนเขียนค่ะ
--ดีใจมากๆที่ A GIRL กับ THIRST ก็ติดอันดับของคุณอ้วนด้วย
--หนังโฮโมอีโรติกที่คุณอ้วนชอบมาก แต่ดิฉันยังไม่ได้ดูก็คือเรื่อง SAND AND BLOOD (1987, JEANNE LABRUNE) กับ THE BEST WAY TO WALK
http://www.imdb.com/title/tt0092839/
http://images.amazon.com/images/P/B0006H30GI.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
--รู้สึกว่ารางวัลรุ้งอ้วนอวอร์ดอาจจะเป็นผลรางวัลที่ตรงใจดิฉันมากที่สุดในโลก น่าเชื่อถือยิ่งกว่าผลรางวัลของสมาคมนักวิจารณ์ใดๆหรือรางวัลเทศกาลขึ้นคานเสียอีก
ชอบ JACQUES DUTRONC ใน VAN GOGH มากๆเหมือนกัน
ภาพอมนุษย์ใน LA VIE NOUVELLE ดูเฮี้ยนสุดๆเลยค่ะ
ส่วนรางวัลที่เริ่ดสุดๆ ก็คือรางวัลแพนด้าเริงระบำ ถ้าให้เลือกได้ 1 คนในนั้น ดิฉันก็จะเลือก SAM WORTHINGTON ค่ะ
พูดถึงหมีแพนด้า ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนึงเมื่อเร็วๆนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่อง KNOCKIN’ ON HEAVEN’S DOOR หรือหนังเรื่องอื่น แต่มีตัวละครคนนึงในหนังพูดในทำนองที่ว่า “ความใฝ่ฝันสูงสุดของหมีแพนด้า ก็คือการได้ดู “ภาพถ่ายสี” ของตัวเอง”
ตอบภรรยาเจมี คัลลัม
หนังที่น้องได้ดู แต่ดิฉันไม่รู้จักว่ามันคือเรื่องอะไร ก็คือเรื่อง TWILIGHTS คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเดียวกับ TWILIGHT (1998, ROBERT BENTON) นะ ตกลงว่ามันคือเรื่องอะไรกันหรือ
หนังเรื่อง DEAD IS ART ก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเหมือนกัน อยากรู้จังเลยว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร
--สัปดาห์นี้ป่วย ก็เลยไม่ได้เข้าโรงหนังเลย เพิ่งเข้าโรงหนังวันนี้วันแรก เพื่อดูเรื่อง LE COMPLEX DE THENARDIER (2002, JEAN-MICHEL RIBES, A+/A)
หนังเรื่องนี้เป็นบันทึกการแสดงละครเวทีเหมือน UN FIL A LA PATTE ที่ได้ดูในสัปดาห์ที่แล้ว แต่คราวนี้ดิฉันชอบมาก เพราะมันไม่ได้เป็นละครเวทีแนวตลก แต่เป็นละครดราม่าที่ให้นักแสดงหญิง 2 คนมาปะทะกันอย่างรุนแรงตลอดทั้งเรื่อง องค์ประกอบบางอย่างในละครเวทีเรื่องนี้ทำให้นึกถึงไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ เพราะละครเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้หญิงเฮี้ยนๆ, การ ABUSE ผู้อื่น, การเต็มใจถูก ABUSE และปมปัญหาทางจิตของตัวละคร แต่ละครเวทีเรื่องนี้มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่กราดเกรี้ยวมาก ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่มักไม่ค่อยพบในหนังของฟาสบินเดอร์ แต่อาจจะทำให้นึกถึงหนังบางเรื่องของ PATRICE CHEREAU มากกว่า
MARILU MARINI แสดงได้อย่างสุดยอดมากในบทของหญิงชราผู้ชั่วร้าย เธอเหมือนกับเป็นส่วนผสมระหว่างเบ็ตตี้ เดวิส กับเกลนน์ โคลส ส่วน LAURE CALAMY รับบทเป็นหญิงสาวรับใช้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้านาย ตอนแรกดิฉันไม่รู้สึกประทับใจกับตัวละครตัวนี้เท่าไหร่ เพราะดูเธอโง่ๆอย่างไร้เหตุผล แต่ในช่วงกลางเรื่อง เมื่อมีฉากที่ตัวละครทั้งสองตัวใช้ “สายตา” เชือดเฉือนกันอย่างรุนแรง ดิฉันก็แทบก้มลงกราบ LAURE CALAMY ในทันที เพราะสายตาของเธอในฉากนั้นมันรุนแรงมากๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่า LE COMPLEX DE THENARDIER เคยเปิดการแสดงกี่รอบในฝรั่งเศส แต่ถ้าหากดิฉันเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเรื่องนี้ ดิฉันคงขอแสดงแค่รอบเดียวพอ เพราะแค่เห็นการแสดงของดาราหญิงสองคนในเรื่องนี้แล้ว ดิฉันก็รู้สึกว่าเส้นเลือดในสมองแทบจะแตกออกมาในเวลานั้นเลย มันเป็นการแสดงที่ระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรง เลือดในกายเดือดพล่านมากๆ ถ้าหากดิฉันต้องแสดงละครเรื่องนี้เกิน 3 รอบขึ้นไป ดิฉันคงต้องเช็คอินเข้าโรงพยาบาลประสาทหลังจากแสดงเสร็จ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ LE COMPLEX DE THENARDIER ได้ที่
http://entractes.sacd.fr/en/oeuvre_edite2.php?idoeuvre=265&l=ma
บทพูดใน LE COMPLEX DE THENARDIER ที่ชอบมากๆ
People say such nonsense. Times don't change. There is no before and no now. There is no here or elsewhere. There is no gratitude, no consideration or respect. Only one thing remains: self-interest. Anything can be bought, sold and paid for. Anything. There is no humanity. No humanity.
--หนังที่น่าดูอย่างมากๆในสหรัฐเวลานี้ก็คือหนังสารคดีเรื่อง THAT MAN: PETER BERLIN (2006, JIM TUSHINSKI) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ PETER BERLIN นายแบบชื่อดังในทศวรรษ 1970
http://www.thatmanpeterberlin.com/photos.html#pbphotos
PETER BERLIN
http://www.breckfilmfest.com/images/films/film1105.jpg
http://www.hglcf.org/images/2005%20film%20images/THAT%20MAN%20PETER%20BERLIN.jpg
http://www.queer-arts.org/berlin/images/Peter_Berlin_32.jpg
http://www.queer-arts.org/berlin/images/Peter_Berlin_19.jpg
--ควันหลงจาก MARCH OF THE PENGUINS
ได้ดู MARCH OF THE PENGUINS ที่แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อนกแม่นกที่มีต่อลูกนกแล้ว ก็เลยทำให้นึกถึงกลอนชิ้นนึงที่เคยอ่านตอนเด็กๆที่เกี่ยวกับแม่นกเขา เป็นกลอนที่ชอบสุดๆ แต่ดิฉันไม่รู้ว่าผู้แต่งกลอนนี้คือใคร หนังสือที่มีกลอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว รู้สึกว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ ถ้าหากใครรู้ว่าผู้แต่งกลอนนี้คือใครก็ช่วยบอกมาด้วยนะคะ
แม่เอย แม่นกเขา
ตะวันเช้าเจ้าจะผินสู่ถิ่นไหน
เสนาะเสียงขันคูกู่ก้องไกล
โบยบินไปหาเหยื่อเพื่อลูกยา
รักเอย รักลูกน้อย
เจ้าคงหิวตาลอยละห้อยหา
อีกประเดี๋ยวเดียวนะจ๊ะแก้วตา
แม่จะมาปลอบขวัญเจ้าคนดี
แสนเอย แสนสงสาร
เพราะพรานพาลผลาญพร่าน่าบัดสี
แม่นกน้อยพลอยดิ้นสิ้นชีวี
ดวงฤดีรอแม่ไม่เห็นมา
สะอื้นเอย สะอื้นไห้
กลอยใจเรียกแม่ชะแง้หา
ตะวันคล้อยลอยลับยังกลับมา
โอ้แม่จ๋าไปลับไม่กลับคืน
http://www.alphabet-soup.net/dir6/birds.jpg
Friday, January 13, 2006
FRANKA POTENTE
ขอบคุณคุณเก้าอี้มีพนักมากค่ะที่จะให้ยืม WEST OF THE TRACKS แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ซื้อเครื่องเล่นดีวีดีเลยค่ะ กะว่าจะดูวิดีโอที่มีอยู่ให้หมดก่อนแล้วค่อยซื้อเครื่องเล่นดีวีดี (บางทีอาจจะเป็นอีก 10 ปีข้างหน้า) แหะๆๆ อายตัวเองจังเลย
ฉากนั้นใน HIDDEN ไม่ได้สังเกตเลยค่ะว่าจอร์จทำอะไรบ้าง ดีที่คุณเก้าอี้มีพนักสังเกตเห็นตรงจุดนี้ ไม่งั้นดิฉันก็คงลืมไปแล้ว
พอพูดถึงเรื่องปฏิกิริยาของตัวละครในหนังฮอลลีวู้ด ก็ทำให้นึกถึงฉากนึงใน THE BOURNE IDENTITY (2002, DOUG LIMAN) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด จะเป็นฉากที่พระเอกขับรถพานางเอกหนีผู้ร้ายอย่างลุ้นระทึกสุดขีดตามแบบฉบับ car chase scene ในหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป แต่หลังจากการขับรถหนีเสร็จสิ้นลง แทนที่นางเอก (FRANKA POTENTE) จะแสดงปฏิริยาประเภท “อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด อกอีแป้นจะแตก” แบบที่มักพบในหนังฮอลลีวู้ด เธอกลับทำอาการตกใจและงงๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งดิฉันรู้สึกว่ามันน่าประทับใจมาก เพราะในบางครั้งเวลาที่เราตกใจอย่างแรงๆ เราจะไม่แสดงอาการอะไรออกมามากมาย เราจะแข็งๆทื่อๆ และความตกใจอย่างรุนแรงนั้นจะอยู่ข้างในตัวเรา ไม่ได้ระเบิดออกมาทางวาจาหรือทางสีหน้าแบบที่มักพบในหนังฮอลลีวู้ด หรือไม่เช่นนั้น นางเอกก็อาจจะ “ตั้งสติ” ได้แล้วก็ได้ก่อนที่การขับรถจะเสร็จสิ้นลง
ตอนหลังได้อ่านบทสัมภาษณ์ FRANKA POTENTE ถ้าจำไม่ผิด เธอบอกว่าเธอถกเถียงกับผู้กำกับเรื่องการแสดงออกของตัวละครที่เธอเล่น ดิฉันก็เลยเชื่อว่าฉากนั้นอาจจะเป็นฉากนึงที่เกิดจากไอเดียของ FRANKA POTENTE มากกว่าจะเกิดจากไอเดียของผู้กำกับ เพราะนักแสดงที่ดีน่าจะเข้าใจดีว่าตัวละครของตัวเองจะแสดงออกอย่างไรเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนั้น
เพื่อนดิฉันคนนึงไม่ค่อยชอบฉากนึงใน SIGNS (2002, M. NIGHT SHYAMALAN) เป็นอย่างมาก นั่นก็คือฉากที่ JOAQUIN PHOENIX เห็นอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวในจอทีวีหรือเปล่า) แล้วแสดงอาการตกใจสะดุ้งเฮือกอย่างรุนแรง รู้สึกเพื่อนจะบอกว่ามันเป็นการแสดงออกที่โอเวอร์มากว่าทำไมต้องสะดุ้งเฮือกขนาดนั้น ส่วนดิฉันไม่ได้รุ้สึกเกลียดชังฉากนี้แต่อย่างใดเพราะว่า JOAQUIN PHOENIX น่ารัก
แต่ถ้าเป็นในขนบของหนังสยองขวัญที่ไม่ได้มีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความเป็นจริงของมนุษย์ การมีตัวละครประเภททื่ยืนทื่อๆ นิ่งๆ ขณะเจอเหตุการณ์น่าตกใจ แทนที่จะใส่ตีนหมาโกยแน่บ หรือหยิบอาวุธขึ้นมาป้องกันตัว ก็อาจจะกลายเป็นการสร้างความน่ารำคาญให้กับผู้ชมได้เช่นกัน และผู้ชมก็อาจจะคิดว่า “อีนี่สมควรตายแล้วล่ะ” ฮ่าๆๆๆ
ฉากนั้นใน HIDDEN ไม่ได้สังเกตเลยค่ะว่าจอร์จทำอะไรบ้าง ดีที่คุณเก้าอี้มีพนักสังเกตเห็นตรงจุดนี้ ไม่งั้นดิฉันก็คงลืมไปแล้ว
พอพูดถึงเรื่องปฏิกิริยาของตัวละครในหนังฮอลลีวู้ด ก็ทำให้นึกถึงฉากนึงใน THE BOURNE IDENTITY (2002, DOUG LIMAN) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด จะเป็นฉากที่พระเอกขับรถพานางเอกหนีผู้ร้ายอย่างลุ้นระทึกสุดขีดตามแบบฉบับ car chase scene ในหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป แต่หลังจากการขับรถหนีเสร็จสิ้นลง แทนที่นางเอก (FRANKA POTENTE) จะแสดงปฏิริยาประเภท “อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด อกอีแป้นจะแตก” แบบที่มักพบในหนังฮอลลีวู้ด เธอกลับทำอาการตกใจและงงๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งดิฉันรู้สึกว่ามันน่าประทับใจมาก เพราะในบางครั้งเวลาที่เราตกใจอย่างแรงๆ เราจะไม่แสดงอาการอะไรออกมามากมาย เราจะแข็งๆทื่อๆ และความตกใจอย่างรุนแรงนั้นจะอยู่ข้างในตัวเรา ไม่ได้ระเบิดออกมาทางวาจาหรือทางสีหน้าแบบที่มักพบในหนังฮอลลีวู้ด หรือไม่เช่นนั้น นางเอกก็อาจจะ “ตั้งสติ” ได้แล้วก็ได้ก่อนที่การขับรถจะเสร็จสิ้นลง
ตอนหลังได้อ่านบทสัมภาษณ์ FRANKA POTENTE ถ้าจำไม่ผิด เธอบอกว่าเธอถกเถียงกับผู้กำกับเรื่องการแสดงออกของตัวละครที่เธอเล่น ดิฉันก็เลยเชื่อว่าฉากนั้นอาจจะเป็นฉากนึงที่เกิดจากไอเดียของ FRANKA POTENTE มากกว่าจะเกิดจากไอเดียของผู้กำกับ เพราะนักแสดงที่ดีน่าจะเข้าใจดีว่าตัวละครของตัวเองจะแสดงออกอย่างไรเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนั้น
เพื่อนดิฉันคนนึงไม่ค่อยชอบฉากนึงใน SIGNS (2002, M. NIGHT SHYAMALAN) เป็นอย่างมาก นั่นก็คือฉากที่ JOAQUIN PHOENIX เห็นอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวในจอทีวีหรือเปล่า) แล้วแสดงอาการตกใจสะดุ้งเฮือกอย่างรุนแรง รู้สึกเพื่อนจะบอกว่ามันเป็นการแสดงออกที่โอเวอร์มากว่าทำไมต้องสะดุ้งเฮือกขนาดนั้น ส่วนดิฉันไม่ได้รุ้สึกเกลียดชังฉากนี้แต่อย่างใดเพราะว่า JOAQUIN PHOENIX น่ารัก
แต่ถ้าเป็นในขนบของหนังสยองขวัญที่ไม่ได้มีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความเป็นจริงของมนุษย์ การมีตัวละครประเภททื่ยืนทื่อๆ นิ่งๆ ขณะเจอเหตุการณ์น่าตกใจ แทนที่จะใส่ตีนหมาโกยแน่บ หรือหยิบอาวุธขึ้นมาป้องกันตัว ก็อาจจะกลายเป็นการสร้างความน่ารำคาญให้กับผู้ชมได้เช่นกัน และผู้ชมก็อาจจะคิดว่า “อีนี่สมควรตายแล้วล่ะ” ฮ่าๆๆๆ
Thursday, January 12, 2006
JAZZ AROUND THE WORLD 98.5 FM
ช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยสบายค่ะ คออักเสบ หยุดงานไป 4 วันตั้งแต่วันจันทร์-พฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ก็ยังแร่ดออกมาเล่นอินเทอร์เน็ตทุกวัน แหะๆๆๆ แต่ต่อไปนี้ตั้งใจว่าจะพยายามเล่นอินเทอร์เน็ตให้น้อยลง และนอนกอดตุ๊กตาหมีให้มากขึ้น เพราะดูเหมือนสุขภาพร่างกายของดิฉันจะเสื่อมทรามมาก ต่อไปนี้คงต้องอุทิศเวลาให้กับการนอนเป็นหลัก
วันนี้ขอตอบแบบสั้นๆก่อนแล้วกันนะคะ
ตอบคุณหวานฉ่ำ
ถ้าเข้าใจไม่ผิด ROBERT LUKETIC ผู้กำกับ LEGALLY BLONDE (2001, A) เป็นเกย์ค่ะ เขาเคยกำกับหนังเรื่อง WIN A DATE WITH TAD HAMILTON ที่น่าดูมากๆ แต่ดิฉันก็ยังไม่ได้หามาดูสักที
ROBERT LUKETIC
http://eur.yimg.com/i/xp/premier_photo/b/be91ea8350.jpg
ตอบภรรยาเจมี คัลลัม
ตอนแรกนึกว่าน้อง matt ได้ดูหนังแค่ไม่กี่เรื่อง แต่จริงๆแล้วก็ดูหนังเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย มีบางเรื่องไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เดี๋ยวคงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
โฮะๆๆ อิจฉาคุณแฟนสาวของคริสมากๆค่ะ ที่มีคนมา STRAWBERRIZE YOUR WORLDเช่นนั้น ถ้าหากเป็นดิฉัน ดิฉันคงจะไปกับเขาแน่นอนค่ะ (ถ้าหากไม่ต้องเสียเงินมากนัก) สิ่งสำคัญก็คือว่า เราต้องไม่หวังอะไรตอบแทนจากเขาทั้งสิ้น เพราะเมื่อเราไม่หวังอะไรจากเขา เราก็จะไม่ผิดหวังในภายหลัง ขอเพียงให้เราได้อยู่ใกล้ๆเขาแป๊บนึง หรือได้มองหน้าเขาแป๊บนึง แค่นั้นก็พอแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ มีอยู่วันนึง นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เจอฝรั่งหนุ่มน่ารัก ผมสีทอง ยืนอยู่ไม่ไกลจากดิฉัน เขาหันหน้าออกไปมองข้างนอก ดิฉันจึงแทบไม่เห็นหน้าของเขา ได้มองแค่ผมสีทองของเขา แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพที่ให้ความสุขแก่จิตใจดิฉันอย่างมากๆ ภาพของแสงอาทิตย์ส่องกระทบผมสีทองของฝรั่งหนุ่มน่ารักคนนึง แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า “ดีใจจังเลยที่เรายังมีชีวิตอยู่ และได้เห็นสิ่งที่งดงามเช่นนี้” ถ้าหากเป็นสมัยก่อน ดิฉันอาจจะรู้สึกทุรนทุรายอยู่ในใจว่า “ทำอย่างไรดีฉันถึงจะยั่วเขาได้สำเร็จ” หรือ “ทำอย่างไรดีฉันถึงจะส่ง SIGNAL ให้เขารู้ได้ว่าฉันชอบเขา” แต่มาในปัจจุบันนี้ ดิฉันกลับไม่ทุรนทุรายใจอีกต่อไป และรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขอย่างมากกับการมองผมสีทองของฝรั่งหนุ่มอยู่ห่างๆเท่านั้น
เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นประสบการณ์ที่ยังความสุขให้แก่จิตใจของดิฉันมาก และเมื่อนึกถึงภาพ “ผมสีทองที่แสงอาทิตย์ส่องกระทบ” ในวันนั้นทีไร ดิฉันก็จะรู้สึกเบิกบานใจเมื่อนั้น ประสบการณ์นี้ทำให้ดิฉันนึกถึงชื่อหนังเรื่องนึงที่อยากดูมากๆ ซึ่งก็คือเรื่อง AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, JONAS MEKAS) รู้สึกว่าชื่อหนังที่มีความยาว 5 ชม. 20 นาทีเรื่องนี้ สะท้อนบางแง่มุมในชีวิตได้ดีจริงๆ
http://www.imdb.com/title/tt0262240/
แต่ถ้าหากจำชื่อหนังเรื่องนี้ได้ไม่หมด ความหมายอาจจะเพี้ยนไปได้ค่ะ เป็น AS I WAS MOVING AHEAD I SAW BRIEFS (กางเกงในชาย)
http://www.draytonmalls.com/images/230MA%20Ergowear%20Retro%20Briefs%20Swimsuit.jpg
http://www.emediawire.com/prfiles/2005/09/12/284017/mens-briefs-front-enlarged.jpg
ตอบคุณอ้วน
ได้ฟังเพลงของ HOPE SANDOVAL และ EMILIANA TORRINI แล้ว เพราะมากๆเลยค่ะ
คำบรรยายอัลบัมของคุณอ้วน ทำให้นึกถึงคุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์อย่างมากๆ ถ้าหากบอกว่าเป็นคุณอาทิตย์เขียนดิฉันจะไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฟังเพลงเท่าไหร่ แต่ก็ฟังช่อง 98.5 FM เป็นหลัก ที่เปิดเพลงแนว NICE ‘N’ EASY เป็นประจำ รู้สึกว่าตัวเองแก่มากๆที่เริ่มหันมาชอบฟังเพลงแนวนี้ เพลงที่สถานีนี้เปิดก็มีอย่างเช่นเพลงของ SHAKATAK, PATTI AUSTIN, REGINA BELLE
รายการที่ชอบฟังมากทางช่อง 98.5 FM อยู่ในคืนวันเสาร์ ซึ่งก็คือรายการเพลงญี่ปุ่นตอน 20.00-24.00 และรายการ JAZZ AROUND THE WORLD เวลา 24.00-02.00 น. รู้สึกว่ารายการ JAZZ AROUND THE WORLD เปิดเพลงถูกใจตัวเองมากๆ
ตอบน้อง ZM
ว้าย ได้อ่านด้วยเหรอคะ ฮ่าๆๆ สาเหตุนึงที่ทำให้ขัดใจกับ SOMETHING’S GOTTA GIVE คงจะเป็นเพราะว่าดิฉันเชียร์คีนู รีฟส์สุดฤทธิ์ค่ะ ดิฉันเชียร์ให้ชายหนุ่มรักกับสาวแก่อย่างมากๆ เวลาดูหนังที่มีเด็กหนุ่มตกหลุมรักสาวแก่ทีไร มันทำให้รู้สึกว่า “ชีวิตนี้ยังมีความหวัง” โฮะๆๆ
ชอบคำว่า “สลายร่าง” มากเลยค่ะ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าในการ์ตูน SAILOR MOON เวลาคนพากย์พูดคำว่า “สลายร่าง” ทีไร เสียงพากย์ของเธอจะแจ๋นมากๆ ฮากลิ้งเลย
วันนี้ขอตอบแบบสั้นๆก่อนแล้วกันนะคะ
ตอบคุณหวานฉ่ำ
ถ้าเข้าใจไม่ผิด ROBERT LUKETIC ผู้กำกับ LEGALLY BLONDE (2001, A) เป็นเกย์ค่ะ เขาเคยกำกับหนังเรื่อง WIN A DATE WITH TAD HAMILTON ที่น่าดูมากๆ แต่ดิฉันก็ยังไม่ได้หามาดูสักที
ROBERT LUKETIC
http://eur.yimg.com/i/xp/premier_photo/b/be91ea8350.jpg
ตอบภรรยาเจมี คัลลัม
ตอนแรกนึกว่าน้อง matt ได้ดูหนังแค่ไม่กี่เรื่อง แต่จริงๆแล้วก็ดูหนังเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย มีบางเรื่องไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เดี๋ยวคงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
โฮะๆๆ อิจฉาคุณแฟนสาวของคริสมากๆค่ะ ที่มีคนมา STRAWBERRIZE YOUR WORLDเช่นนั้น ถ้าหากเป็นดิฉัน ดิฉันคงจะไปกับเขาแน่นอนค่ะ (ถ้าหากไม่ต้องเสียเงินมากนัก) สิ่งสำคัญก็คือว่า เราต้องไม่หวังอะไรตอบแทนจากเขาทั้งสิ้น เพราะเมื่อเราไม่หวังอะไรจากเขา เราก็จะไม่ผิดหวังในภายหลัง ขอเพียงให้เราได้อยู่ใกล้ๆเขาแป๊บนึง หรือได้มองหน้าเขาแป๊บนึง แค่นั้นก็พอแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ มีอยู่วันนึง นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เจอฝรั่งหนุ่มน่ารัก ผมสีทอง ยืนอยู่ไม่ไกลจากดิฉัน เขาหันหน้าออกไปมองข้างนอก ดิฉันจึงแทบไม่เห็นหน้าของเขา ได้มองแค่ผมสีทองของเขา แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นภาพที่ให้ความสุขแก่จิตใจดิฉันอย่างมากๆ ภาพของแสงอาทิตย์ส่องกระทบผมสีทองของฝรั่งหนุ่มน่ารักคนนึง แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า “ดีใจจังเลยที่เรายังมีชีวิตอยู่ และได้เห็นสิ่งที่งดงามเช่นนี้” ถ้าหากเป็นสมัยก่อน ดิฉันอาจจะรู้สึกทุรนทุรายอยู่ในใจว่า “ทำอย่างไรดีฉันถึงจะยั่วเขาได้สำเร็จ” หรือ “ทำอย่างไรดีฉันถึงจะส่ง SIGNAL ให้เขารู้ได้ว่าฉันชอบเขา” แต่มาในปัจจุบันนี้ ดิฉันกลับไม่ทุรนทุรายใจอีกต่อไป และรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขอย่างมากกับการมองผมสีทองของฝรั่งหนุ่มอยู่ห่างๆเท่านั้น
เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นประสบการณ์ที่ยังความสุขให้แก่จิตใจของดิฉันมาก และเมื่อนึกถึงภาพ “ผมสีทองที่แสงอาทิตย์ส่องกระทบ” ในวันนั้นทีไร ดิฉันก็จะรู้สึกเบิกบานใจเมื่อนั้น ประสบการณ์นี้ทำให้ดิฉันนึกถึงชื่อหนังเรื่องนึงที่อยากดูมากๆ ซึ่งก็คือเรื่อง AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, JONAS MEKAS) รู้สึกว่าชื่อหนังที่มีความยาว 5 ชม. 20 นาทีเรื่องนี้ สะท้อนบางแง่มุมในชีวิตได้ดีจริงๆ
http://www.imdb.com/title/tt0262240/
แต่ถ้าหากจำชื่อหนังเรื่องนี้ได้ไม่หมด ความหมายอาจจะเพี้ยนไปได้ค่ะ เป็น AS I WAS MOVING AHEAD I SAW BRIEFS (กางเกงในชาย)
http://www.draytonmalls.com/images/230MA%20Ergowear%20Retro%20Briefs%20Swimsuit.jpg
http://www.emediawire.com/prfiles/2005/09/12/284017/mens-briefs-front-enlarged.jpg
ตอบคุณอ้วน
ได้ฟังเพลงของ HOPE SANDOVAL และ EMILIANA TORRINI แล้ว เพราะมากๆเลยค่ะ
คำบรรยายอัลบัมของคุณอ้วน ทำให้นึกถึงคุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์อย่างมากๆ ถ้าหากบอกว่าเป็นคุณอาทิตย์เขียนดิฉันจะไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฟังเพลงเท่าไหร่ แต่ก็ฟังช่อง 98.5 FM เป็นหลัก ที่เปิดเพลงแนว NICE ‘N’ EASY เป็นประจำ รู้สึกว่าตัวเองแก่มากๆที่เริ่มหันมาชอบฟังเพลงแนวนี้ เพลงที่สถานีนี้เปิดก็มีอย่างเช่นเพลงของ SHAKATAK, PATTI AUSTIN, REGINA BELLE
รายการที่ชอบฟังมากทางช่อง 98.5 FM อยู่ในคืนวันเสาร์ ซึ่งก็คือรายการเพลงญี่ปุ่นตอน 20.00-24.00 และรายการ JAZZ AROUND THE WORLD เวลา 24.00-02.00 น. รู้สึกว่ารายการ JAZZ AROUND THE WORLD เปิดเพลงถูกใจตัวเองมากๆ
ตอบน้อง ZM
ว้าย ได้อ่านด้วยเหรอคะ ฮ่าๆๆ สาเหตุนึงที่ทำให้ขัดใจกับ SOMETHING’S GOTTA GIVE คงจะเป็นเพราะว่าดิฉันเชียร์คีนู รีฟส์สุดฤทธิ์ค่ะ ดิฉันเชียร์ให้ชายหนุ่มรักกับสาวแก่อย่างมากๆ เวลาดูหนังที่มีเด็กหนุ่มตกหลุมรักสาวแก่ทีไร มันทำให้รู้สึกว่า “ชีวิตนี้ยังมีความหวัง” โฮะๆๆ
ชอบคำว่า “สลายร่าง” มากเลยค่ะ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าในการ์ตูน SAILOR MOON เวลาคนพากย์พูดคำว่า “สลายร่าง” ทีไร เสียงพากย์ของเธอจะแจ๋นมากๆ ฮากลิ้งเลย
Wednesday, January 11, 2006
CAVEH ZAHEDI
ขอบคุณคุณเก้าอี้มีพนักมากๆค่ะ และก็รู้สึกชื่นชมคุณเก้าอี้มีพนักเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องดนตรี อิจฉามากค่ะที่คุณเก้าอี้มีพนักได้ดู WEST OF THE TRACKS แล้ว และก็อิจฉาที่คุณเก้าอี้มีพนักได้มีโอกาสฟังเพลงจากศิลปินแปลกๆที่ดิฉันไม่รู้จักมากมายหลายคน
ในความรู้สึกส่วนตัว รู้สึกว่า I AM S-E-X ADDICT เป็นหนังที่สะท้อนลักษณะบางอย่างของมนุษย์ออกมาได้ “จริง” มากๆ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้กล้าที่จะเปิดเผยด้านที่อ่อนแอหรือข้อบกพร่องบางอย่างของมนุษย์ออกมาอย่างตรงๆ กล้าที่จะเปิดเผยแฟนตาซีทางเพศที่ดูไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่ประทับใจมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือความรู้สึกที่ว่าผู้กำกับสามารถปอกเปลือกกะเทาะเอาบางอย่างที่อยู่ข้างในจิตใจคนออกมาตีแผ่ ตัวละครในหนังดู “กลม” มากๆ และไม่ใช่ “กลม” แบบที่รู้สึกว่าผู้เขียนบทหรือผู้กำกับ “ตั้งใจ” หรือ “จงใจ” ให้กลม เพราะตัวละครในหนังเรื่องนี้แต่ละตัวดูเหมือนมีรายละเอียดยิบย่อย บางคนมีอารมณ์ที่ผันผวนแปรไปแปรมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ ตัวละครในหนังเรื่องนี้ดูเหมือนมนุษย์จริงๆมากๆ มันไม่ใช่ตัวละครแบบที่ถูกสร้างขึ้นตามที่ “หลักเกณฑ์ของหนังดี” กำหนดเอาไว้ แต่มันเหมือนกับเป็นการถ่ายทอดมนุษย์จริงๆโดยไม่สนใจ”หลักเกณฑ์ของหนังดี” แต่อย่างใด
การถ่ายทอดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนไม่สนใจ “หลักเกณฑ์ของหนังดี” เช่นกัน เพราะอารมณ์ในหนังเรื่องนี้มีขึ้นๆลงๆเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสุขเศร้าเคล้าน้ำตา เหมือนกับชีวิตมนุษย์จริงๆ ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆมักจะมีเส้นอารมณ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าองก์หนึ่งอารมณ์ต้องเป็นอย่างนี้ องก์สองอารมณ์ขัดแย้งต้องทวีคูณ แล้วหลังจากนั้นก็อารมณ์ขึ้นถึงจุดไคลแมกซ์ ก่อนที่จะจบลงด้วยความซาบซึ้งหรือข้อคิดที่ให้แก่ผู้ชม หนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT ไม่สนใจที่จะสร้างเส้นอารมณ์แบบนั้นเลย เพราะการพยายามทำอารมณ์ในหนังให้ออกมาตามจังหวะแบบแผนเช่นนั้น ย่อมยากที่จะถ่ายทอด “ความเป็นมนุษย์” หรือ “ชีวิตมนุษย์” จริงๆได้ ผู้ชมบางคนอาจจะรู้สึกว่าอารมณ์ในหนังเรื่องนี้มันลักลั่น แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องประสบพบเจอในชีวิตจริงๆ เราไม่สามารถกำหนดชีวิตของเราให้มีสามองก์, มีฉากไคลแมกซ์, มี catharsis ได้ตามอย่าง “หลักเกณฑ์ของหนังดี” หรือ “หลักเกณฑ์ของบทละครเวทีที่ดี” หรอก
เข้าใจว่าหนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT อาจจะสร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ CAVEH ZAHEDI เอง แต่ถึงแม้มันจะสร้างขึ้นจากชีวิตจริง และตัวละครในหนังมาจากคนจริงๆ การจะถ่ายทอดความจริงให้ออกมาดู “จริง” ได้อย่างในหนังเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วรู้สึกว่า “กล้ายอมรับความจริงของชีวิตมนุษย์” ได้ไม่แพ้ I AM A S-E-X ADDICT ก็คือเรื่อง THE HEARTBREAK KID (1972, ELAINE MAY, A+) หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่หนึ่งที่ไปฮันนีมูนที่ชายหาด แล้วเจ้าบ่าวก็เกิดตกหลุมรักสาวอีกคนนึง
ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังฮอลลีวู้ดทั่วๆไป หนังอาจจะออกมาในแนวโรแมนติก เจ้าบ่าวพยายามจีบสาวจนสำเร็จ, เอาชนะใจพ่อแม่ของสาวคนใหม่ได้, ส่วนเจ้าสาวคนเก่าของเขาก็ทำใจได้ หรือเจอหนุ่มคนใหม่ไปเลย
แต่หนังเรื่อง THE HEARTBREAK KID ดูเหมือนไม่สนใจที่จะนำพาผู้ชมเข้าโลก “พาฝัน” เช่นนั้น หนังกลับถ่ายทอดออกมาอย่างจริงจังและจริงใจว่า ถ้าหากเจ้าบ่าวทำเช่นนั้น คนรอบข้างจะ “หัวใจสลาย” เช่นใดบ้าง คนรอบข้างจะ “กระอักกระอ่วน” เช่นใดบ้าง หนังเรื่องนี้กล้าที่จะสะท้อนออกมาจริงๆว่าคนรอบข้างจะมีปฏิกิริยาเช่นใดต่อเหตุการณ์เช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เลย แทนที่หนังเรื่องนี้จะทำตัวเป็นหนังโรแมนติก หนังเรื่องนี้กลับสะท้อนความขมขื่นและความไร้เหตุผลของชีวิตจริงออกมาแทน
ในขณะที่ I AM A S-E-X ADDICT และ THE HEARTBREAK KID ดู “จริง” จนน่าทึ่ง และดู “จริง” จนยอกแสยงใจผู้ชมอย่างรุนแรง หนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าดู “หลอก” อย่างมากๆ ในตอนจบของเรื่อง ก็คือ THE FAMILY STONE (A+) และ SOMETHING’S GOTTA GIVE (B-) ตอนจบของ THE FAMILY STONE ดู “ลงตัว” จนสร้างความรู้สึก “หลอกลวง” อย่างมากๆ แต่ก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+ อยู่ดี เพราะรู้สึกว่าภายในกรอบของหนังฮอลลีวู้ด หนังเรื่องนี้ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจกว่าหนังฮอลลีวู้ดด้วยกันเอง
ส่วน SOMETHING’S GOTTA GIVE นั้น อาจจะเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อตัวละครในลักษณะตรงข้ามกับ THE HEARTBREAK KID เพราะ SOMETHING’S GOTTA GIVE ไม่สนใจที่จะแสดงให้เห็นเลยว่า “คีนู รีฟส์” ชอกช้ำใจขนาดไหนในตอนท้ายเรื่อง หนังเหมือนกับจะบอกว่าผู้ชมจงลืมๆความรู้สึกของตัวละครประกอบไปซะ สนใจแต่ความสุขของพระเอกนางเอกก็พอแล้ว แฮปปี้ เริงร่าไปกับพระเอกนางเอกและเดินออกจากโรงอย่างมีความสุขก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าตัวละครประกอบในหนังจะผิดหวังเสียใจร้องไห้ขนาดไหน หนังเรื่องนี้ไม่ได้ปฏิบัติต่อตัวละครประกอบในลักษณะของ “มนุษย์จริงๆ” และนั่นคือสิ่งที่ดิฉันไม่ค่อยชอบในหนังเรื่องนี้
1.ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข)
2.ผู้กำกับยอดเยี่ยม
ทศพล บุญสินสุข จาก AFTERNOON TIME (A+), THE AUDIENCE (A+), CHICKEN SMILE (A+), NICE TO MEET YOU (A+), ห้ามอุ่นไข่ในไมโคเวฟเดี๋ยวระเบิดตูม (A+)
3.นำชาย
CHRISTIAN BALE จาก THE MACHINIST (2004, BRAD ANDERSON, A+)
4.นำหญิง
ISILD LE BESCO จาก RIGHT NOW (2004, BENOIT JACQUOT, A+)
5.สมทบชาย
TY GIORDANO จากบทคนใบ้ใน THE FAMILY STONE (2005, THOMAS BEZUCHA, A+) และ A LOT LIKE LOVE (2005, NIGEL COLE, A+)
6.สมทบหญิง
ELSE NABU จากบทนักร้องที่พิสดารที่สุดในโลกใน FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER, A+) และ DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, ULRIKE OTTINGER, A+)
7.ฮาที่สุด
MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1978, ULRIKE OTTINGER, A+)
8.เศร้า ซึ้งที่สุด
AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข)
9.ห่วยแตกที่สุด
เอ๋อ..เหรอ
10.ดาราเด็กที่คุณชอบที่สุด
BEN TIBBER ใน I AM DAVID (2003, PAUL FEIG, A+)
11.ภาพยนตร์ที่เพลงเพราะที่สุด
MYSTERIOUS SKIN
12.ดูยากที่สุด
The Hidden City (2002, Carlos Balague, สเปน, B-)
13.หนังเก่าที่คุณอยากดูซ้ำ
FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER)
14.หนังที่ดูซ้ำมากที่สุด
ถ้าเป็นในปี 2005 ก็ดู THE CASTLE (1997, MICHAEL HANEKE, A+) กับ I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT (2003, GENEVIEVE MERSCH, A+) ไปเรื่องละสองรอบ
15.ถ้าคุณเป็นผู้กำกับ คุณอยากทำหนังเกี่ยวกับอะไรมากที่สุด
ผู้ชายหนุ่มหล่อล่ำบึ้ก
คนที่เล่นเป็นฟอนชื่อ JAMES MCAVOY ค่ะ เขาเกิดปี 1979 และเคยแสดงเรื่อง
http://www.imdb.com/name/nm0564215/
http://www.jamesmcavoy.com
1.WIMBLEDON (2004, RICHARD LONCRAINE, B)
http://www.imdb.com/title/tt0360201/
เขาเล่นเป็นน้องชายพระเอก (PAUL BETTANY)
2.BRIGHT YOUNG THINGS (2003, STEPHEN FRY, A+++++)
http://images.amazon.com/images/P/B0006J240O.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
STEPHEN FRY ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เป็นเกย์ชื่อดัง และเขาเคยแสดงเป็นออสการ์ ไวลด์ นักประพันธ์เกย์ชื่อดังใน WILDE (A) ด้วย
BRIGHT YOUNG THINGS มีตัวละครบางตัวเป็นเกย์เหมือนกัน
3.BAND OF BROTHERS มินิซีรีส์เกี่ยวกับทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง JAMES MCAVOY รับบทเป็น Pvt. JAMES MILLER ในเรื่องนี้
4.MACBETH (2005, MARK BROZEL)
http://www.imdb.com/title/tt0453514/
JAMES MCAVOY รับบทเป็นแมคเบธในเรื่องนี้
5.CHILDREN OF DUNE (2003, GREG YAITANES)
http://images.amazon.com/images/P/B00008RUYH.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
JAMES MCAVOY
http://www.arrakis.co.uk/jpg/letoskin.jpg
http://www.pbs.org/wgbh/masterpiece/teeth/whoswho/images/josh.jpg
http://www.jamesmcavoy.com/albums/album25/nearroom5.jpg
http://www.jamesmcavoy.com/albums/album02/jimmy.sized.jpeg
ส่วนคนที่ดิฉันอยากได้มากที่สุดใน NARNIA คือ PETER ตอนโตค่ะ แสดงโดย NOAH HUNTLEY
ในความรู้สึกส่วนตัว รู้สึกว่า I AM S-E-X ADDICT เป็นหนังที่สะท้อนลักษณะบางอย่างของมนุษย์ออกมาได้ “จริง” มากๆ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้กล้าที่จะเปิดเผยด้านที่อ่อนแอหรือข้อบกพร่องบางอย่างของมนุษย์ออกมาอย่างตรงๆ กล้าที่จะเปิดเผยแฟนตาซีทางเพศที่ดูไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่ประทับใจมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือความรู้สึกที่ว่าผู้กำกับสามารถปอกเปลือกกะเทาะเอาบางอย่างที่อยู่ข้างในจิตใจคนออกมาตีแผ่ ตัวละครในหนังดู “กลม” มากๆ และไม่ใช่ “กลม” แบบที่รู้สึกว่าผู้เขียนบทหรือผู้กำกับ “ตั้งใจ” หรือ “จงใจ” ให้กลม เพราะตัวละครในหนังเรื่องนี้แต่ละตัวดูเหมือนมีรายละเอียดยิบย่อย บางคนมีอารมณ์ที่ผันผวนแปรไปแปรมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ ตัวละครในหนังเรื่องนี้ดูเหมือนมนุษย์จริงๆมากๆ มันไม่ใช่ตัวละครแบบที่ถูกสร้างขึ้นตามที่ “หลักเกณฑ์ของหนังดี” กำหนดเอาไว้ แต่มันเหมือนกับเป็นการถ่ายทอดมนุษย์จริงๆโดยไม่สนใจ”หลักเกณฑ์ของหนังดี” แต่อย่างใด
การถ่ายทอดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนไม่สนใจ “หลักเกณฑ์ของหนังดี” เช่นกัน เพราะอารมณ์ในหนังเรื่องนี้มีขึ้นๆลงๆเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสุขเศร้าเคล้าน้ำตา เหมือนกับชีวิตมนุษย์จริงๆ ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆมักจะมีเส้นอารมณ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าองก์หนึ่งอารมณ์ต้องเป็นอย่างนี้ องก์สองอารมณ์ขัดแย้งต้องทวีคูณ แล้วหลังจากนั้นก็อารมณ์ขึ้นถึงจุดไคลแมกซ์ ก่อนที่จะจบลงด้วยความซาบซึ้งหรือข้อคิดที่ให้แก่ผู้ชม หนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT ไม่สนใจที่จะสร้างเส้นอารมณ์แบบนั้นเลย เพราะการพยายามทำอารมณ์ในหนังให้ออกมาตามจังหวะแบบแผนเช่นนั้น ย่อมยากที่จะถ่ายทอด “ความเป็นมนุษย์” หรือ “ชีวิตมนุษย์” จริงๆได้ ผู้ชมบางคนอาจจะรู้สึกว่าอารมณ์ในหนังเรื่องนี้มันลักลั่น แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องประสบพบเจอในชีวิตจริงๆ เราไม่สามารถกำหนดชีวิตของเราให้มีสามองก์, มีฉากไคลแมกซ์, มี catharsis ได้ตามอย่าง “หลักเกณฑ์ของหนังดี” หรือ “หลักเกณฑ์ของบทละครเวทีที่ดี” หรอก
เข้าใจว่าหนังเรื่อง I AM A S-E-X ADDICT อาจจะสร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ CAVEH ZAHEDI เอง แต่ถึงแม้มันจะสร้างขึ้นจากชีวิตจริง และตัวละครในหนังมาจากคนจริงๆ การจะถ่ายทอดความจริงให้ออกมาดู “จริง” ได้อย่างในหนังเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วรู้สึกว่า “กล้ายอมรับความจริงของชีวิตมนุษย์” ได้ไม่แพ้ I AM A S-E-X ADDICT ก็คือเรื่อง THE HEARTBREAK KID (1972, ELAINE MAY, A+) หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่หนึ่งที่ไปฮันนีมูนที่ชายหาด แล้วเจ้าบ่าวก็เกิดตกหลุมรักสาวอีกคนนึง
ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังฮอลลีวู้ดทั่วๆไป หนังอาจจะออกมาในแนวโรแมนติก เจ้าบ่าวพยายามจีบสาวจนสำเร็จ, เอาชนะใจพ่อแม่ของสาวคนใหม่ได้, ส่วนเจ้าสาวคนเก่าของเขาก็ทำใจได้ หรือเจอหนุ่มคนใหม่ไปเลย
แต่หนังเรื่อง THE HEARTBREAK KID ดูเหมือนไม่สนใจที่จะนำพาผู้ชมเข้าโลก “พาฝัน” เช่นนั้น หนังกลับถ่ายทอดออกมาอย่างจริงจังและจริงใจว่า ถ้าหากเจ้าบ่าวทำเช่นนั้น คนรอบข้างจะ “หัวใจสลาย” เช่นใดบ้าง คนรอบข้างจะ “กระอักกระอ่วน” เช่นใดบ้าง หนังเรื่องนี้กล้าที่จะสะท้อนออกมาจริงๆว่าคนรอบข้างจะมีปฏิกิริยาเช่นใดต่อเหตุการณ์เช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เลย แทนที่หนังเรื่องนี้จะทำตัวเป็นหนังโรแมนติก หนังเรื่องนี้กลับสะท้อนความขมขื่นและความไร้เหตุผลของชีวิตจริงออกมาแทน
ในขณะที่ I AM A S-E-X ADDICT และ THE HEARTBREAK KID ดู “จริง” จนน่าทึ่ง และดู “จริง” จนยอกแสยงใจผู้ชมอย่างรุนแรง หนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าดู “หลอก” อย่างมากๆ ในตอนจบของเรื่อง ก็คือ THE FAMILY STONE (A+) และ SOMETHING’S GOTTA GIVE (B-) ตอนจบของ THE FAMILY STONE ดู “ลงตัว” จนสร้างความรู้สึก “หลอกลวง” อย่างมากๆ แต่ก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+ อยู่ดี เพราะรู้สึกว่าภายในกรอบของหนังฮอลลีวู้ด หนังเรื่องนี้ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจกว่าหนังฮอลลีวู้ดด้วยกันเอง
ส่วน SOMETHING’S GOTTA GIVE นั้น อาจจะเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อตัวละครในลักษณะตรงข้ามกับ THE HEARTBREAK KID เพราะ SOMETHING’S GOTTA GIVE ไม่สนใจที่จะแสดงให้เห็นเลยว่า “คีนู รีฟส์” ชอกช้ำใจขนาดไหนในตอนท้ายเรื่อง หนังเหมือนกับจะบอกว่าผู้ชมจงลืมๆความรู้สึกของตัวละครประกอบไปซะ สนใจแต่ความสุขของพระเอกนางเอกก็พอแล้ว แฮปปี้ เริงร่าไปกับพระเอกนางเอกและเดินออกจากโรงอย่างมีความสุขก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าตัวละครประกอบในหนังจะผิดหวังเสียใจร้องไห้ขนาดไหน หนังเรื่องนี้ไม่ได้ปฏิบัติต่อตัวละครประกอบในลักษณะของ “มนุษย์จริงๆ” และนั่นคือสิ่งที่ดิฉันไม่ค่อยชอบในหนังเรื่องนี้
1.ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข)
2.ผู้กำกับยอดเยี่ยม
ทศพล บุญสินสุข จาก AFTERNOON TIME (A+), THE AUDIENCE (A+), CHICKEN SMILE (A+), NICE TO MEET YOU (A+), ห้ามอุ่นไข่ในไมโคเวฟเดี๋ยวระเบิดตูม (A+)
3.นำชาย
CHRISTIAN BALE จาก THE MACHINIST (2004, BRAD ANDERSON, A+)
4.นำหญิง
ISILD LE BESCO จาก RIGHT NOW (2004, BENOIT JACQUOT, A+)
5.สมทบชาย
TY GIORDANO จากบทคนใบ้ใน THE FAMILY STONE (2005, THOMAS BEZUCHA, A+) และ A LOT LIKE LOVE (2005, NIGEL COLE, A+)
6.สมทบหญิง
ELSE NABU จากบทนักร้องที่พิสดารที่สุดในโลกใน FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER, A+) และ DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, ULRIKE OTTINGER, A+)
7.ฮาที่สุด
MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1978, ULRIKE OTTINGER, A+)
8.เศร้า ซึ้งที่สุด
AFTERNOON TIME (2005, ทศพล บุญสินสุข)
9.ห่วยแตกที่สุด
เอ๋อ..เหรอ
10.ดาราเด็กที่คุณชอบที่สุด
BEN TIBBER ใน I AM DAVID (2003, PAUL FEIG, A+)
11.ภาพยนตร์ที่เพลงเพราะที่สุด
MYSTERIOUS SKIN
12.ดูยากที่สุด
The Hidden City (2002, Carlos Balague, สเปน, B-)
13.หนังเก่าที่คุณอยากดูซ้ำ
FREAK ORLANDO (1981, ULRIKE OTTINGER)
14.หนังที่ดูซ้ำมากที่สุด
ถ้าเป็นในปี 2005 ก็ดู THE CASTLE (1997, MICHAEL HANEKE, A+) กับ I ALWAYS WANTED TO BE A SAINT (2003, GENEVIEVE MERSCH, A+) ไปเรื่องละสองรอบ
15.ถ้าคุณเป็นผู้กำกับ คุณอยากทำหนังเกี่ยวกับอะไรมากที่สุด
ผู้ชายหนุ่มหล่อล่ำบึ้ก
คนที่เล่นเป็นฟอนชื่อ JAMES MCAVOY ค่ะ เขาเกิดปี 1979 และเคยแสดงเรื่อง
http://www.imdb.com/name/nm0564215/
http://www.jamesmcavoy.com
1.WIMBLEDON (2004, RICHARD LONCRAINE, B)
http://www.imdb.com/title/tt0360201/
เขาเล่นเป็นน้องชายพระเอก (PAUL BETTANY)
2.BRIGHT YOUNG THINGS (2003, STEPHEN FRY, A+++++)
http://images.amazon.com/images/P/B0006J240O.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
STEPHEN FRY ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เป็นเกย์ชื่อดัง และเขาเคยแสดงเป็นออสการ์ ไวลด์ นักประพันธ์เกย์ชื่อดังใน WILDE (A) ด้วย
BRIGHT YOUNG THINGS มีตัวละครบางตัวเป็นเกย์เหมือนกัน
3.BAND OF BROTHERS มินิซีรีส์เกี่ยวกับทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง JAMES MCAVOY รับบทเป็น Pvt. JAMES MILLER ในเรื่องนี้
4.MACBETH (2005, MARK BROZEL)
http://www.imdb.com/title/tt0453514/
JAMES MCAVOY รับบทเป็นแมคเบธในเรื่องนี้
5.CHILDREN OF DUNE (2003, GREG YAITANES)
http://images.amazon.com/images/P/B00008RUYH.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
JAMES MCAVOY
http://www.arrakis.co.uk/jpg/letoskin.jpg
http://www.pbs.org/wgbh/masterpiece/teeth/whoswho/images/josh.jpg
http://www.jamesmcavoy.com/albums/album25/nearroom5.jpg
http://www.jamesmcavoy.com/albums/album02/jimmy.sized.jpeg
ส่วนคนที่ดิฉันอยากได้มากที่สุดใน NARNIA คือ PETER ตอนโตค่ะ แสดงโดย NOAH HUNTLEY
Tuesday, January 10, 2006
FERNANDO EIMBCKE
ขอให้พี่ KIT หายไวๆนะคะ กลัวว่าพอคนเห็นสภาพพี่ KIT หัวโน ปากเจ่อ แล้วเดี๋ยวจะรุมถามกันใหญ่ว่า “เมื่อคืนถูกผัวซ้อมมาเหรอคะ”
ตอบคุณอ้วน
ดีใจมากค่ะที่เห็นคุณอ้วนมาโพสท์ในเว็บบอร์ดนี้ เพราะดิฉันกลัวว่าวันนั้นดิฉันจะเผลอแพร่เชื้อหวัดออกไป แล้วทำให้คนที่มาเจอดิฉันในวันนั้นล้มป่วยด้วยโรคหวัดกันไปหมด ถ้าหากดิฉันเผลอทำให้ใครติดหวัดในวันนั้น ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
อยากฟังอัลบัมของ HOPE SANDOVAL มากๆเลยค่ะ เพราะว่าชอบวง MAZZY STAR ของเธออย่างมากๆ
ดีใจมากค่ะที่เห็น RIGHT NOW, BLIND SPOT และ ANGEL’S FALL ติดอันดับของคุณอ้วน
รูปภาพของนักรักบี้ฝรั่งเศสนี่มันช่างสุดยอดจริงๆค่ะ
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
ชอบคำว่า “ถือชะลอมเข้ากรุง” มากๆเลยค่ะ
ลองเข้าไปอ่านในกระทู้นั้นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองจะไม่เคยถูกผู้ชายหลอกเลย สงสัยหน้าตาดิฉันคงเหมือน “นางมารร้าย” อย่างมากๆ แถมยังมีฐานะยากจนอีกต่างหาก ผู้ชายคงรู้ดีว่าไม่รู้จะหลอกอีนี่ไปทำประโยชน์อะไร
มีข่าวว่าหนังสั้นของคุณทศพล บุญสินสุข เรื่อง THE AUDIENCE (A+++++) จะได้แพร่ภาพทางสถานี UBC ด้วยค่ะ
ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE RCA ตอนนี้ มีหนังเม็กซิโกเรื่อง DUCK SEASON (A+++++) ฉายอยู่ค่ะ อย่าลืมไปชมกันนะคะ เพราะหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์วัยเด็กที่แอบหลงรักเพื่อนชายของตัวเอง
นอกจากนี้ หนังเกย์เรื่อง LAN YU ก็จะมาฉายที่ HOUSE ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.ค่ะ
ช่วยกันไปอุดหนุนหนังเรื่อง DUCK SEASON ด้วยนะคะ เผื่อว่าทางโรง HOUSE เขาจะได้เอาหนังเกย์เข้ามาฉายอีกเยอะๆ โฮะๆๆๆๆ
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0007SMDDC.02.LZZZZZZZ.jpg
รูปของ FERNANDO EIMBCKE ผู้กำกับ DUCK SEASON น่าเสียดายที่เขามีลูกมีเมียแล้ว
http://www.c7nema.net/rev/mundo/mexico/009.jpg
http://www.elpais.es/elpaismedia/diario/media/200501/14/cine/20050114elpepicin_3_I_LBW.jpg
DUCK SEASON
http://www.indiewire.com/ots/photos/onthescene_041206thes2.jpg
http://www.kunstencentrumnetwerk.be/film/images/temporada.jpg
http://www.lantaren-venster.nl/archief/film/t/beeld/Temporada%20de%20patos.jpg
ตอบคุณอ้วน
ดีใจมากค่ะที่เห็นคุณอ้วนมาโพสท์ในเว็บบอร์ดนี้ เพราะดิฉันกลัวว่าวันนั้นดิฉันจะเผลอแพร่เชื้อหวัดออกไป แล้วทำให้คนที่มาเจอดิฉันในวันนั้นล้มป่วยด้วยโรคหวัดกันไปหมด ถ้าหากดิฉันเผลอทำให้ใครติดหวัดในวันนั้น ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
อยากฟังอัลบัมของ HOPE SANDOVAL มากๆเลยค่ะ เพราะว่าชอบวง MAZZY STAR ของเธออย่างมากๆ
ดีใจมากค่ะที่เห็น RIGHT NOW, BLIND SPOT และ ANGEL’S FALL ติดอันดับของคุณอ้วน
รูปภาพของนักรักบี้ฝรั่งเศสนี่มันช่างสุดยอดจริงๆค่ะ
ตอบคุณ CHRIS’S GIRLFRIEND
ชอบคำว่า “ถือชะลอมเข้ากรุง” มากๆเลยค่ะ
ลองเข้าไปอ่านในกระทู้นั้นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองจะไม่เคยถูกผู้ชายหลอกเลย สงสัยหน้าตาดิฉันคงเหมือน “นางมารร้าย” อย่างมากๆ แถมยังมีฐานะยากจนอีกต่างหาก ผู้ชายคงรู้ดีว่าไม่รู้จะหลอกอีนี่ไปทำประโยชน์อะไร
มีข่าวว่าหนังสั้นของคุณทศพล บุญสินสุข เรื่อง THE AUDIENCE (A+++++) จะได้แพร่ภาพทางสถานี UBC ด้วยค่ะ
ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE RCA ตอนนี้ มีหนังเม็กซิโกเรื่อง DUCK SEASON (A+++++) ฉายอยู่ค่ะ อย่าลืมไปชมกันนะคะ เพราะหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์วัยเด็กที่แอบหลงรักเพื่อนชายของตัวเอง
นอกจากนี้ หนังเกย์เรื่อง LAN YU ก็จะมาฉายที่ HOUSE ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.ค่ะ
ช่วยกันไปอุดหนุนหนังเรื่อง DUCK SEASON ด้วยนะคะ เผื่อว่าทางโรง HOUSE เขาจะได้เอาหนังเกย์เข้ามาฉายอีกเยอะๆ โฮะๆๆๆๆ
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0007SMDDC.02.LZZZZZZZ.jpg
รูปของ FERNANDO EIMBCKE ผู้กำกับ DUCK SEASON น่าเสียดายที่เขามีลูกมีเมียแล้ว
http://www.c7nema.net/rev/mundo/mexico/009.jpg
http://www.elpais.es/elpaismedia/diario/media/200501/14/cine/20050114elpepicin_3_I_LBW.jpg
DUCK SEASON
http://www.indiewire.com/ots/photos/onthescene_041206thes2.jpg
http://www.kunstencentrumnetwerk.be/film/images/temporada.jpg
http://www.lantaren-venster.nl/archief/film/t/beeld/Temporada%20de%20patos.jpg
Subscribe to:
Posts (Atom)