--ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่ได้เข้าโรงหนังเลย อยากรอให้อาการหวัดดีขึ้นก่อน
--มีความสุขกับการอ่านสิ่งที่ทุกคนเขียนมากๆ แต่เอาไว้วันหลังค่อยตอบอีกทีแล้วกันนะ
--ดีใจมากค่ะที่ ROBOKON (2003, TOMOYUKI FURUMAYA, A+) ติดท็อปเทนของคุณแฟรงเกนสไตน์
--ขอให้ปัญหาของคุณ lovejuice ได้รับการคลี่คลายไปด้วยดีนะคะ
ตอบน้อง ZM
--เคยมีเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ไม่สนิทกับเธอมากนัก แต่ดันอยู่กลุ่มเดียวกัน เวลาไปดูวิดีโอหนังเรื่องต่างๆที่บ้านเพื่อนด้วยกัน เธอก็จะคอยซักถามตลอดเวลาว่า “ทำไมคนนี้ถึงทำอย่างนี้” “ทำไมคนนั้นถึงทำอย่างนั้น” “เกิดอะไรขึ้น” “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง” ดิฉันก็ได้แต่ด่าอยู่ในใจว่า “ E HA หล่อนก็นั่งดูต่อไปสิ แล้วหล่อนก็จะเข้าใจเอง ก็นั่งดูต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่อง แล้วหล่อนก็จะได้รับคำตอบเองแหละ ไม่รู้จะถามหา HOG ไปทำไม” ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนอย่างนี้อยู่ด้วย มนุษย์ช่างเป็นอะไรที่โง่จนไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมารองรับจริงๆ ว้า ไม่เอาไม่เอา ไม่นึกถึงเพื่อนคนนี้ดีกว่า นึกแล้วอารมณ์เสีย
อันนี้ไม่รู้เล่าไปแล้วยัง ว่าเพื่อนผู้หญิงคนนี้มีอาการประเภท “เขารักฉัน” ตอนแรกดิฉันนึกว่าดิฉันเป็นคนที่มีปัญหาที่สุดในกลุ่มแล้ว เพราะดิฉันชอบมีอาการประเภท “ฉันรักผัวเขา” ชอบผัวคนโน้นผัวคนนี้ไปทั่ว ดิฉันก็บอกกับเพื่อนๆว่า ดิฉันมีอาการน่าเป็นห่วงมาก เพื่อนๆในกลุ่มก็เลยบอกว่า “โอ๊ย อย่างหล่อนน่ะเหรอ ยังสู้อี...ไม่ได้หรอก อีนั่นน่ะเป็นโรค ‘เขารักฉัน’” เพราะเธอชอบคิดไปเองว่าผู้ชายคนโน้นก็มาชอบเธอ ผู้ชายคนนี้ก็มาชอบเธอ เธอจะทำอย่างไรดี จะเลือกคนโน้นดี หรือจะเลือกคนนี้ดี ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้มีใครชอบเธอจริงๆสักคน เธอหลงนึกไปเองหมด เพื่อนๆบอกว่าอาการ “เขารักฉัน” นี่ร้ายแรงกว่าอาการ “ฉันรักผัวเขา” ของดิฉันอย่างมากๆ เพราะอาการ “ฉันรักผัวเขา” นี่ยังเป็นอาการของคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อาการ “เขารักฉัน” นี่เป็นอาการของคนที่หลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปแล้ว
--ในเว็บบอร์ด bioscope ได้คุยกับคุณ TAIKI SAKPISIT ผู้กำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง BUNGALOW-ZEN: THE AMERICAN TRILOGY (A) ค่ะ ได้เข้าไปดู BLOG ของเขาด้วย เขาถ่ายภาพสวยมากๆ ลองเข้าไปดู BLOG ของเขาได้ที่
http://bungalowzen.blogspot.com/
ส่วนกระทู้ที่คุยกับคุณ TAIKI อยู่ที่นี่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=25354
--เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลอน ONE ART ในหนังเรื่อง IN HER SHOES (A+)
ตามความเข้าใจและจินตนาการของตัวดิฉันเอง ผู้เขียนกลอนบทนี้สูญเสียเพื่อนไป และเธอรู้สึกว่าการสูญเสียเพื่อนในครั้งนี้มันร้ายแรงมาก มันสาหัสสากรรจ์มาก มันก่อให้เกิดความรู้สึกเลวร้ายอย่างรุนแรงจนไม่รู้จะพรรณนาว่ายังไง เธอก็เลยได้แต่ปลอบใจตัวเอง ได้แต่หลอกตัวเอง ว่า “โอ๊ย การสูญเสียมันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ยากหรอก” แต่เธอก็ปลอบตัวเอง หลอกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะพอมาถึงประโยคสุดท้ายของกลอนนี้ คำว่า “write it!” คำนี้นี่แหละที่ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้แทบจะจดปากกาลงบนหน้ากระดาษไม่ได้อีกต่อไป ก้อนสะอื้นมันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย น้ำตามันคงเอ่อล้นอยู่เต็มทำนบดวงตา จนเธอถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า “เขียนมันลงไป เขียนมันลงไปให้ได้ เขียนมันลงไปสิ เขียนมันลงไปให้จบ” เธอต้องฝืนตัวเองเป็นอย่างมากในการที่จะเขียนคำสุดท้ายที่สะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงในตัวเองลงไป คำที่เธอพยายามจะบอกว่า “มันไม่จริงหรอก ฉันอาจจะรู้สึกคล้ายๆกับว่าการสูญเสียเพื่อนเป็นสิ่งที่เลวร้าย เป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่หายนะแต่อย่างใด มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่” เธอพยายามจะปิดกั้นความรู้สึกโศกเศร้าของตัวเอง เธอพยายามจะบอกตัวเองให้ “รู้สึก” ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเธอเองจริงๆกำลังรู้สึก แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ ในที่สุดเธอก็ต้องยอมรับกับใจตัวเองว่าการสูญเสียเป็นหายนะครั้งใหญ่จริงๆ
ชอบกลอนนี้มาก เพราะผู้เขียนเขียนในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเอง เขียนให้เว่อๆเข้าไว้ เพื่อจะได้พยายามหลอกตัวเองให้ได้ แต่ในที่สุด ผู้เขียนก็ต้องพ่ายแพ้แก่ความรู้สึกของตัวเองในตอนจบ
ถ้าหากอ่านกลอนนี้แค่สามบรรทัดแรก อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าผู้เขียนกลอนนี้คิดว่าการสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากอ่านต่อไปเรื่อยๆ เห็น “ความเว่อ” ของการทดลองสูญเสียของผู้เขียน ก็จะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่เขียนไว้ แต่หมายความในทางตรงกันข้าม เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนถ้าหากเราสูญเสียอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไป แต่ผู้เขียนบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่นแสดงว่าผู้เขียนกำลังพยายามหลอกตัวเองเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง กำลังพยายามฝืนใจตัวเองในเรื่องบางเรื่องอยู่
และพอมาถึงบทสุดท้าย เราก็เข้าใจได้ว่าผู้เขียนพยายามจะหลอกตัวเองเรื่องอะไร เพราะสิ่งที่ผู้แต่งกลอนนี้รู้สึกจริงๆก็คือว่า “Losing you is like disaster, but I just tried to lie to myself that it’s not a disaster.”
(อันนี้ไม่ใช่การแปลกลอนนะคะ แต่เป็นการ “ดัดแปลง” ตามความรู้สึกของตัวเอง)
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
เพราะหลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนจะจงใจทำให้ตัวเองสูญหาย
จนกระทั่งการสูญเสียมันไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ลองทำของหายทุกวันดูสิ และยอมรับความรู้สึกอารมณ์เสีย
เมื่อเราทำกุญแจประตูหาย เมื่อเราเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆชั่วโมงนึง
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
หลังจากนั้นก็ฝึกฝนตัวเองให้สูญเสียมากยิ่งขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น
ลองลืมสถานที่ ลองลืมชื่อคน ลองลืมซิว่าคุณตั้งใจ
จะเดินทางไปที่ใด การสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ฉันเคยทำนาฬิกาของแม่หาย และดูสิ บ้านหลังสุดท้าย หรือ
บ้านก่อนหลังสุดท้าย ในบรรดาบ้านที่ฉันรักสามหลังได้จากฉันไปแล้ว
ไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ฉันสูญเสียเมืองไปสองเมือง เมืองที่น่ารักเสียด้วย และ ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น
ฉันสูญเสียอาณาจักรบางแห่งที่ฉันเคยครอบครอง สูญเสียแม่น้ำสองสาย ทวีปหนึ่งทวีป
ฉันคิดถึงสถานที่เหล่านั้นนะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
--แม้แต่การสูญเสียเธอ (เสียงที่เล่าเรื่องน่าขัน อากัปกิริยา
ที่ฉันรัก) ฉันไม่ได้พูดปดในเรื่องนี้เลยนะ เห็นได้ชัดเลยว่า
ไม่ยากเกินไปเลยที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสูญเสีย
ถึงแม้ฉันอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่า (เขียนมันลงไปสิ) มันคือหายนะก็ตาม
ตอบคุณเจ้าชายน้อย
เคยดู FACE (A-) ของ JUNJI SAKAMOTO เมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนมาฉายในเทศกาล BANGKOK FILM FESTIVAL ที่เอ็มโพเรียม เป็นหนังที่ชอบพอสมควร เดาเนื้อหาในหนังไม่ค่อยได้ด้วย
ฉากที่นางเอกจินตนาการว่ากินข้าวอยู่กลางทุ่งกับยีราฟเป็นฉากที่ติดตามากๆ
ชอบ RIHO MAKISE ที่เล่นเป็นน้องสาวนางเอกมากๆเหมือนกัน รู้สึกว่าเธอเคยเป็นนักร้องมาก่อน เพิ่งได้เห็นเธออีกครั้งในหนังเรื่อง A BOY’S SUMMER IN 1945 (2002, KAZUO KUROKI, A+) รู้สึกว่าเธอยังคงดูน่าสนใจเหมือนเดิม รู้สึกว่าเธอร่วมแสดงใน HINOKIO (2005, TAKAHIKO AKIYAMA) ที่ลงโรงฉายในตอนนี้ด้วยนะ
ใน FACE มีอยู่ช่วงนึงที่นางเอกเดินทางไปเจอกับผู้หญิงแปลกหน้าที่มาทำดีกับนางเอก แล้วตอนหลังนางเอกถึงค้นพบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฆาตกรนักแปลงโฉม รู้สึกว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้ในหนังน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคดีจริงๆในญี่ปุ่น เพราะเคยอ่านในหนังสือพิมพ์ว่าที่ญี่ปุ่นมีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่เวลาฆ่าใครเสร็จ เธอก็จะพยายามลอกเลียน IDENTITY ของเหยื่อที่ตัวเองฆ่าไปด้วย เพราะฉะนั้นรูปพรรณของฆาตกรหญิงคนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และทำให้ตามจับได้ยากมาก (อาจจะคล้ายๆกับฆาตกรโรคจิตเพศชายใน TAKING LIVES) แต่ตอนนี้ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าฆาตกรคนนี้มีสมญานามว่าอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะ SEARCH หาข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวนักฆ่าคนนี้อย่างไรดี
จริงๆแล้วเนื้อหาตรงช่วงนั้นใน FACE รู้สึกว่าน่าสนใจดี เพราะนางเอกก็เป็นฆาตกรเหมือนกัน เรียกได้ว่าฉากนั้นเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างฆาตกรหญิงกับฆาตกรหญิง แต่ปรากฏว่าทั้งสองไม่ได้ห้ำหั่นกันแต่อย่างใด
ตอบน้อง merveillesxx
เข้าไปอ่านใน blog ของน้องแล้ว เข้าใจว่าตอนนี้น้องคงนอนนิ่งๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องจะได้เข้ามาอ่านข้อความนี้เมื่อไหร่ และปัญหาชีวิตรักจะคลี่คลายไปในทิศทางใด แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดีนะคะ
ข้างล่างนี้เป็นการตอบแบบเล่นๆ
เพลง SOUNDTRACK ที่อาจเอามาใช้ประกอบชีวิตของน้องในช่วงนี้ รวมถึงเพลง
1. DAYS LIKE THIS ของ SHEENA EASTON ที่บอกว่าในบางช่วงของชีวิต เราจะต้องเจออะไรที่มันหนักหนาสาหัสมากๆจนทำให้เราแทบจะยอมแพ้ แต่เราก็จะต้อง “เข้มแข็ง” ให้มากเป็นพิเศษเพื่อผ่านช่วงนี้ไปให้ได้
THERE WOULD BE DAYS LIKE THIS
THERE WOULD BE TIME WHEN YOU JUST CAN’T GO ON
THERE WOULD BE SECONDS OF MINUTE
MINUTES OF HOUR
THAT’S WHEN YOU’VE GOT TO BE STRONG
2. เพลง TELEFONE (LONG DISTANCE LOVE AFFAIR) ของ SHEENA EASTON ซึ่งเป็นเพลงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในยุคที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กัน
http://www.amazon.com/gp/product/B000002T0V/qid=1137768475/sr=8-1/ref=pd_bbs_1/002-0470505-2058429?n=507846&s=music&v=glance
I've been away from you for far too longToo much chances make my heart go franticI wanna tell you what's been goin' onOperator give me Trans AtlanticI sit alone as the night goes byStare at the phone and wait for your replyLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohWhat in the world's comin' over youHow come you're acting like a total strangerI try to reach you but I can't get throughI got this feeling that my heart's in dangerI got your letter it was perfectly clearHavin' a ball, and wishin' you are hereLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never homeI gotta get a message to youI wanna tell youWhat I'm going through, ooh-ohPremonition is a funny thingA familiar kind of pain and easyLike knowin' when the phone is gonna ringToo many times and it'll drive you crazyI hear your echo in the longer hallCall out your nameBut no-one's there at allLong, long distance love affair, ooh-ohI can't find you anywhere, ooh-ohI call you on the telefoneBut you're never home
--ถ้าเล็บของน้องเริ่มดีขึ้นแล้ว ขอแนะนำให้น้องเข้าร้านทำเล็บค่ะ การทำเล็บจะช่วยให้น้องมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก อย่าลืมไปทำเล็บมาให้สวยๆเลยนะคะ
--ส่วนเรื่องที่อาจจะมีบางคนไม่ชอบสิ่งที่น้องเขียนนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ถ้าน้องทำอะไรผิด แล้วมีคนมาชี้จุดที่น้องทำผิดให้รู้ตัว เราก็จะได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าน้องไม่ได้ทำผิดอย่างที่เขากล่าวหา ก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร น้องจงคิดซะว่าขนาด “อายูมิ ฮามาซากิ” ยังมีคนที่ไม่ชอบเธอตั้งมากมายหลายคน น้องจงคิดซะว่าตัวเองก็เหมือนกับอายูมิ ฮามาซากิ มีหลายคนที่ชอบและมีหลายคนที่ไม่ชอบ แต่เธอก็ยังคงผลิตผลงานใหม่ๆออกมาอย่างมากมาย ไม่ได้ท้อถอย และไม่ได้เสียเวลาไปกับการกังวลว่าคนจะเกลียดชังเธอมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่น้องพบว่ามีคนไม่ชอบน้อง แล้วน้องรู้สึกท้อถอย ไม่มั่นใจในตัวเอง และหมดกำลังใจ น้องจงคิดซะว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ ถ้าหากจะมีคนไม่ชอบฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา” หรือไม่น้องก็ตะโกนออกมาดังๆให้คนแถวนั้นได้ยินกันทั่วว่า “ฉันคืออายูมิ ฮามาซากิ” แล้วน้องก็จะรู้สึกดีขึ้นและกลับมามั่นใจในตัวเองตามเดิมค่ะ แต่ถ้าหากคนแถวนั้นช่วยกันจับน้องส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ไม่ต้องมาโทษว่าเป็นเพราะคำแนะนำของดิฉันนะคะ :-)
Friday, January 20, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment