Sunday, September 24, 2006

WINTER IN JULY

ต้องขอขอบคุณน้อง merveillesxx เป็นอย่างยิ่งค่ะที่อุตส่าห์จุดธูปเรียกดิฉันขึ้นมาจากหลุม แถมยังให้ของเซ่นไหว้แก่ดิฉันเป็นรูปของน้อง TSUMABUKI อีกต่างหาก
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3725

ช่วงนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนถึงหนังเลยค่ะ จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ทำงานก็ไม่มีสมาธิ ดูหนังก็ไม่มีสมาธิ แต่ก็ยังคงออกไปดูหนัง และจะพยายามเขียนถึงหนังบ้างเป็นครั้งคราว เพราะดิฉันคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ใดๆในชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ การได้ฆ่าเวลาไปกับการอยู่ในโลกของหนังในช่วงนี้ อาจจะช่วยให้ดิฉันผ่านพ้นเวลาช่วงนี้ไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการกลัดกลุ้มกับปัญหาที่ตัวเองไม่มีทางแก้ได้

รู้สึกเหมือนช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเองแก่ลงไปสิบปี

หนังที่ได้ดูในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

1.THE CHILD (2005, JEAN-PIERRE DARDENNE + LUC DARDENNE, A+)

ชอบช่วงครึ่งหลังของเรื่องมาก ที่เน้นไปที่เรื่องของพระเอกกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ฉากที่ทำให้ดิฉัน “ลุ้น” ที่สุดในหนังเรื่องนี้คือฉากที่พระเอกพยายาม “ให้ความอบอุ่นทางร่างกาย” แก่เด็กหนุ่มอีกคน โฮะๆๆๆๆ


2.WORK HARD, PLAY HARD (2003, JEAN-MARC MOUTOUT, A+)

หนังเรื่องนี้ก็นำแสดงโดย JEREMIE RENIER เหมือนกับ THE CHILD ดิฉันได้ดูหนังสองเรื่องนี้ติดๆกัน และก็รู้สึกว่า JEREMIE RENIER เล่นได้สุดยอดมากๆ ทั้งสองเรื่อง ดิฉันรู้สึกว่าเขาแสดงได้ดีใน THE CHILD แต่บทชายหนุ่มไร้ที่ยึดเหนี่ยวของเขาใน THE CHILD ก็คล้ายคลึงกับบทที่เขาเคยแสดงมาแล้วใน THE THIRD EYE (2002, CHRISTOPHE FRAIPONT, A+) จนแทบจะเหมือนกับว่าเป็นตัวละครคนเดียวกัน ก็เลยทำให้ดิฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นสุดขีดกับการแสดงของเขาใน THE CHILD มากนัก แต่บทของ JEREMIE RENIER ใน WORK HARD, PLAY HARD เป็นบทที่มีบุคลิกแตกต่างจากใน THE CHILD อย่างสิ้นเชิง เพราะในเรื่องนี้เขารับบทเป็นหนุ่มออฟฟิศผมทองหน้าตาใส และดวงตาของเขาดูมีความหวังและดูฉ่ำมากในช่วงต้นๆของเรื่อง มันช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากดวงตาของเขาใน THE CHILD ที่ดูแห้งผากและสิ้นหวังต่อชีวิต

อย่างไรก็ดี บทของ JEREMIE RENIER ในหนังสามเรื่องนี้ก็มีจุดที่เหมือนกัน เพราะทั้งสามเรื่องนี้เขาต่างรับบทเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการหาเลี้ยงชีพอย่างรุนแรง

ถึงแม้เขาจะรับบทเป็นหนุ่มออฟฟิศชนชั้นกลางใน WORK HARD, PLAY HARD เขาก็ได้เรียนรู้ว่า การที่เขาจะได้ทำงานมีเงินเดือนต่อไปนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใดเลย มันต้องแลกกับทั้งความรัก, ชีวิตครอบครัว, มนุษยธรรม การที่เขาจะได้ทำงานต่อไปนั้น มันต้องแลกกับการที่เขาต้องทำให้คนอีก 80 คนตกงานให้ได้

หนังเรื่องนี้พูดถึงความกลัวที่พนง.บริษัทเอกชนหลายคนคงสัมผัสเข้าใจได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือความกลัวที่ว่าตัวเองอาจจะถูกไล่ออกจากงานได้ทุกเมื่อ

ฉากที่ซึ้งที่สุดใน WORK HARD, PLAY HARD คือฉากที่ SUZANNE (MARTINE CHEVALIER) ซึ่งเป็นผู้หญิงวัย 50 กว่าปีต้องไปสมัครงานใหม่ และต้องเจอกับคู่แข่งที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนอีกหลายคน มันเป็นฉากที่น่าเศร้ามาก ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยได้เห็นฉากหญิงสาววัย 20-30 กว่าปีต้องไปเข้าคิวยาวเพื่อสมัครงานในหนังฝรั่งเศสราว 2-3 เรื่อง ดิฉันเคยรู้สึกว่าฉากดังกล่าวมันน่าเศร้ามาก แต่มันอาจจะไม่น่าเศร้าเท่ากับฉากหญิงวัย 50 กว่าปีต้องไปหางานใหม่ทำในหนังเรื่องนี้

คิดว่าประเด็นเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพที่สวนทางกับชีวิตครอบครัว เป็นประเด็นที่พบได้บ่อยมากในหนังหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง CLICK (B+) และเดาว่าคงได้รับการนำเสนอในภาพยนตร์เรื่อง “THE DEVIL แดกปลาร้า” ด้วยเช่นกัน แต่รู้สึกว่า WORK HARD, PLAY HARD หาทางออกให้ตัวละครได้ดี และดีที่หนังเรื่องนี้จบโดยไม่ต้องมีการกล่าวสุนทรพจน์ของพระเอกแบบในหนังเรื่อง IN GOOD COMPANY (2004, PAUL WEITZ, A)


3.DINING TIME (2006, SHIGEAKI IWAI, A)

อันนี้เป็นงาน INSTALLATION ที่ JAPAN FOUNDATION โดยมีการฉายวิดีโอการกินข้าวในรูปแบบต่างๆลงบนโต๊ะกินข้าว 3 โต๊ะ รู้สึกชอบไอเดียนี้มากๆที่มีการดัดแปลง “โต๊ะกินข้าว” ให้กลายเป็นจอภาพยนตร์ได้ด้วย


4.WORLD TRADE CENTER (2006, OLIVER STONE, A)


5.REINCARNATION (2005, TAKASHI SHIMIZU, A)
http://www.imdb.com/title/tt0456630/
เห็นด้วยกับคุณอ้วนที่ว่า หนังเรื่องนี้มีแนวคิดบางอย่างคล้าย COLIC เด็กเห็นผี (2006, พัชนนท์ ธรรมจิรา, A+)


6.DRAGON SQUAD (2005, DANIEL LEE, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0446313/


7.YUMECHIYO (1985, KIRIRO URAYAMA, A-)


8.RE-CYCLE (2006, OXIDE PANG + DANNY PANG, B+)


--ความรู้สึกในช่วงนี้

รู้สึกดีใจมากที่ได้เจอคุณ LUNAR กับคุณเก้าอี้มีพนักที่สมาคมฝรั่งเศสขณะไปดู WORK HARD, PLAY HARD เมื่อวันเสาร์ เพราะถึงแม้เราสามคนจะไม่ได้เจอกันแค่ 1 สัปดาห์ แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามันเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่รุนแรงมาก และทำให้ดิฉันรู้สึกราวกับว่าพวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมานาน 1 ปี ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นลูกสาวที่พลัดพรากกับคุณพ่อ (คุณ LUNAR) และคุณแม่ (คุณเก้าอี้มีพนัก) ในยามสงคราม (พยายามอุปมาอุปไมยให้ตัวเองดูมีอายุน้อยค่ะ โฮะๆๆๆๆ) และได้กลับมาเจอกันอีกครั้งขณะที่สงครามยังคงดำเนินต่อไป

หลังจากดูหนังเสร็จ ก็เลยไปนั่งคุยกันต่อที่สีลมจนเกือบถึงเที่ยงคืน รู้สึกดีมากๆเลย และทำให้นึกถึงสมัย 5-6 ปีก่อน ที่ดิฉัน, คุณสนธยา กับเพื่อนๆคุณสนธยามักจะมาเจอกันบ่อยๆที่ GOETHE INSTITUTE กับสมาคมฝรั่งเศสเพื่อดูหนัง และหลังจากดูหนังเสร็จ พวกเราก็จะไปนั่งคุยกันต่อที่สีลมจนถึงตีหนึ่งตีสอง

แต่น่าเสียดายที่ร้าน BASKIN ROBBINS ที่สีลม ที่พวกเรามักใช้เป็นสถานที่คุยกันในยามวิกาล กำลังจะปิดกิจการลงเสียแล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดิฉันก็เลยเล็งๆไว้ว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฝนตกขี้หมูไหล และพวกเราได้มาเจอกันที่สมาคมฝรั่งเศสอีก สถานที่ที่พวกเราอาจใช้คุยกันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นที่ BURGER KING แทน เพราะรู้สึกว่าที่สาขาสีลมจะปิดตี 3 (หวังว่าเมืองไทยคงไม่มีการประกาศภาวะการ์ฟิลด์ หรืออะไรทำนองนี้ในอนาคตอันใกล้นะ)


--ช่วงนี้นึกถึงประโยคที่คิดว่าตัวเองน่าจะเคยได้อ่านจากนิยายของ “ทมยันตี” แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร บางทีอาจจะเป็นเรื่อง “ล่า” ประโยคนั้นออกมาในทำนองที่ว่า “เวลาที่คนเราหัวเราะ เขาจะรู้ตัวไหมนะว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้หัวเราะ เพราะหลังจากนั้นชีวิตของเขาอาจจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมนอนธกาล จนเขาไม่มีความสามารถที่จะหัวเราะแบบเดิมได้อีก”

รู้สึกว่าช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว เป็นหนึ่งในสุดสัปดาห์ที่มีความสุขมาก ได้ดูหนัง+ละครเวทีกับเพื่อนๆที่แสนดี, ได้เขียนถึงเทศกาลหนังโตรอนโต และได้อ่านที่น้อง merveillesxx เขียนถึง THINGS YOU CAN’T TELL JUST BY LOOKING AT HER BREASTS เอ๊ย ไม่ใช่ HER EYES เป็นสุดสัปดาห์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสำหรับดิฉัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าไหร่ที่จะยิ้มและหัวเราะแบบสุดสัปดาห์ที่แล้วได้อีก

“เหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถหัวเราะแบบเดิมได้อีกต่อไป” ทำให้นึกถึงอีกเหตุการณ์นึงที่เกิดขึ้นกับดิฉันสมัยม.ปลาย มันเป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันไม่ได้คิดถึงมานานแล้ว แต่หนังเรื่อง SEASONS CHANGE เพิ่งทำให้ดิฉันหวนรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาได้อีกครั้ง

ใน SEASONS CHANGE มีเนื้อหาช่วงนึงที่พระเอกบอกกับเพื่อนๆว่าเขาไม่สามารถลงแข่งประกวดวงดนตรีกับเพื่อนๆได้ แต่เพื่อนๆของพระเอกก็ดูจะไม่ได้รับความลำบากเดือดร้อนจากการกระทำของพระเอกมากนัก พวกเขาดูเหมือนจะสามารถหามือกลองคนใหม่มาแทนพระเอกได้อย่างง่ายดาย และประสบความสำเร็จในการแข่งขันได้อย่างไม่ยากมากนัก พวกเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรพระเอกสักเท่าไหร่

เหตุการณ์นั้นทำให้ดิฉันนึกถึงประสบการณ์แบบ coming of age ของตัวเองสมัยม.ปลาย ดิฉันยังจำวันนั้นได้ดี วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันกับเพื่อนๆหัวเราะกันอย่างสุดเสียง ตอนกลางวันวันนั้นพวกเราคุยเรื่องโฆษณานีเวียกัน และก็พยายามล้อเลียนโฆษณานี้กันอย่างสนุกสนานในช่วงพักเที่ยง ดิฉันยังจำได้ดีว่า ช่วงพักเที่ยงวันนั้น ดิฉันหัวเราะอย่างรุนแรงเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานมากๆ บางทีอาจจะเป็นการหัวเราะที่ยาวนานที่สุดในชีวิตดิฉัน

แต่อยู่ดีๆช่วงบ่าย ดิฉันก็ได้ทราบความจริงว่า เพื่อนสนิทบางคนที่ร่วมหัวเราะกับดิฉันในช่วงพักเที่ยงวันนั้น ไม่ยอมให้ดิฉันกับเพื่อนๆอีกกลุ่มนึงเข้าร่วมทีมกีฬาเดียวกัน (การแข่งขันกีฬาเป็นทีมในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนวิชาพละศึกษา) ทั้งๆที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะอยู่ทีมเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดมากๆ ดิฉันกับเพื่อนๆกลุ่มที่โดนทิ้งสามารถหาทีมใหม่ได้อย่างไม่ยากมากนัก การโดนทิ้งในครั้งนั้นไม่ได้สร้างความลำบากทางร่างกายอย่างรุนแรงให้แก่ดิฉันแต่อย่างใด แต่มันทำให้ดิฉันร้องไห้ที่ได้เรียนรู้ว่า คำสัญญาของเพื่อนสนิทเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้เลย

หลังจากนั้นดิฉันก็เลยไม่สามารถหัวเราะแบบสุดเดชอย่างวันนั้นได้อีก เพราะพอเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกอยากหัวเราะอย่างสุดเดชขึ้นมาทีไร ก็จะต้องหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นทุกครั้ง และทำให้เสียงหัวเราะของดิฉันต้องหยุดลงโดยอัตโนมัติทุกครั้ง

ในช่วงเย็นวันนั้น ดิฉันรู้สึกอยากร้องไห้มากๆที่โดนเพื่อนสนิททิ้งทั้งๆที่สัญญากันไว้แล้ว แต่ปรากฏว่า “ISABELLA” ซี่งเป็นเพื่อนผู้ชายอีกคนที่โดนทิ้งเหมือนกับดิฉัน เขากลับไม่มีอาการโศกเศร้าแต่อย่างใดเลย เขาพูดทำนองที่ว่า “มันก็อย่างนี้แหละ” ISABELLA มองว่าการถูกเพื่อนสนิทโกหกหรือการถูกเพื่อนสนิททิ้งมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ดิฉันงงกับปฏิกิริยาของเขามาก แต่มันก็ทำให้ดิฉันหยุดร้องไห้และเลิกสงสารตัวเอง มันทำให้ดิฉันได้ตระหนักในความจริงที่ว่า ความทุกข์ของดิฉันไม่ได้เกิดจากการที่ดิฉันถูกเพื่อนสนิทโกหกหรือถูกเพื่อนสนิททอดทิ้ง แต่มันเกิดจากการที่ดิฉัน “คาดหวัง” ไปเองว่าเพื่อนสนิทจะต้องไม่ผิดคำสัญญาและจะไม่ทิ้งเรา ถ้าหากดิฉันไม่คาดหวังอย่างนี้เสียตั้งแต่แรก ดิฉันก็จะไม่เป็นทุกข์ และจะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ

ถ้าหากชีวิตดิฉันเป็นหนัง ดิฉันคิดว่าเหตุการณ์วันนั้นคงจะเป็นเหตุการณ์ประเภทหนึ่งที่ทำให้ดิฉันได้ COMING OF AGE เพราะหลังจากวันนั้น ดิฉันก็เปลี่ยนไป และดิฉันก็ได้คบหากับเพื่อนสนิทกลุ่มเดิมกลุ่มนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ดิฉันพบว่าในภายหลังตัวดิฉันเองก็ทำตัวไม่แตกต่างจากเพื่อนสนิทที่ในหลายๆครั้งก็โกหกหรือผิดคำสัญญาต่อเพื่อนสนิทด้วยกันเอง ดิฉันไม่ได้ดีไปกว่าเขาแต่อย่างใดเลย

(ถ้าหากในอนาคตดิฉันทรยศด้วยการแย่งผัวใครในเว็บบอร์ด SCREENOUT ก็ขอให้ถือว่าดิฉันได้เตือนท่านไว้ล่วงหน้าแล้วนะคะ ฮ่าๆๆๆๆ)


และถึงแม้ดิฉันจะไม่สามารถหัวเราะแบบเดิมได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ แต่บทเรียนที่ดิฉันได้รับในวันนั้นก็ทำให้ดิฉันมีความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะดิฉันได้เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังให้คนอื่นพูดจริงหรือรักษาคำสัญญาต่อเราอีก เมื่อดิฉันไม่คาดหวังอย่างนั้นเสียตั้งแต่แรก ดิฉันก็เลยไม่เป็นทุกข์

เหตุการณ์นี้ยังทำให้นึกถึงละครโทรทัศน์ชุด “นางพญากระบี่มาร” ที่นำแสดงโดยกงฉือเอินด้วย รู้สึกว่าในละครเรื่องนั้น กงฉือเอินจะสอนลูกศิษย์ว่า “เราต้องทรยศผู้อื่น ก่อนที่ผู้อื่นจะทรยศเรา” แต่ดิฉันไม่ได้ยึดถือคำสอนของละครฮ่องกงมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตหรอกค่ะ ดิฉันคิดแต่เพียงแค่ว่า “เราต้องคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอว่าผู้อื่นจะทรยศเรา และพร้อมจะให้อภัยเขา ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ”

รู้สึกชอบมากที่หนังเรื่อง SEASONS CHANGE ช่วยทำให้ดิฉันรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเหตุการณ์ใน SEASONS CHANGE มันก็แตกต่างจากเหตุการณ์ในชีวิตดิฉันมากพอสมควรเหมือนกัน

ขอแถมด้วยมิวสิควิดีโอเพลง LOVE, TRUTH & HONESTY ของ BANANARAMA ที่เนื้อหาน่าจะเข้ากับข้อความข้างต้น ดูมิวสิควิดีโอได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=D4Nv2OzTzoQ




ข้อคิดเรื่อง “เราไม่รู้ตัวหรอกว่าการหัวเราะของเราในครั้งนี้ อาจจะเป็นการหัวเราะครั้งสุดท้ายในชีวิตเรา” ยังทำให้ดิฉันได้ฉุกคิดอีกด้วยว่า หลายครั้งที่ดิฉันมีความสุข ดิฉันมักจะลืมนึกเสมอว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ความสุขสุดๆที่เรามีอยู่ในตอนนี้ มันอาจจะมลายสลายหายไปในพริบตาได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุข ก็ขอให้เราทำใจไว้ล่วงหน้าไปพร้อมๆกันว่า เราอาจจะไม่มีทางมีความสุขอย่างนั้นอีกเลยก็ได้ในวันรุ่งขึ้น
Make the best of what's given youEverything will come in timeWhy deny yourself?Don't just let life pass you byLike winter in July

ประโยคข้างบนมาจากเพลง WINTER IN JULY ของวง BOMB THE BASS ค่ะ เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิต

อ่านเนื้อเพลง WINTER IN JULY ได้ที่
http://brainwashed.com/btb/lyrics_unknown.html

ฟังเพลงนี้+ดูมิวสิควิดีโอเพลง WINTER IN JULY ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=NVSwDTq57KU



ตอบคุณ OLIVER

ได้เข้าไปอ่าน BLOG ของคุณ THE AESTHETICS OF LONELINESS แล้วค่ะ แล้วก็พบว่าที่แท้เขาเรียนบัญชีปีเดียวคณะเดียวกับดิฉันนี่นา

2 comments:

FILMSICK said...

แวะมาอ่านครับ

สงสัยต้องไปแจมscreenout มั่งแล้วดิ

แต่ตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเขียนถึงหนังอะไรเลยครับ

รัด ปะ หาร ทำเอาเสียศูนย์ไปหมด

เอ้อ ไปดูทองปานกันปะครับ ผมว่าจะไป

celinejulie said...

มาสิ มาแจมในสกรีนเอาท์กัน

ส่วน "ทองปาน" เราคงไม่ไปดู เพราะเคยดูแล้วเมื่อหลายปีก่อน ชอบมากเหมือนกัน แต่ตอนนี้เราเริ่มนึกไม่ออกแล้วว่าหนังเรื่องนี้มีรายละเอียดอะไรบ้าง