ECLIPSES (2012, Daniel Hui, Singapore, A+30)
(คัดลอกมาจากที่เขียนคุยกับ Facebook friend คนนึง)
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ชอบ ECLIPSES มากที่สุดในบรรดาหนังที่ได้ดูมาในปีนี้
เป็นเพราะว่า
1.รู้สึกว่า wavelength ของหนังมันตรงกับของผมน่ะครับ ซึ่งเรื่อง wavelength
นี้เป็นสิ่งที่ผมไม่มีคำอธิบายเหมือนกัน
แต่มันจะมีหนังบางเรื่องที่พอเราดูปุ๊บ แล้วเราจะรู้สึกว่าหนังมันทำให้เรารู้สึกดีกับมันอย่างมากๆน่ะครับ
โดยที่เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร
หนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงครับ
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงรู้สึกดีมากๆกับเกือบทุกฉากในหนังเรื่องนี้
แต่ผมเรียกความรู้สึกทำนองนี้ว่าเป็นเพราะคลื่นความถี่ของเรากับของหนังมันตรงกันครับ
ซึ่งแน่นอนว่าคลื่นความถี่ของผู้ชมแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป
เพราะฉะนั้นหนังที่กระแทกใจผู้ชมแต่ละคนจึงไม่ตรงกัน
2.มีฉากนึงที่ทำให้ผมร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุในหนังเรื่องนี้ครับ
ซึ่งก็คือฉากที่นางเอก (ผู้หญิงที่สามีตาย) นั่งรถไฟไปเรื่อยๆในช่วงต้นเรื่อง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงร้องไห้กับฉากนี้ ผมคิดว่าผู้กำกับเองก็คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ผู้ชมร้องไห้กับฉากนี้เหมือนกัน
แต่ฉากนี้อยู่ดีๆมันก็กระแทกผมอย่างรุนแรงน่ะครับ
ฉากนี้มันกระตุ้นให้ผมจินตนาการถึงความทุกข์ของนางเอก
ความทุกข์ของคนที่สูญเสียสามีสุดที่รักไปก่อนเวลาอันควร
หรือความทุกข์ประเภทอื่นๆก็ได้
ความทุกข์ของคนธรรมดาคนนึงที่ไม่ว่าเขาจะมีความทุกข์มากเพียงใด
เขาก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตของตนเองต่อไป
เขาต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจประจำวันต่อไป ชีวิตของเขาต้องดำเนินต่อไป
ชีวิตของคนรอบข้างเขาก็ต้องดำเนินต่อไป รถไฟก็แล่นต่อไป
ไม่ว่าความทุกข์ในใจของเขาจะมากเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมในฉากนี้ก็คือ
การที่ฉากนี้จริงๆแล้วแทบไม่ได้แสดงความเศร้าหรือความทุกข์ระทมออกมาตรงๆเลย
แต่อยู่ดีๆผมก็จินตนาการถึงความทุกข์เศร้าในใจของนางเอกไปเองอย่างมากมาย
แล้วก็ร้องไห้กับฉากนี้ แน่นอนว่าคงมีผู้ชมหลายคนรู้สึกเฉยๆกับฉากนี้
ส่วนผมเองนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมฉากนี้ถึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผมแบบนี้ได้
บางทีสาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะว่าฉากนี้ทำให้ผมนึกถึงตัวเองก็ได้ครับ
พอผมเห็นนางเอกในฉากนี้ ผมก็นึกถึงตัวเองเวลานั่งรถไฟฟ้า แล้วเวลาที่ผมนั่งรถไฟฟ้า
ในใจของผมอาจจะเต็มไปด้วยความคิดความรู้สึกอะไรมากมาย
แต่ผมก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้าอย่างตรงๆ เวลาผมนั่งรถไฟฟ้า
ในบางครั้งใจผมอาจจะเต็มไปด้วยความเศร้าอย่างมากมาย, ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย,
ความรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิต, ความรู้สึกโกรธเกลียดชิงชังใครบางคน,
ความรู้สึกปลาบปลื้มปีติกับอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางคำพูด
เพราะผมคงไม่พูดกับตัวเองบนรถไฟฟ้า และผมก็คงไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้าอย่างตรงๆ
แต่พยายามทำสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงก็ตาม
พอผมเห็นนางเอกของ ECLIPSES ในฉากนี้
ผมก็เลยนึกถึงตัวเองเหมือนกันครับ มันเป็นความขัดแย้งระหว่าง
“สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางสายตา” กับ “ความรุนแรงที่อยู่ภายในใจ” พอผมเห็นฉากนี้ ผมก็เลยชอบมากครับ
เพราะมันเปิดโอกาสให้ผมจินตนาการถึงความทุกข์เศร้าในใจของนางเอกได้อย่างเต็มที่
และมันก็เป็นฉากที่ไม่ค่อยปรากฏในหนังเรื่องอื่นๆ
เพราะหนังเรื่องอื่นๆมักจะแสดงความเศร้าออกมาอย่างตรงๆมากกว่านี้ หรือไม่ได้มีฉากที่กระตุ้นจินตนาการผมได้มากเท่านี้
การที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมร้องไห้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผมนึกถึงหนังอีกสองเรื่องที่ผมชอบสุดๆในปีนี้ด้วยครับ
ซึ่งก็คือเรื่อง “ความลำบากยากเย็นในช่วงชีวิตของนายบิว” (2013, ธนพฤทธิ์
ประยูรพรหม) กับ “รังไหมดิบ สยาม ไทรโศก” (2013, ธีรนิติ์ เสียงเสนาะ)
เพราะหนังสองเรื่องนี้ก็ทำให้ผมร้องไห้โดยที่ผู้กำกับคงไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน
โดยในกรณีของ “ความลำบากยากเย็นในช่วงชีวิตของนายบิว” นั้น
ผมร้องไห้ให้กับสิ่งที่ตัวละครพูดในตอนจบและการค่อยๆ fade to black ในฉากจบของหนัง
ในขณะที่ “รังไหมดิบ สยาม ไทรโศก” นั้นส่งผลกระทบต่อผมในแบบที่คล้ายๆกับ ECLIPSES
เพราะ “รังไหมดิบ สยาม ไทรโศก” เพียงแค่ focus ไปที่การเล่นดนตรีของวณิพกคนนึง โดยไม่ได้แสดงความทุกข์ของวณิพกหรือเหล่าคนงานก่อสร้างที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างตรงๆ
แต่อยู่ดีๆหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ผมจินตนาการถึงความทุกข์ของคนเหล่านี้ขึ้นมาเอง
โดยที่หนังไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนเหล่านี้แต่อย่างใด
และคนเหล่านี้จริงๆแล้วก็อาจจะไม่ได้มีความทุกข์เหมือนอย่างที่ผมจินตนาการด้วย
แต่ผมก็ห้ามกระแสความรู้สึกที่ผมจินตนาการขึ้นมาเองไม่ได้
ผมก็เลยร้องไห้ให้กับหนังเรื่องนี้ครับ
สรุปว่าทั้ง ECLIPSES และ “รังไหมดิบ สยาม ไทรโศก”
ทำให้ผมร้องไห้เพราะมันกระตุ้นจินตนาการแบบเศร้าๆในตัวผมได้อย่างรุนแรงโดยที่ผู้กำกับไม่ได้ตั้งใจครับ
3.หนังเรื่อง ECLIPSES เข้าข่ายหนังที่ผมชอบกลุ่มนึงครับ
นั่นก็คือผมมักจะชอบหนังที่แสดงให้เห็นว่า
“ตัวละครแต่ละคนล้วนมีความคับแค้นใจที่ยากจะบอกกล่าว ตัวละครแต่ละคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง
มีความทุกข์ของตัวเอง ตัวละครแต่ละคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง พวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่หรือมีชีวิตอยู่เพื่อเป็น
“ตัวประกอบ” ของพระเอกหรือนางเอก แต่พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์เป็นของตัวเอง”
ECLIPSES จะเข้าข่ายหนังกลุ่มนี้อย่างตรงๆครับ
เพราะแทนที่หนังเรื่องนี้จะจมจ่อมเจาะลึกอยู่แต่กับความทุกข์ของนางเอกหรือตัวละครเอก
เหมือนหนังอย่าง RABBIT HOLE (2010, John Cameron Mitchell) หนังเรื่องนี้กลับแสดงให้เห็นว่า
ไม่ว่านางเอกจะมีความทุกข์มากเพียงใด คนรอบข้างนางเอกก็ดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไป
พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวประกอบให้นางเอก
พวกเขาล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีความทุกข์เป็นของตัวเอง
พวกเขาบางคนอาจจะมีความทุกข์มากกว่านางเอกด้วยซ้ำ
หรือผ่านชีวิตที่สาหัสสากรรจ์กว่านางเอกมาแล้วด้วยซ้ำ
ผมก็เลยชอบวิธีการ treat คนต่างๆในหนังเรื่องนี้ครับ
นอกจากหนังเรื่องนี้จะทำให้ผมจินตนาการถึงความทุกข์ของนางเอกได้อย่างรุนแรงแล้ว
(ผ่านทางการไม่แสดงความทุกข์ออกมาตรงๆ) หนังเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า ถึงแม้นางเอกจะเศร้าใจมากเพียงใด
นางเอกก็ไม่ใช่คนพิเศษ นางเอกก็เป็นคนธรรมดาเหมือนทุกคน
และคนธรรมดาคนอื่นๆก็อาจจะมีเรื่องที่น่าเศร้ากว่านางเอก
หรือมีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจกว่านางเอกก็ได้
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังที่ผมชอบสุดๆอย่าง BUNNY (2000, Mia Trachinger) ด้วยครับ เพราะ BUNNY ก็นำเสนอชีวิตนางเอกที่มีเรื่องราวเศร้าสร้อยจนต้องร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงเหมือนกัน
แต่ในขณะเดียวกัน BUNNY ก็แสดงให้เห็นว่า
ไม่ได้มีนางเอกเพียงแค่คนเดียวที่มีชีวิตเศร้า
ยังมีคนอื่นๆอีกมากมายในสังคมที่มีชีวิตที่เศร้าสร้อยไม่แพ้กัน
4.ผมชอบที่หนังเรื่อง ECLIPSES โฟกัสไปที่ชีวิตประจำวันของคนต่างๆ
หรืออะไรต่างๆที่อาจจะดูเหมือนไม่สลักสำคัญ
หรืออะไรต่างๆที่หนังเรื่องอื่นๆอาจจะมองข้ามไปน่ะครับ อย่างเช่น
4.1 ชีวิตของคนที่ทำงานในโรงอาหารของโรงเรียน และบรรยากาศการทำงานของคนกลุ่มนี้
4.2 การพูดถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนหุ้นอะไรสักอย่าง ซึ่งคงจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับตัวละครหญิง
หรือผู้ให้สัมภาษณ์หญิงคนนึงในหนังเรื่องนี้ ทั้งนี้ โดยปกติแล้วประเด็นแบบนี้มักจะถูกนำเสนอในฐานะ
“สิ่งที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง
หรือสิ่งที่จะนำไปสู่เหตุการณ์ต่อๆไปที่มีความสำคัญกับชีวิตตัวละคร”
อย่างเช่นในหนังอย่าง LIFE WITHOUT PRINCIPLE (2011, Johnnie To) แต่ในหนังเรื่องนี้
ฉากอย่างนี้ หรือฉากอื่นๆบางฉากในหนัง กลับถูกนำเสนอออกมา โดยที่มันไม่จำเป็นต้อง “สำคัญต่อเนื้อเรื่อง”
แต่อย่างใด สิ่งต่างๆเหล่านี้มันถูกนำเสนอออกมา เพราะมันเป็น “แง่มุมนึงในชีวิตมนุษย์คนนั้น”
และแค่นั้นมันก็มีค่าเพียงพอแล้วต่อการที่จะได้รับการนำเสนอออกมาในภาพยนตร์ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องสร้างเนื้อเรื่องไปรองรับมัน
หรือพยายามทำให้มันดูสำคัญเกินจริงแต่อย่างใด
4.3 ถ้าจำไม่ผิด มันจะมีฉากนึงที่ดูเหมือนตัวละครสำคัญเดินออกจากกล้องไปแล้ว
แต่กล้องยังคงตั้งนิ่งๆอยู่ที่เดิม
และเราเห็นใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาในกล้องเพื่อจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาด
แล้วกล้องก็ถ่ายคนๆนั้นต่อไปอีกระยะนึง
ผมจะชอบฉากแบบนี้มากครับ มันทำให้ผมนึกถึงหนังหลายๆเรื่องของ Teeranit Siangsanoh ที่ชอบถ่ายชีวิตประจำวันของคนธรรมดา
หนังหลายๆเรื่องของ Teeranit จะมีฉากแบบนี้
ฉากที่ไม่มีเนื้อเรื่อง ฉากที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย ฉากที่เราเห็นเพียงแค่ “คนธรรมดาทำกิจวัตรประจำวันอะไรสักอย่าง”
ผมชอบฉากแบบนี้มากๆครับ
ฉากนี้ของ ECLIPSES ทำให้ผมนึกถึง “ความลำบากยากเย็นในช่วงชีวิตของนายบิว”
ด้วย เพราะในหนังไทยเรื่องนี้ ถึงแม้หนังจะเล่าเรื่องของพระเอกที่ชื่อ “นายบิว”
หนังก็มักจะถ่ายนายบิวในแบบ long shot และเราก็มักจะเห็น “ชาวบ้าน”
หรือ “คนธรรมดา” หรือ “ใครก็ไม่รู้” เดินผ่านเข้ามาในฉาก
และทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองต่อไป ไม่ว่าชีวิตของนายบิวจะสุขหรือเศร้า
ไม่ว่าชีวิตของเขาจะล่มสลายหรือดิ่งเหวมากเพียงไหน
คนอื่นๆก็ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองไปตามปกติ พวกเขายังคงมาซื้อของที่ 7-eleven
ต่อไป เพราะพวกเขามีชีวิตเป็นของตัวเอง และไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อ
serve นายบิว
5.ผมชอบ monologues ต่างๆใน ECLIPSES ด้วยครับ
ทั้ง monologues ของอากงและชายบังคลาเทศที่เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง
และ monologues ของนางเอกกับหญิงวัยกลางคนในช่วงท้ายเรื่องที่เหมือนเป็นการพรรณนาความคิดความรู้สึกอะไรบางอย่างในลักษณะที่ทำให้นึกถึงงานเขียนประเภท
stream of consciousness ผมรู้สึกว่า monologues พวกนี้มันทรงพลังมากๆสำหรับผมในตอนที่ได้ดูครับ
มันเหมือนเป็นการส่งพลังความรู้สึกอะไรบางอย่างอย่างรุนแรงจากผู้พูดมาถึงตัวผมโดยตรง
น่าเสียดายที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้เพียงแค่รอบเดียว ผมก็เลยจำรายละเอียดใน monologues
เหล่านี้ไม่ค่อยได้ครับ
ในส่วนของ monologues ของอากงกับชายบังคลาเทศนั้น
ผมชอบมันในลักษณะที่คล้ายๆกับความรู้สึกชอบหนังเรื่อง MODERN LIFE (2008,
Raymond Depardon) ครับ เพราะผมรู้สึกว่า monologues ใน ECLIPSES กับบทสัมภาษณ์ใน MODERN LIFE มันสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของผู้พูดออกมาได้อย่างทรงพลังมากๆ คือผมคิดว่าในหนังสารคดีบางเรื่องนั้น
ผู้กำกับทำได้เพียงแค่ “เค้นข้อมูล” จากผู้ให้สัมภาษณ์ครับ
แต่ในหนังบางเรื่องอย่างเช่น MODERN LIFE และ ECLIPSES
นั้น
ผมคิดว่าผู้กำกับสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของผู้ให้สัมภาษณ์ออกมาด้วย
No comments:
Post a Comment