Myanmar Films seen on Saturday, January 24, 2015
1.TENDER ARE THE FEET (1972, Muang Wunna, A+30)
--ชอบฉากช่วงท้ายที่เป็นฉากระลึกความทรงจำของนางเอกมากๆ
เพราะการตัดต่อในฉากนั้นมันรุนแรงมาก มันเหมือนเป็นความพยายามจำลอง stream
of consciousness ของมนุษย์
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏออกมาในฉากนั้นก็เลยดูมีลักษณะคล้ายหนังทดลอง
มันเป็นการนำห้วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำของเรามาเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
คือหนัง narrative โดยทั่วไป หรือส่วนที่เป็น narrative ในหนังเรื่องนี้ ฉากต่างๆมันจะถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันโดยมีตัวละคร,
เส้นเรื่อง, เวลา, ความเป็นเหตุเป็นผลมากำหนดการร้อยเรียงกัน ว่าอะไรต้องมาก่อน
ต้องมาหลัง อะไรต้องอยู่ต่อๆกันเป็นลำดับเท่าไร
แต่ในหนังทดลองบางเรื่อง และในฉาก “ระลึกความหลัง” ในหนังเรื่องนี้
สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เส้นเรื่อง, ลำดับเวลา, ความเป็นเหตุเป็นผล แต่เป็น “ความประทับใจของตัวละคร”
คือตัวละครตัวนั้นประทับใจในห้วงเวลาไหนในชีวิต เราก็จะได้เห็นห้วงเวลานั้น และการเรียงลำดับฉากก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับลำดับเวลาว่าเหตุการณ์อะไรเกิดก่อน
อะไรเกิดหลัง ฉาก a กับฉาก b ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อมโยงกันโดยตรงก็ได้
ขอเพียงแค่ฉาก a กับฉาก b เป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของตัวละครตัวเดียวกันก็พอ
เราชอบการตัดต่อในฉากแบบนี้และความพยายามจำลอง consciousness ของมนุษย์แบบนี้มากๆ
ซึ่งจริงๆแล้วมันแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับหนัง narrative หลายๆเรื่อง
อาจจะมีความสามารถในการทำหนังทดลองที่ดีก็ได้ แต่เขาคงไม่ทำหนังทดลอง
เพราะมันไม่ได้ตังค์ ทำหนัง narrative แบบนี้นี่แหละ
ถึงจะได้ตังค์ แต่มันก็เป็นการดีมากที่เหมือนมี part ของหนังทดลองซ่อนอยู่ในหนัง
narrative แบบนี้
จุดนี้ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง VERDUN, VISIONS OF HISTORY (1928,
Léon Poirier, France, A+30) ด้วย เพราะหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเรื่องนี้
เล่าเรื่องเหมือนหนัง narrative โดยทั่วไปประมาณ 75% และมี 20% ที่เป็นเหมือนหนังสารคดี
แสดงแผนผังการวางกองกำลังต่างๆของฝรั่งเศสและเยอรมนีในบริเวณสมรภูมิ
(ซึ่งส่วนนี้ก็น่าสนใจสุดๆ เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นๆ)
ส่วนอีก 5% ที่เหลือเรามองว่ามันเหมือนหนังทดลอง
คือมันมีฉากหนึ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งในเรื่องได้ข่าวว่า
เมืองที่เธอเคยอาศัยอยู่ได้ถูกสงครามทำลายจนโลบังพังพินาศไปหมดแล้ว แล้วอยู่ดีๆหนังก็เหมือนถลำลึกเข้าไปใน
stream of consciousness ของผู้หญิงคนนั้น
เราเห็นภาพกิจวัตรประจำวันต่างๆของผู้คนในเมืองนั้นในช่วงที่เมืองนั้นยังเป็นปกติอยู่
ภาพกิจวัตรประจำวันของผู้คนในเมืองนั้นถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันและถูกตัดต่ออย่างรวดเร็วมาก
เหมือนกับฉากความทรงจำของนางเอก TENDER ARE THE FEET และฉากนี้ก็จบลงในแบบที่คล้ายๆกัน
คือจบลงด้วยใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ต้องยอมรับความจริงที่ว่า “ความสุขในอดีตของเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหวนคืนมาได้อีก”
ส่วนใน TENDER ARE THE FEET นั้น
ฉากนี้ก็จบลงด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อยของนางเอกเช่นกัน
--สำหรับเราแล้ว ฉากไคลแมกซ์ของ TENDER ARE THE FEET คือฉาก
“ใบไม้ไหว พัดปลิวไปตามสายลม”
คือเราว่าฉากใบไม้ปลิวนี่มันอาจจะมีสาเหตุมาจากการเซ็นเซอร์น่ะ
คือตามเนื้อเรื่องแล้ว ฉากนั้นตัวละครสองตัวคงจะมีเซ็กส์กัน
แต่หนังคงถ่ายทอดออกมาไม่ได้ ก็เลยถ่ายฉากใบไม้ปลิวไป แล้วก็ปลิวมา ปลิวไป
แล้วก็ปลิวมาแทน มันก็เลยกลายเป็นฉากที่ unique สุดๆ
เราไม่เคยเห็นฉากแบบนี้ถูกใช้ใน function แบบนี้มาก่อน
ฉากใบไม้ปลิวก็เลยกลายเป็นฉากที่ก่อให้เกิดอารมณ์รัญจวน+ลุ้นระทึกมากๆว่าตกลงตัวละครมันจะได้มีเซ็กส์กันหรือเปล่า
--ชอบการฝึกร่ายรำในบางฉากมากๆ
เห็นแล้วอยากลุกขึ้นมาฝึกร่ายรำตามไปด้วย
--ชอบฉากที่เป็นการบันทึกสภาพบ้านเมืองในช่วงนั้นเอาไว้ด้วย
เห็นเขาบอกว่าเป็นอิทธิพลจากหนัง social realism ของอินเดียในทศวรรษนั้น
ซึ่งเราดูแล้วก็นึกถึงหนังเรื่อง THE TRIP (1970, Pramod Pati)
--ฉากที่เป็นมิวสิควิดีโอในหนังเรื่องนี้ก็ดีมาก
--ดนตรีในหนังเรื่องนี้ก็ดีมาก เห็นเขาบอกว่ามันมีบางส่วนที่คงได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกในทศวรรษ
1960-1970 ซึ่งเราว่ามันเพราะดี
2.THE CLINIC (2012, Ko Jeu, Aung Min, The Maw Naing, documentary,
A+30)
ดูแล้วนึกถึง THE ISTHMUS ที่คลินิกของหมอกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน
และนึกถึง LA MALADIE DE SACHS (1999, Michel Deville) ด้วย
3.HOMEWORK (2014, La Min Oo, documentary, A+25)
4.SOCIAL GAME (2012, Seng Mai, documentary, A+30)
5.KINGS N QUEENS (2013, Khun Minn Ohn, documentary,A+25)
6.TAKE ME HOME (2013, Shin Daewe, documentary, A+20)
7.FLOWERLESS GARDEN (2012, Zaw Naing Oo, documentary, A+15)
No comments:
Post a Comment