Films seen today in the Salaya Documentary Film Festival
1.POSITION AMONG THE STARS (2010, Leonard Retel Helmrich,
Indonesia, A+30)
--ชอบฉากที่หญิงชราปฏิเสธการใช้เตาแก๊สมากๆ คือมันเป็นอะไรที่ดูเหมือนไม่น่าเชื่อ
ว่าเตาแก๊สใช้ง่ายๆแค่นี้ แต่หญิงชราคนนี้กลับใช้ไม่เป็น และก็ไม่พยายามที่จะใช้ให้เป็น
เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากด้วยการไปเก็บฟืนต่อไป แต่นี่แหละคือเรื่องจริง
มนุษย์เรามันเป็นอย่างนี้จริงๆ และเราก็ไม่โทษหญิงชราคนนี้ด้วยนะ เพราะในแง่นึงเรารู้สึกว่าเราเข้าใจเธอ
ว่าทำไมเธอถึงปฏิเสธที่จะทำให้ชีวิตตัวเอง “ง่าย” ขึ้น
--เราว่าจุดสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกพีคมากกับหนังเรื่องนี้ เกิดจาก
1.ความสนิทสนมระหว่างผู้กำกับกับครอบครัวที่ถูกถ่าย เพราะความสนิทสนมนี้ส่งผลให้ตัว
subjects กล้าแสดงออกต่อหน้ากล้องเป็นอย่างมาก
2.ความผูกพันระหว่างคนดูกับตัว subjects คือพอเราได้เห็นพัฒนาการของคนเหล่านี้ในช่วงเวลาหลายปี
เราก็เลยรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากกว่าในหนังทั่วไป
2.03-FLATS (2014, Lei Yuan Bin, Singapore, A+30)
ชอบ form ของหนังเรื่องนี้มากๆ
ในแง่นึงมันทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง NEWS FROM HOME (Chantal Akerman) ในแง่ที่ว่า มันทำให้เราต้องจูน wavelength ของตัวเองใหม่ในขณะที่ดูหนังเรื่องนี้น่ะ
คือเวลาเราดูหนังทั่วไป เราจะ focus อารมณ์ของเราให้ไหลไปตามเนื้อเรื่องหรือตัวละคร
แต่เวลาเราดู 03-FLATS กับ NEWS FROM HOME เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถ focus อารมณ์ของตัวเองไปที่
“คน” หรือ “เหตุการณ์” ได้น่ะ แต่เราต้อง focus อารมณ์ของเราไปยัง
“สถานที่” หรือ “สิ่งของ” ด้วย
3.LUCID REMINISCENCE ยามเมื่อแสงดับลา (2015,
Wattanapume Laisuwanchai, A+15)
--เป็นหนังที่โอเคมากนะ แต่เราอาจจะชอบมากกว่านี้
ถ้าหากมันเป็นหนังยาวที่เน้นสัมภาษณ์คนแบบยาวๆเกี่ยวกับหนังเก่าๆที่เคยดูในโรงหนังเก่าๆไปเลยน่ะ
เราอยากให้หนังมันยาว 2 ชั่วโมงแบบ THE MASTER ของเต๋อไปเลย เพราะเราอยากรู้เรื่องหนังเก่าๆที่เคยฉายโรงในไทยมากๆ
4.LOVE IS ALL: 100 YEARS OF LOVE & COURTSHIP (2014, Kim
Longinotto, A+5)
--ชอบที่เราไม่รู้จักหนังที่ถูกเอามาใช้ในหนังเรื่องนี้เลย
ยกเว้น MY BEAUTIFUL LAUNDRETTE
--ชอบประเด็นเรื่องความรักระหว่างสีผิว, เกย์,
เลสเบี้ยน, ชนกลุ่มน้อย
--แต่เราว่าเพลงมันไม่เข้ากับหนัง คือเพลงมันเพราะดี
แต่มันถูกเอามาใช้แบบไม่ได้ช่วยส่งเสริมศักยภาพของภาพสักเท่าไหร่
คือจังหวะของภาพกับจังหวะของเพลงมันไม่ได้ไปด้วยกันน่ะ มันเหมือนคนเปิดเทปเพลงทิ้งไว้มากกว่า
--ถึงแม้เราว่าหนังเรื่องนี้โอเค แต่เราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า Kim Longinotto กำลังทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดหรือเปล่า
คือเราว่าเขากำกับหนังสารคดีได้ดีมาก แต่พอเขามากำกับหนังเรื่องนี้
ซึ่งมันมีลักษณะใกล้เคียงกับหนังทดลอง
เราก็เลยอดนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนัง found footage ของ Matthias Müller, Martin Arnold หรือ Tracey
Moffatt ไม่ได้ และเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ทรงพลังเท่ากับพวกหนังทดลองแนว
found footage น่ะ เพราะหนังทดลองพวกนั้นมันมีพลังเชิง poetic,
มันมีความเข้ากันของภาพและเสียงอย่างรุนแรง และมันดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในแต่ละคลิปออกมาได้อย่างจั๋งหนับมากๆ
เราว่า Kim Longinotto น่าจะทำหนังเรื่องนี้ให้ออกมาแบบ WORKERS
LEAVING THE FACTORY (1995, Harun Farocki) อาจจะดีกว่า เพราะเราว่า
Kim ไม่มีพลังในการตัดต่อภาพเชิง poetic แต่เธอน่าจะมี sense ในการวิเคราะห์ประเด็นเชิงสังคมที่อยู่ในฟุตเตจหนังเก่าๆเหล่านี้
เพราะฉะนั้นถ้าหากเธอวิเคราะห์มันแบบตรงๆไปเลย มันอาจจะออกมาน่าสนใจกว่า
--ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงที่ใครบางคนเคยพูดว่า จริงๆแล้วหนัง fiction ทุกเรื่องถือเป็น
“หนังสารคดี” ในแง่นึง เพราะหนัง fiction ทุกเรื่องมันได้บันทึกความคิดฝันของคนจริงๆกลุ่มนึงในยุคสมัยนึงในสังคมนึงเอาไว้