Wednesday, March 11, 2015

TWO DAYS, ONE NIGHT (2014, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne, A+30)

TWO DAYS, ONE NIGHT (2014, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne, A+30)

(รูปประกอบมาจาก TWO DAYS ONE NIGHT, MAPS TO THE STARS กับ MOMMY)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--ชอบการนำเสนอตัวประกอบแต่ละตัวมากๆ เราว่าเขาคิดซีนเก่งมาก คือตัวประกอบบางตัวโผล่มาแค่ไม่กี่นาที แต่ผู้กำกับ/คนเขียนบทสามารถทำให้เราเข้าใจได้คร่าวๆเลยว่า อีนี่ตัดสินใจอย่างนี้เพราะอะไร อีนี่น่าเห็นใจ หรืออีนี่ควรโดนตบด้วยตีน

--ชอบความลังเลใจ กลับไปกลับมาของนางเอกมากๆ

--ชอบความพยายามจะฆ่าตัวตายของนางเอกมากๆ คือเราเข้าใจเลยว่าทำไมนางเอกถึงทำอย่างนั้น เพราะขนาดเราเจออะไรที่หนักไม่เท่านางเอก เราก็ยังรู้สึกเลยว่า “ทำไมการมีชีวิตอยู่มันถึงเหนื่อยอย่างนี้วะ สู้ตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวยังจะดีซะกว่า”

--ชอบการวัดใจตัวละครในตอนท้ายมากๆ มันทำให้นึกถึงตอนจบของ THE PROMISE (1996, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne, A+30) ที่ตัวละครเจอสถานการณ์วัดใจในตอนจบเหมือนกัน และพอตัวละครตัดสินใจได้แล้ว หนังก็จบด้วยฉากตัวละครเดินจากไปในแบบที่คล้ายๆกัน

--สรุปว่าชอบ “ความเป็นมนุษย์” ในหนังของสองพี่น้องดาร์เดนน์มากๆ

--เราว่าสาเหตุนึงที่เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะเราก็ทำงานบริษัทเอกชนเหมือนกัน และรู้ว่าตัวเองสามารถถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ และทุกวัน เพียงเพราะเหตุผลทางการเงินของบริษัท ไม่ว่าเราจะทำงานดีแค่ไหนก็ตาม การมีชีวิตอยู่แบบนี้มันเครียดมาก และมัน insecure มากๆ เพราะฉะนั้นพอเราได้ดูหนังที่ deal กับประเด็นอย่างนี้ อย่าง TWO DAYS, ONE NIGHT และ WORK HARD, PLAY HARD (2003, Jean-Marc Moutout) มันเหมือนความเครียดที่สั่งสมอยู่ในใจเรามันได้รับการระบายออกไปในทางนึง ซึ่งหนัง feel good ประเภทที่พระเอกนางเอกฐานะดีไม่สามารถช่วยระบายความเครียดให้เราในแบบนี้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าหนัง feel good ไม่ดีนะ คือหนังแต่ละประเภทมันดีกับจิตใจเราในคนละแบบน่ะ หนังพาฝันมันก็ทำให้เรามีความสุขด้วยการพาฝัน หลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย แต่หนังพาฝันมันมีเยอะมาก เพราะฉะนั้นหนังที่เราต้องการในหลายๆครั้ง จึงเป็นหนังชีวิตบัดซบประเภทที่ตัวละคร “เจ็บปวด” หรือ “ประสบปัญหา” ในแบบที่คล้ายคลึงกับชีวิตเราจริงๆ เพราะพอเราได้ดูหนังแบบนั้น มันเหมือนกับว่า “ความเครียด”, “ความเจ็บปวด” หรือ “บาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจเรา” มันได้รับการระบายออกไป หรือได้รับการเยียวยา และหนังประเภทนี้เราไม่ค่อยเจอบ่อยเท่าไหร่

--ชอบปฏิสัมพันธ์ของคนในที่ทำงานเดียวกันในหนังเรื่องนี้น่ะ ถ้าหากจะต้องฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังอีกสองเรื่อง เราก็คงเลือกเรื่อง THE INVITATION (1973, Claude Goretta) กับ NOTHING PERSONAL (2009, Mathias Gokalp) เพราะหนังสองเรื่องนี้ก็นำเสนอปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานได้อย่างดีมากๆเหมือนกัน


--ดีใจมากๆที่ได้เห็น Fabrizio Rongione ใน TWO DAYS, ONE NIGHT เพราะเราชอบเขามากๆในละครทีวีชุด UN VILLAGE FRANÇAIS (2009-2013) ที่เขารับบทเป็นคอมมิวนิสต์หนุ่มที่ต้องต่อสู้กับนาซีในฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  

No comments: