Friday, April 06, 2018

OSS 117: LOST IN RIO (2009, Michel Hazanavicius, France, A+15)

OSS 117: LOST IN RIO (2009, Michel Hazanavicius, France, A+15)

1.ชอบฉากตัวละครโทรศัพท์แจ้งข้อมูลกันเป็นทอดๆที่มีการ split screen หน้าจอจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 แล้วทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆมากๆ ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง

2.เราว่าไอเดียการใช้ประโยชน์จาก racist jokes ในหนังเรื่องนี้น่าสนใจดี เพราะตัวละครพระเอกพูด racist jokes เหยียดหยามคนจีนและคนยิวตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า หนังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้คนดูหัวเราะเยาะพระเอกที่โง่เขลาเบาปัญญาจนพูดประโยคแบบนี้ออกมาบ่อยๆ (เหมือนหัวเราะคนที่พูดว่าโลกแบน) และไม่ได้ต้องการให้คนดูหัวเราะคนยิวและคนจีนแต่อย่างใด หนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเป็นการหัวเราะเยาะใส่ racist people หรือหัวเราะเยาะใส่คนพูด racist jokes แต่ไม่ได้หัวเราะเยาะใส่ "คนที่ jokes พูดถึง" ซึ่งเป็นวิธีการสร้างอารมณ์ขันที่น่าสนใจดี

3.แต่ก็ไม่ได้ชอบหนังถึงขั้น A+30 นะ เพราะเราว่ามันเป็นหนังตลก parody ที่น่ารักดี แต่มันไม่สามารถ sustain ความน่าสนใจไว้ได้ตลอดทั้งเรื่องน่ะ

เราว่าจุดอ่อนอย่างนึงของหนังคือการที่ตัวละครในหนัง parody แบบนี้มันไม่เป็นมนุษย์จริงๆน่ะ เพราะฉะนั้นคนดูจะไม่มีอารมณ์ผูกพันกับตัวละคร และไม่มีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร คือตัวละครจะอยู่หรือจะตาย จะสุขหรือจะทุกข์ คนดูก็ไม่มีอารมณ์ร่วมกับตัวละครตรงจุดนั้น ไม่ได้เป็นห่วงหรือแคร์ความทุกข์ร้อนของตัวละคร คนดูแค่สนใจมุกตลก, ไอเดียเก๋ๆ, อะไรฮาๆ ไปเรื่อยๆมากกว่า

เพราะฉะนั้นการจะทำหนังที่ตัวละครห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ แต่สามารถตรึงความสนใจคนดูไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง คนทำหนังมันต้องมี “ไอเดียเหลือเฟือ” ที่จะยัดใส่เข้าไปในหนังน่ะ คือให้ไอเดียในหนังมันช่วย please คนดูไปตลอดทั้งเรื่อง เพราะคนดูไม่แคร์ความรู้สึกตัวละคร ซึ่งเราว่าหนังของ Jean-Luc Godard, Alain Robbe-Grillet, Antonin Peretjatko อะไรพวกนี้ มันทำอะไรแบบนี้ได้ดี เพราะคนทำมันมีไอเดียเยอะจริง หรือคนทำมันมีทักษะพรสวรรค์อื่นๆที่สามารถสร้างฉากมหัศจรรรย์ในหนังต่อไปได้เรื่อยๆ โดยคนดูไม่ต้องแคร์ตัวละครแต่อย่างใด หรือแม้แต่หนังอย่าง THE NAMES OF LOVE (2010, Michel Leclerc) ก็น่าจะเข้าข่ายนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่เราว่าหนังอย่าง OSS 117: LOST IN RIO มันเหมือนรถที่น้ำมันหมดระหว่างทางน่ะ ไอเดียในหนังมันน้อยไปหน่อย เราก็เลยรู้สึกว่าหนังมันไม่สามารถคงความรู้สึก “สนุกมาก” หรือ “เก๋มาก” ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง

No comments: