Monday, May 30, 2022

“TOP GUN”, MY LIFE AND HOW “TOP GUN” PLAYED AN IMPORTANT PART IN MY LIFE AS A CINEPHILE

 

“TOP GUN”, MY LIFE AND HOW “TOP GUN” PLAYED AN IMPORTANT PART IN MY LIFE AS A CINEPHILE

 

เป็นเรื่องที่เราเคยเขียนไปแล้ว แต่พอ TOP GUN: MAVERICK (2022, Joseph Kosinski, A+30) เข้าโรงฉายในตอนนี้ เราก็เลยขอจดบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเองอีกครั้งก็แล้วกัน เพราะ TOP GUN (1986, Tony Scott) นี่ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีบทบาทมากที่สุดเรื่องหนึ่งต่อชีวิตของเรา ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดขีดก็ตาม

 

คือ TOP GUN ถือเป็น “วิดีโอ” ม้วนแรกที่เราซื้อในชีวิตน่ะ ตอนนั้นเรามีอายุราว 13 ปี และเราก็ได้เห็นรูป Tom Cruise ที่ใช้ในการโปรโมท TOP GUN ตามสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะตามโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่วางขายข้างถนน เราก็เลยรู้สึกตกหลุมรักเขาอย่างรุนแรง รู้สึกว่าเขาหล่อที่สุด ตรงสเปคเราที่สุด นี่แหละผู้ชายในฝันของเรา ถ้าหากเราจินตนาการถึงผัวของเรา เราก็อยากได้ผัวรูปร่างหน้าตาแบบ Tom Cruise ใน TOP GUN มาก ๆ เรียกได้ว่า Tom Cruise ได้กลายเป็น “ผัวทิพย์” ของเราตอนที่เราอายุราว 13 ปี

 

คือก่อนหน้านั้นเราคงเคยเห็นเขาผ่าน ๆ ตาจากรูปจากหนังเรื่อง THE OUTSIDERS (1983, Francis Ford Coppola) ในนิตยสารทีวีรีวิว แต่ตอนนั้นเขายังไม่โดดเด่นเลย ถูก Matt Dillon, Rob Lowe, Ralph Macchio อะไรพวกนี้กลบรัศมีหมด และหลังจากนั้นเราก็คงเคยเห็นเขาในโฆษณาหนังเรื่อง RISKY BUSINESS (1983, Paul Brickman) แต่เขาก็ยังไม่ตรงสเปคเรา เพราะเขาดูเป็นหนุ่มวัยรุ่นกะล่อน ๆ ในเรื่องนั้น เราจำได้ว่าในช่วงปี 1983-1984 เรากำลังคลั่งไคล้อธิป ทองจินดา, อำพล ลำพูน, Jon-Erik Hexum จากละครทีวีชุด VOYAGERS! และ Tim Matheson จากละครโทรทัศน์ชุด TUCKER’S WITCH อย่างรุนแรง แต่ยังไม่เห็น Tom Cruise อยู่ในสายตาแต่อย่างใด

 

แต่พอเราได้เห็น Tom Cruise ในภาพนิ่งต่าง ๆ จากหนังเรื่อง TOP GUN เราก็ตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่หนังเรื่อง TOP GUN มันออกจากโรงฉายในไทยไปแล้วในตอนนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เราก็เลยทำได้แค่ซื้อโปสเตอร์ภาพของ Tom Cruise จากหนังเรื่องนี้เก็บไว้, ซื้อภาพถ่ายเล็ก ๆ ของเขาจากร้าน “โลกใบเล็ก” ที่มาบุญครองมาใส่กระเป๋าสตางค์ และซื้อเทป SOUNDTRACK ของ TOP GUN เก็บไว้ ซึ่งน่าจะเป็นเทป SOUNDTRACK ม้วนแรกที่เราซื้อในชีวิต เราชอบเพลง MIGHTY WINGS ของ Cheap Trick มากที่สุดในอัลบั้มชุดนี้

 

หลังจากนั้นเราก็พบว่าร้านแมงป่องที่มาบุญครอง มีวิดีโอ TOP GUN ขายในราคาม้วนละ 200 บาท แต่เราไม่สามารถขอเงินแม่มาซื้อของแบบนี้ได้แน่นอน เราก็เลยอดอาหารกลางวัน 10 วันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เพื่อเก็บเงินวันละ 20 บาท จนได้ครบ 200 บาทเพื่อมาซื้อวิดีโอตอบสนองความเงี่ยนผู้ชายของเรา

 

คือในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน แม่เราจะให้เงินเราซื้อข้าวกลางวันวันละ 20 บาทน่ะ ซึ่งปกติเราก็จะซื้อ “ข้าวผัดใส่ไข่” ในซอยกิน ซึ่งข้าวผัดใส่ไข่ หรือราดหน้าหมี่กรอบ หรืออาหารจานเดียวในซอยเราตอนนั้นคิดราคาแค่ห่อละ 8 บาทเองมั้ง แม่เราก็เลยให้เงินเราวันละ 20 บาทเพื่อไว้ซื้อข้าวกลางวันกินเองในตอนนั้น แต่เราไม่กินจ้ะ เรารักผู้ชาย เรา want ผู้ชาย เราอยากได้ Tom Cruise เป็นผัว ให้เราอดข้าวกลางวัน 10 วันนี่เราทำได้เพื่อผัวในจินตนาการของเรา เราก็เลยอดข้าวกลางวัน 10 วันจนเก็บเงินได้ครบ 200 บาทแล้วก็ไปซื้อวิดีโอ TOP GUN มาจากร้านแมงป่อง

 

ประสบการณ์ครั้งนั้นให้คติสอนใจแก่เราว่า “ความเงี่ยนผู้ชายอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” จริง ๆ ค่ะ

 

ซึ่งพอเราได้ดู TOP GUN จริง ๆ แล้วก็ดูหนังรู้เรื่องแค่ประมาณ 60% เองมั้ง เพราะวิดีโอเทปที่เราซื้อมานี้มันพูดอังกฤษ, ไม่มีซับไตเติลใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วตอนนั้นเราอายุแค่ 14 ปี (ตอนที่ซื้อวิดีโอเทป) จะให้ฟังภาษาอังกฤษออกเองมันก็เกินความสามารถไป แล้วยิ่งหนังมันเป็นหนังเกี่ยวกับการขับเครื่องบินรบ ซึ่งเราไม่มีพื้นความรู้ด้วย เพราะฉะนั้นปมขัดแย้งอะไรต่าง ๆ ในหนัง หรือฉากแอคชั่นอะไรต่าง ๆ นี่เราดูไม่รู้เรื่องเลย 55555 แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของเราในการซื้อวิดีโอเทปม้วนนี้อยู่แล้ว เพราะเราแค่อยากดู Tom Cruise หล่อ ๆ และในหนังก็มีหนุ่มหล่ออีกหลายคนด้วย โดยเฉพาะในฉาก Volleyball ที่เราขอยกให้เป็นหนึ่งใน one of my most favorite scenes of all time ไปเลย

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยบอกยากว่าเราชอบ TOP GUN ภาคแรกมากขนาดไหน เพราะเราดูไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ชอบบรรยากาศท้องฟ้าเวิ้งว้าง, ชอบเพลงประกอบ, ชอบดนตรีประกอบ, ชอบบุคลิกของนางเอกมาก ๆ เพราะเธอไม่ใช่สาวอ่อนแอ, ชอบ Meg Ryan และชอบมวลพลังความหล่อของผู้ชายในเรื่อง

 

จำได้ว่าพอครบ 1-2 ปีที่ TOP GUN ออกฉายครั้งแรก หนังเรื่องนี้ก็วนกลับมาเข้าโรงในไทยอีกเป็นรอบที่สองด้วย ที่โรงพาต้าปิ่นเกล้า แต่เหมือนถ้าหากเราอยากดูหนังเรื่องนี้ เราไม่สามารถแอบไปดูได้น่ะ เพราะรอบฉายมันเย็นเกินไปหรืออะไรสักอย่าง  คือในยุคนั้นเราแอบไปดูหนังโรงหลายเรื่องโดยไม่บอกทางบ้าน เพราะทางบ้านเราไม่สนับสนุนให้เราออกไปดูหนังโรง แต่พอเราแอบไปดูหนังโรงเสร็จแล้วเราก็ต้องรีบกลับบ้าน เพื่อไม่ให้ทางบ้านผิดสังเกต แต่เหมือนรอบฉายของ TOP GUN  ตอนที่มันเข้าโรงในไทยครั้งที่สองมันไม่เอื้ออำนวยให้เราแอบหนีออกจากบ้านไปดูได้น่ะ เราก็เลยจำเป็นต้องขอทางบ้านตรง ๆ แต่ทางบ้านของเราก็ไม่อนุญาต เราก็เลยอดดู TOP GUN ภาคแรกในโรงมาจนถึงปัจจุบันนี้

 

ความคลั่งไคล้ Tom Cruise ของเรามันส่งผลในทางอ้อมให้เรากลายเป็น cinephile มาจนถึงบัดนี้ด้วย เพราะนอกจาก TOP GUN จะเป็นวิดีโอเทปม้วนแรกที่เราซื้อแล้ว ความคลั่งไคล้ Tom Cruise อย่างรุนแรงของเรา ก็ส่งผลให้เราตัดสินใจออกไปดูหนังโรงด้วยตัวคนเดียวเป็นครั้งแรกด้วย และหนังเรื่องนั้นก็คือ THE COLOR OF MONEY (1986, Martin Scorsese) ที่โรงฮอลลีวู้ด

 

คือตอนนั้นพอเราตกหลุมรัก Tom Cruise จาก TOP GUN แต่เราพลาดดูหนังเรื่องนี้ในโรงไปแล้ว เราก็พบว่ามีหนังเรื่อง THE COLOR OF MONEY เข้าฉายในไทยในเวลาต่อมา เราก็เลยตัดสินใจออกไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวเลย ตอนนั้นเราน่าจะมีอายุราว 14 ปีมั้ง

 

คือก่อนหน้านั้นเราไม่เคยดูหนังโรงคนเดียวมาก่อนนะ หนังโรงเรื่องแรกที่เราได้ดูในชีวิต ก็คือหนังเรื่อง ROCK ‘N ROLL WOLF หรือ MA-MA (1976, Elisabeta Bostan, Romania) ที่เข้าฉายในไทยโดยใช้ชื่อว่า “วิมานเนรมิต” เราน่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนอายุแค่ไม่กี่ขวบ โดยครอบครัวพาไปดู แต่หลังจากนั้นเราก็เหมือนได้ดูหนังโรงอีกแค่ไม่กี่เรื่อง ซึ่งได้แก่เรื่อง “นางพญาหอยขาว” (DEADLY SNELLS VS. KUNG FU KILLERS) (1977) ที่ครอบครัวพาไปดู, GANDHI (1982, Richard Attenborough) ที่ครอบครัวพาไปดู, FLASHDANCE (1983, Adrian Lyne) ที่เราไปดูกับพี่สาวและเพื่อนพี่สาว, มหาราชดำ (1981, ทรนง ศรีเชื้อ) ที่ทางโรงเรียนพาไปดู และ “น้ำพุ” ที่ทางโรงเรียนพาไปดู

 

คือตอนเด็ก ๆ เหมือนเราได้ดูหนังโรงแค่ 6 เรื่องนี้เองมั้ง เพราะครอบครัวของเราไม่สนับสนุนการดูหนังน่ะ เพราะฉะนั้น E.T., STAR WARS อะไรพวกนี้นี่เราไม่เคยได้ดูในโรงเลย

 

แต่พอเราตกหลุมรัก Tom Cruise จากภาพนิ่งต่าง ๆ จากหนังเรื่อง TOP GUN แล้ว เราก็เลยบอกตัวเองว่า ฉันจะต้องออกไปดู THE COLOR OF MONEY ให้ได้ ไม่มีอะไรจะสามารถยับยั้งเราจากความเงี่ยน Tom Cruise ได้ “NOTHING GONNA STOP ME NOW” และเราก็เลยทำตามนั้น ออกจากบ้านเพื่อไปดูหนังเรื่องนี้คนเดียวตอนที่เราอายุ 14 ปี

 

และเราก็มีความสุขมาก ๆ การไปดูหนังคนเดียวนี่มันช่างดีจริง ๆ ตัวหนัง THE COLOR OF MONEY ก็ดีสุด ๆ เราก็เลยออกไปดู THE COLOR OF MONEY รอบสอง และออกไปดูหนังโรงคนเดียวเป็นประจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

เพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนกับว่า TOP GUN มันส่งผลในทางอ้อมให้เรากลายเป็น cinephile เพราะ TOP GUN มันนำเสนอภาพลักษณ์ของ Tom Cruise ในแบบที่หล่อตรงสเปคเรามาก ๆ (มากกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ หน้านั้นของ Tom Cruise) เราก็เลยเงี่ยน Tom Cruise มาก ๆ และเราก็ระบายความเงี่ยนของเราด้วยการเก็บเงินซื้อวิดีโอม้วนแรก และตัดสินใจออกไปดูหนังเรื่อง THE COLOR OF MONEY ด้วยตัวคนเดียวตอนเราอายุ 14 ปี และเราก็ติดใจการออกไปดูหนังโรงคนเดียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แต่มันก็แค่ส่งผลใน “ทางอ้อม” ให้กับการเป็น cinephile ของเรานะ เพราะถึงแม้เราจะชอบออกไปดูหนังโรงคนเดียวตั้งแต่ต้นปี 1987 เป็นต้นมา แต่เราก็ยังไม่ได้หลงใหลการดูหนังอย่างรุนแรงในตอนนั้นน่ะ คือเหมือนการดูหนังเป็นอะไรที่เราชอบมากในตอนนั้น ตอนที่เราเป็นเด็กมัธยม แต่เราไม่ได้คลั่งไคล้ใหลหลงมันอย่างรุนแรง เพราะตอนนั้นเราคลั่งไคล้การอ่านนิยายมากกว่า โดยเฉพาะนิยายของทมยันตี, ตรี อภิรุม, จินตวีร์ วิวัธน์, ม. มธุการี, แก้วเก้า, Sidney Sheldon, Stephen Kings, Dean Koontz, etc. เราก็เลยอยากเป็นนักแต่งนิยายในตอนนั้น

 

หนังที่ส่งผลใน “ทางตรง” ให้กับเราในการกลายเป็น cinephile ก็คือหนังเรื่อง CLASS ENEMY (1983, Peter Stein, West Germany) ที่เราได้ดูที่สถาบันเกอเธ่ซอยสาทร 1 ในปี 1995 นี่แหละ เพราะพอเราได้ดู CLASS ENEMY ในปี 1995 มันก็เหมือนทำให้เราได้ตระหนักว่า โลกแห่งภาพยนตร์นี่มันไม่ได้มีแค่หนังฮอลลีวู้ดเท่านั้น แต่มันมีหนังแปลก ๆ ที่ช่างน่าหลงใหล มีอะไรที่ทรงพลังรุนแรงและเหมาะกับเรารอให้เราค้นพบอยู่ เราก็เลยเริ่มหลงใหลการดูหนังอย่างหัวปักหัวปำตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา

 

ในส่วนของ Tom Cruise นั้น เราคลั่งไคล้เขาอยู่แค่ไม่กี่ปีได้มั้ง 5555 โดยในตอนแรกนั้น นอกจากเราจะรู้สึกว่าเขาหล่อสุด ๆ แล้ว เรายังชอบมาก ๆ ที่เขาแต่งงานกับ Mimi Rogers ที่อายุแก่กว่าเขา 6 ปีด้วย

 

แต่ Tom Cruise ก็เริ่มตกกระป๋องไป เมื่อเราได้เห็น Hiroshi Abe ในนิตยสาร “ทีวีรีวิว” ตอนที่เขาเริ่มโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง HAIKARA-SAN GA TORU (1987, Masamichi Sato) ที่เขานำแสดงคู่กับ Yoko Minamino และหนังเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนของ Yamato Waki และหลังจากนั้น เราก็รับ Hiroshi Abe เข้ามาครองตำแหน่ง “ผัวทิพย์” ของเราแทนที่ Tom Cruise

 

แต่ก็ดีใจนะ ที่ผัวทิพย์ทั้งสองคนของเราจากปี 1986-1988 ยังคงมีหนังดี ๆ ให้เล่นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าตอนนี้เรารัก Hiroshi Abe มากกว่า Tom Cruise มากมายหลายเท่าค่ะ

 

พอเราได้ดู TOP GUN: MAVERICK ในโรง เราก็อยากร้องไห้นะ ไม่ใช่เพราะหนังมันซาบซึ้งกินใจ แต่เป็นเพราะมันทำให้เรานึกถึงอดีตเมื่อ 35-36 ปีก่อน ตอนที่เราอดข้าวกลางวัน 10 วัน, ตอนที่เราเริ่มออกไปดูหนังโรงด้วยตัวคนเดียวครั้งแรก ๆ , ตอนที่เรายังคง “ไร้เดียงสา”, มองโลกอย่างโง่ ๆ, ตอนที่เราหวาดกลัวคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียตอย่างรุนแรง, ตอนที่เรายังคงมองอเมริกาในแง่ชื่นชมมาก ๆ ในยุคสงครามเย็น, ตอนที่เรายังคงมีความหวังและความฝันมากมายในชีวิต ตอนที่เราอายุ 13-14 ปี ตอนที่เราคาดว่าชีวิตอาจจะดีขึ้นได้ในวันข้างหน้า ตอนที่เราคิดว่าชีวิตเราในอนาคตอาจจะมีความสุข ตอนที่เรายังไม่รู้หรอกว่า ชีวิตที่รอเราอยู่ในอนาคตมันจะโหดร้ายกับเราได้ถึงเพียงนี้ เหมือนการได้ดูหนังภาคสองที่ห่างจากภาคแรกนานถึง 36 ปีแบบนี้ มันทำให้เราได้หวนคิดถึงความ INNOCENCE บางอย่างของเราเมื่อ 36 ปีก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้สูญเสียมันไปแล้วตลอดกาล

 

 

No comments: