Wednesday, December 31, 2008

I CRIED FOR THREE FILMS ON DECEMBER 17

This is my comment in Screenout Webboard:
http://zaa.xq28.org/viewtopic.php?f=5&t=79&st=0&sk=t&sd=a&start=425



ตอบน้อง ZM

อิจฉาน้อง ZM มากเลย ได้ดูหนังของ Joe Gage ด้วย พี่คิดว่าหนังกลุ่มนี้เป็นหนังกลุ่มที่พี่มีความรู้น้อยมาก ยังมีเรื่องให้ศึกษาอีกเยอะเกี่ยวกับหนังกลุ่มนี้

เห็นหน้าทอม ครุยส์ใน VALKYRIE แล้วไม่อยากดูเลย เพราะเบื่อหน้าตาแบบนี้ของเขา แต่เห็นมี Carice van Houten (BLACK BOOK) กับ Thomas Kretschmann แสดงด้วย ก็เลยทำให้อยากดูขึ้นมาหน่อย


ตอบคุณ Vivaldianto

ไม่เข้าใจ THE PHANTOM OF LIBERTY เหมือนกัน แต่ก็เป็นหนังที่ชอบมาก เพราะมันดูฮาๆไปเรื่อยๆดี ฉากที่ชอบมากสองฉากในเรื่องนี้คือฉากนั่งส้วมในห้องรวม+กินข้าวในห้องเดี่ยว และฉากที่ตัวละครบอกว่าภาพถ่ายวิวทิวทัศน์เป็นภาพถ่ายที่หยาบโลนมาก สองฉากนี้ทำให้เราได้คิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาทั้งนั้น มันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด การที่ใครบางคนบอกว่าภาพบางภาพ “หยาบโลน” นั้น มันเกิดจากเขาถูก “ความเชื่อ” บางอย่างฝังหัวมาว่าภาพบางภาพเป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งความเชื่อนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูกก็ได้ คนบางคนก็เลือกที่จะรับความเชื่อนั้นมา แทนที่จะเลือกปฏิเสธความเชื่อนั้นไป และพวกเขาก็เลย “เชื่อ” ว่า การขี้เป็นสิ่งอุจาด, ภาพเปลือยเป็นสิ่งหยาบโลน ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ การกินข้าวอาจจะเป็นสิ่งอุจาด และภาพวิวทิวทัศน์อาจจะเป็นสิ่งหยาบโลนก็ได้ เพราะ “ความอุจาด” และ “ความหยาบโลน” ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น เป็นสิ่งที่ถูกสมมติหรือติ๊ต่างกันขึ้นมาเองระหว่างคนส่วนใหญ่ในสังคม ทั้งๆที่มันอาจจะไม่ใช่ความจริงเลย

พูดถึงหนังของบุนเยลแล้ว เราก็เลยขอเสริมว่า เราคิดว่าหนังหลายเรื่องของ Luis Bunuel จะดูแบบตีความก็สนุก หรือไม่ตีความก็สนุกนะ เราเคยดู BELLE DE JOUR กับเพื่อนฝรั่งคนนึง เขาวิเคราะห์อะไรหลายๆอย่างในหนังได้เยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคงไม่สามารถวิเคราะห์ได้เองอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ถ้าหากอ่านบทความที่เขียนโดย Jean-Claude Carriere ซึ่งเป็นคนเขียนบทคู่บุญของ Bunuel ในหนังสือ FILMVIRUS 2 เราก็จะเข้าใจการทำงานของบุนเยลมากขึ้น และเราก็จะตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องตีความหนังของเขามากนัก เพราะหลายๆอย่างในหนังของบุนเยล น่าจะเกิดจากสัญชาตญาณหรือเกิดจากเขาคิดว่า เขาอยากใส่อันนี้เข้าไปในหนัง เขาก็ใส่เข้าไป โดยไม่ได้คิดสะระตะว่ามันจะสื่ออะไรอย่างโน้นอย่างนี้ สิ่งที่คาร์ริเยร์คิดว่าน่าสนใจมากก็คือการที่คนดูหลายคนตีความแตกต่างกันไปเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในกล่องใบนึงใน BELLE DE JOUR และคนดูบางคนมั่นใจมากๆว่า สิ่งที่อยู่ในกล่องต้องเป็นไอ้นั้นหรือไอ้นี่ ทั้งที่จริงๆแล้วบุนเยลและคาร์ริเยร์ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนั้น


ตอบน้อง MATT

ชอบ BRIDGE TO TERABITHIA มากๆเหมือนกัน แต่ถ้าหากพูดถึงนักแสดงเด็กชายที่เราถูกโฉลกด้วยแล้ว เราถูกโฉลกกับ Jack Rovello ที่เล่น THE HOURS กับ LONESOME JIM จ้ะ

เนื่องจากน้อง MATT เพิ่งเสียน้ำตาให้กับ BRIDGE TO TERABITHIA ดิฉันก็เลยถือโอกาสนี้เขียนถึงหนังที่เพิ่งดูแล้วร้องไห้ในช่วงนี้บ้าง ซึ่งได้แก่หนัง 3 เรื่องที่ได้ดูในวันเดียวกัน นั่นคือวันที่ 17 ธ.ค. นึกว่าวันนั้นแจ็คพ็อตแตก อยู่ดีๆก็ได้ดูหนังที่ทำให้ร้องไห้ 3 เรื่องติดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้แก่เรื่อง

1.AL QUEDA R US (2002, Wafaa Bilal, A+++++++++++++++)
ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ CONFERENCE OF BIRDS GALLERY ตรงถนนปั้น บริเวณสีลม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารเวียดนามชื่อ “ลา โล้ต” ที่เจ้าของร้านหล่อมากๆๆๆๆ

ขอโทษทีที่ออกนอกเรื่อง AL QUEDA R US เป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับสงครามในหลายๆประเทศที่อเมริกาเข้าไปพัวพัน และก่อให้เกิดความฉิบหายวายป่วงแก่ประชาชนในประเทศนั้นๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เร้าอารมณ์มากนัก แต่พอถึงฉากจบเราก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้ที่
http://www.fnewsmagazine.com/2002-december/page16.shtml

2.THE PAINTBALL PROJECT (2007, Wafaa Bilal, A+++++++++++++++)

ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ CONFERENCE OF BIRDS GALLERY เหมือนกัน หนังสารคดีเรื่องนี้มีความยาว 3 ชั่วโมงกว่า และบันทึกชีวิตของวาฟา บิลาล เป็นเวลา 30 วัน ตอนที่เขาพำนักอยู่ในแกลเลอรี่แห่งหนึ่ง โดยห้องที่เขาอาศัยอยู่นั้นจะมีปืนเพนท์บอลที่ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องด้วย และคนจากทั่วโลกก็สามารถเข้ามาที่เว็บไซท์ของเขา เพื่อสั่งให้ปืนเพนท์บอลในห้องนั้นยิงใส่ตัวเขา (ซึ่งเป็นชาวอิรัก) หรือยิงใส่วัตถุต่างๆในห้องได้ตามใจชอบ

ช่วงแรกๆของหนังอาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่พอเริ่มเข้าสู่วันที่ 10 เราก็จะเริ่มอินและสัมผัสได้ถึงความเครียดของวาฟา บิลาล ตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่ามีคนทั่วโลกที่อยากยิงใส่ชาวอิรักอย่างเขา และไม่ใช่มีเพียงแค่คนสหรัฐเท่านั้น เพราะหนึ่งในคนที่ยิงใส่ห้องของเขาอย่างไม่หยุดยั้งกลับเป็นชาวเอสโตเนีย ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรแค้นเคืองชาวอิรักเลย

อย่างไรก็ดี มีหลายฉากในเรื่องนี้ที่ทำให้ร้องไห้ออกมา โดยฉากหนึ่งก็คือฉากที่มีคนยิงใส่โคมไฟในห้องของเขาจนโคมไฟถูกทำลายจนไม่เหลือซากอย่างไม่มีเหตุผล แต่อยู่ดีๆก็มีคนเห็นใจเขา และเดินทางมาที่แกลเลอรี่เพื่อเอาโป๊ะไฟอันใหม่มามอบให้เขา และปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดิฉันร้องไห้ออกมาก็คือการที่ “คนที่เห็นอกเห็นใจชาวอิรัก และรู้สึกสงสารชาวอิรัก” อย่างที่สุดคนนี้ กลับเป็น “ทหารเรือสหรัฐ”

หนังสารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับทหารเรือสหรัฐคนนี้ แต่ฉากนี้มันก็ช่วยตอกย้ำแก่ดิฉันได้เป็นอย่างดีว่า เราจะต้องไม่มองคนอื่นๆอย่างเหมารวมเป็นอันขาด และจะต้องไม่ตัดสินคนอื่นจากปัจจัยภายนอกอย่างผิวเผินเป็นอันขาด

อีกฉากหนึ่งที่ทำให้ร้องไห้ ก็คือหลังจากที่โครงการนี้ดำเนินไปได้ราว 20 กว่าวัน จำนวนคนที่รู้จักโครงการนี้ก็เพิ่มสูงขึ้น และก็มีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันทำตัวเป็น HUMAN SHIELD ให้วาฟา บิลาล โดยคนกลุ่มนี้จะเข้าไปที่เว็บไซท์ของเขาพร้อมกัน และกดปุ่มอะไรบางอย่างพร้อมกัน เพื่อบังคับให้คนอื่นๆที่อยากยิงวาฟา บิลาล ไม่สามารถควบคุมบังคับปืนได้ คนกลุ่มนี้บอกว่า เราสามารถเลือกได้ที่จะรวมตัวกันลุกขึ้นมายับยั้งเหตุการณ์แบบนี้

ผู้สนใจดูหนังเรื่องนี้ สามารถดูได้ทาง youtube จ้ะ
http://www.youtube.com/user/mewafaa


3.THE ASSASSINATED SUN (2004, Abdelkrim Bahloul, A+++++)

หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนังสะท้อนสังคมที่ไม่ได้มีวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ แต่พอถึงประโยคจบของหนังเรื่องนี้ ที่เด็กหนุ่มหันไปมองรูปของกวีหนุ่มเกย์ที่ถูกฆ่าตาย แล้วก็พูดว่า “you can’t assassinate the sun” นั้น ฉากจบนี้ก็ทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ดจนต้องร้องไห้ออกมาเหมือนกัน เพราะประโยคนี้หมายความว่า ถึงแม้กวีเกย์จะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็จะยังคงรำลึกถึงกวีเกย์คนนี้ตลอดไปในฐานะดวงตะวันที่เคยสาดส่องเข้ามาในชีวิตของเขา

5 comments:

Anonymous said...

อ่านที่เขียนแล้วรู้สึกอยากดูหนังทั้งสามเรื่องมากๆๆๆๆเลย

จะพยายามโหลด WAFAA BILAL มาดูให้ได้เลย

FILMSICK

Anonymous said...

At first, i thought he is the son of Enki Bilal : )

By the way, an old film of Enki Bilal - Bunker Palace Hotel- is available on Mintra's shop.

Anonymous said...

คิดเห้นเช่นเดียว กับพี่ filmsick

celinejulie said...

สนับสนุนให้โหลด Wafaa Bilal มาดูจ้ะ แต่ไม่ต้องดูแบบซีเรียสมากนัก เพราะหนังเรื่องนี้ก็มีช่วงที่น่าเบื่อเหมือนกัน ตอนที่เราไปดูหนังเรื่องนี้ที่ CONFERENCE OF BIRDS GALLERY เราก็เร่งสปีดหนังข้ามไปบางช่วง เพราะไม่งั้นเดี๋ยวไปดูหนังที่ Alliance ต่อไม่ทันในวันนั้น เราคิดว่าหนังเต็มๆยาวประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่เราเร่งสปีดข้ามไปบางช่วงจนดูจบภายในเวลา 3 ชั่วโมง

ตอนที่เราดูหนังของ Wafaa จบใหม่ๆ ตอนแรกเราชอบ AL QUEDA R US มากกว่า THE PAINTBALL PROJECT แต่พอเวลาผ่านไประยะนึง เรากลับชอบ THE PAINTBALL PROJECT มากกว่า AL QUEDA R US ซึ่งสาเหตุสำคัญเป็นเพราะว่า AL QUEDA R US เป็นหนังสารคดีที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดแนวคิดของผู้กำกับ และทุกอย่างในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำกับได้เลือกสรรมาอย่างดีแล้ว แต่ THE PAINTBALL PROJECT กลับเป็นหนังที่สร้างขึ้นโดยที่ผู้กำกับไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้จึงอาจจะสะท้อนภาพความเป็นจริงของโลกได้ดีกว่า เพราะสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในหนังเรื่อง THE PAINTBALL PROJECT ถูกกำหนดโดยคนทั้งโลกที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซท์นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดโดยแนวคิดของผู้กำกับเพียงอย่างเดียว

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ