Thursday, September 12, 2013

Films I saw in the project SHOUD THIS FILM BE BANNED?


Films I saw in the project SHOUD THIS FILM BE BANNED?

 

1.180 DEGREES (Prachya Wantharasin, documentary, A+30)

180 DEGREES ด้านเดียวจำกัดองศา (ปรัชญา วรรณธราสิน, 20, A+30)

 

2.UNCONSCIOUSNESS IN THE TIME OF CRISIS (Jutha Saovabha, A+30)

ปฏิรัก (จุฑา เสาวภา, 19.10, A+30)

 

3.THE DOCTOR WHO CHANGES HEADS INVADES HUASAI (Paritas Hutanggoon, A+30)

หมอเปลี่ยนหัว บุกหัวไทร (ปริทรรศ หุตางกูร, 13.53, A+30)

 

4.YOU, ME AND THE WINDSHIELD MAN (Jirawat Navachak, 20, A+20)

 

5.DELETE (Thanayos Sonsoi, A+15)

DELETE (ธนยศ สนสร้อย, 200.37, A+15)

 

6.LUST (Thanit Boonyarat, 20.22, A+10)

 

7.TOILET (Flamingo, A)

ห้องน้ำ (Flamingo, 11.22, A)

 

8.DEMOCRACY (DOESN’T EXIST) (Punfun Studio, A)

ประชาธิปไตย (ไม่มีจริง) (ปันฝันสตูดิโอ, 19.21, A)

 

9.TRADITIONS (FAKE DOING) (Adisorn Kongpunpin, A)

ธรรมเนียมปฏิบัติ (ทำ-เทียม-ปฏิบัติ) (อดิศร คงพุนพิน, 9.36, A)

 

10.THESIS (Thatchai Watanapornpongsuk, A-)

THESIS (ธัชชัย วัฒนะพรพงษ์สุข, 7.42, A-)

 

11.FULL-CIRCLE AGRICULTURE, COMPLETELY POOR FARMER (Kemchart Tonboon + Tossapol Tassanakulpun, documentary, A-)

เกษตรกรรมครบวงจร เกษตรกรครบวงจน (เขมชาติ ตนบุญ + ทศพล ทรรศนกุลพันธ์, 19.08, A-)

 

12.COINMIC (Surasit Bunpala, A-)

COINMIC (สุรศิษฏ์ บรรพลา, 2.09, A-)

 

13.BLOOD MONEY (Pattaradis Pamornmontree + Kittitouch Mingkwan, A-)

BLOOD MONEY (ภัทรดิษ ภมรมนตรี + กิตติธัช มิ่งขวัญ, 7.30, A-)

 

14. BOURGEOISIE (Samun Sungmusiganont, A-)

กุฎุมพี (สามัญ สังข์มุสิกานนท์, 22.46, A-)

 

15.RICE (Some-how, A-/B+)

ข้าว (สามหาว, 6.39, A-/B+)

 

16.FIRST CAR (Thai Pradithkesorn, B+)

รถคันแรก (ไท ประดิษฐ์เกษร, 4.44, B+)

 

17. KNOWING THIS IS A BAD THING, BUT KEEPING ON DOING IT (Nattapat Graitruadpol, B+)

รู้ว่าเลว (แต่) ก็ทำต่อไป (ณัฐภัทร ไกรตรวจพล, 9.48, B+)

 

18.HEY!, THESE ARE ALIENS (Moolumfilm, B)

เฮ้ย นี่มันพวกต่างดาวนี่ครัส (หมูหลุมฟิล์ม, 0.44, B)

 

19.MIRROR (Sasiras Meemongkol + Mutita Nuengsomsri, B)

MIRROR (ศศิรัศม์ มีมงคล + มุทิตา เนื่องสมศรี, 8.16, B)

 

20.THE LAST TRY (Thapana Satitwut, B)

ความพยายามครั้งสุดท้าย (ฐาปนา สาธิตวุฒิ, 9.55, B)

 

21.WHAT? (Moving Image, B-

อะไรเอ่ย? (Moving Image, 7.35,  B-)

 

22.BANGKOK PARADISE (Pawaris Chartnampetch, 3.01, C+)

สวรรค์บางกอก (ปวริศ ชาติน้ำเพชร)

 

23.HIRE (Pittaya Glomglao, C+)

HIRE (พิทยา กลมเกลา, 19.59, C+)

 

24.THE ANTI-CENSORSHIP ARE BANNING IT THEMSELVES (Thai Pradithkesorn, documentary, C+)

ห้ามแบน แต่แบนเอง (ไท ประดิษฐ์เกษร, 12.30, C+)

 


สำหรับเรา เราว่าปฏิรักมีปัญหาแค่เรื่องการบันทึกเสียงนะ เพราะเราไม่ค่อยได้ยินเสียงตัวละครคุยกันในบางช่วง แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้มีโอกาสได้ฉายที่ไหนอีก ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการใส่ subtitle ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเข้าไปเลยจ้ะ คนดูจะได้รู้ว่าตัวละครคุยอะไรกัน

 

สิ่งที่ชอบมากในปฏิรัก

 

1.สิ่งที่ตัวละครคุยกันน่าสนใจดี เราว่าผู้กำกับหลายคนที่ไม่ได้เรียนหนังมา แต่มีความรู้ทางการเมือง+สังคมสูง ควรทำหนังแบบนี้แหละ คือให้ตัวละครมาถกกันถึงแนวคิดทางการเมืองตรงๆไปเลย ซึ่งวิธีนี้ผู้ชมคนอื่นๆหรือผู้ทรงคุณวุฒิทางภาพยนตร์บางท่านอาจจะไม่ชอบนะ แต่เราชอบวิธีแบบนี้มาก หนังหลายๆเรื่องที่เราชอบก็ใช้วิธีการแบบนี้ อย่างเช่น LA CHINOISE (1967, Jean-Luc Godard) กับ “ทวิภพในเอกภพ” (2004, ปราปต์ บุนปาน) สิ่งสำคัญก็คือตัวคนสร้างภาพยนตร์ต้องรู้จริงในประเด็นที่ตัวเองพูด คือถ้าตัวคนสร้างภาพยนตร์ยังคิด form หรือ style ที่น่าสนใจมากๆไม่ได้ เราขอให้ content ของเขาแน่นจริงๆก่อนก็พอ

 

2.การนำประเด็นทางการเมืองมาโยงกับประเด็นชู้สาวของตัวละคร ก็น่าสนใจดี มันทำให้เรานึกถึงกลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก ที่มีการเปรียบเทียบระบอบการปกครองกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเหมือนกัน และมันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง WE DON’T CARE FOR DEMOCRACY (2010, John Torres, Philippines) ด้วย

 

3.การใช้ดนตรีประกอบในปฏิรักสุดยอดมากๆ เราว่าคนทำมี sense ด้านนี้สูงมาก และเหนือชั้นกว่าหนังสั้นเรื่องอื่นๆ เพราะเราว่าหนังสั้นหลายๆเรื่องใส่ใส่ดนตรีประกอบเข้ามาโดยไม่จำเป็น หลายเรื่องใส่ดนตรีประกอบที่ช่วยเร้าอารมณ์คนดูเข้ามาในฉากที่ตัวเนื้อเรื่องมันเร้าอารมณ์มากๆอยู่แล้ว ผลที่ได้ก็คืออารมณ์ที่ล้นเกิน และการ force อารมณ์ของคนดูโดยไม่จำเป็น

 

แต่ในปฏิรัก เราว่าดนตรีประกอบมันช่วยสร้างความหมายหรืออารมณ์ใหม่ๆให้กับภาพที่เห็นน่ะ คือภาพที่เห็น ถ้ามันไม่มีดนตรีประกอบแบบนี้ เราอาจจะรู้สึกกับภาพในอีกแบบนึงไปเลย เพราะฉะนั้นดนตรีประกอบในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเกือบพอๆกับภาพ ไม่ใช่ส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของภาพ

 

4.เราว่าคนทำมี sense ด้านภาพยนตร์ในแบบที่เราชอบนะ เสียดายที่เราจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจำไม่ผิด มันเหมือนมีภาพท้องฟ้า หรือวิวทิวทัศน์ ภาพเงาของตัวละคร หรือภาพที่ไม่ได้เล่าเรื่องโดยตรง แทรกเข้ามาในบางช่วงของเรื่องน่ะ และเราว่าช็อตพวกนี้มันแสดงให้เห็นว่าคนทำมี sense ด้านภาพยนตร์ในแบบที่เราชอบ มันเหมือนมีความเป็นกวีอยู่ด้วย และถ้าจำไม่ผิด มันเหมือนมีบางช่วงที่ทำให้เรานึกถึง Terrence Malick ด้วย

No comments: