LE ROMAN DE MICHELLE ET FRANCISCO (2014, Natchanon Vana, A+15)
You can watch this film here:
ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้
1.ชอบองค์ประกอบหลายๆอย่างในหนัง แต่โดยรวมแล้ว
หนังไม่ได้มีอะไรที่กระทบเราเป็นการส่วนตัว
ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดของหนังแต่อย่างใด แต่มันเป็นเรื่องของประสบการณ์และรสนิยมส่วนตัวของคนแต่ละคนมากกว่า
เพราะฉะนั้นสำหรับเราแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังที่เรา admire และเห็นว่าน่าสนใจมาก
และก็ชอบในระดับนึง แต่ไม่ถึงขั้นชอบสุดๆ เพราะมันไม่ได้ “โดน” เราเป็นการส่วนตัว
2.องค์ประกอบที่ชอบมากในหนังมีหลายอย่าง อย่างแรกเลยก็คือการถ่ายภาพ+การจัดแสงที่งดงามมากๆ
ดูเป็นมืออาชีพมากๆ ฉากที่นางเอกแต่งหน้าขณะส่องกระจก ดูสวยมากๆ
และฉากที่นางเอกนั่งท้าวแขนบนด้านหลังของโซฟา ก็ดูงดงามมากๆราวกับภาพวาดของจิตรกร
3.ในการดูรอบแรกนั้น เราปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย
สิ่งต่างๆที่นางเอกพูดออกมา เราสามารถคิดตามได้ทันเพียงแค่ 10% เท่านั้น
เพราะฉะนั้นในการดูหนังเรื่องนี้รอบแรก เราก็เลยประทับใจกับการถ่ายภาพเป็นลำดับแรก
และก็ประทับใจกับฉากบางฉาก แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า นางเอกพูดอะไรออกมาบ้าง
ฉากที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ มี 3 ฉากด้วยกัน ซึ่งได้แก่
3.1 ฉากนางเอกเต้นรำ เราชอบการจัดแสงแบบมืดๆในฉากนี้มาก
และชอบลีลาของนางเอกกับเพลงประกอบด้วย
เราว่าท่าเต้นของนางเอกทำให้เพลงฟังดูเพราะขึ้น
และเพลงที่ใช้ก็ทำให้ท่าเต้นของนางเอกดูงดงามมากยิ่งขึ้น
3.2 ฉากนางเอกทาลิปสติกแล้วรู้สึกเจ็บปวดกับความรักจนต้องร้องไห้ออกมา
เราชอบฉากนี้มากที่สุดในหนัง คงเป็นเพราะเรามักจะชอบอะไรที่แสดงถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในจิตใจน่ะ
เราก็เลยโดนกับฉากนี้มากที่สุด
3.3 ฉากนางเอกแดกสลัด เราชอบฉากนี้มากเพราะว่าเราได้เห็นนางเอกแดกอาหารจริงๆ
ในขณะที่ในฉากอื่นๆมันจะเป็นนางเอกโพสท์ท่าเก๋ไก๋ชไมพรไปเรื่อยๆ การได้เห็นนางเอกแดกอาหารจริงๆในฉากนี้
มันเลยดูแตกต่างจากฉากอื่นๆในเรื่องที่เป็นการโพสท์ท่าเก๋ไก๋
การกินอาหารมันเป็นกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ที่อาจไม่ค่อยได้เห็นในหนังน่ะ
เพราะว่ากิจวัตรประจำวันมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องเดินหน้า
ฉากกินข้าวส่วนใหญ่ในหนังทั่วๆไปมักจะเน้นไปที่บทสนทนาของตัวละคร
มากกว่าการได้เห็นตัวละครกินอาหารจริงๆ
ฉากนี้ในหนังเรื่องนี้มันก็เน้นไปที่บทพูดของตัวละครเหมือนกัน
แต่เราก็ชอบมากที่หนังถ่ายโคลสอัพให้เราเห็นลีลาการแดกของนางเอกจริงๆด้วย
4.วิธีการเล่าเรื่องของหนังก็น่าสนใจมาก
การที่หนังเลือกใช้วิธีการแบบนี้อาจจะแสดงให้เห็นว่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเป็นอันดับแรก”
ซึ่งเรามักจะชอบหนังแบบนี้
เราชอบหนังที่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบอื่นๆมากกว่าการเล่าเรื่อง เพราะหนังกลุ่มนี้มันให้รสชาติแตกต่างจากหนังฮอลลีวู้ดทั่วๆไป
วิธีการที่หนังเรื่องนี้ใช้ก็คือการเล่าเรื่องผ่านสิ่งที่นางเอกพูด
ซึ่งเป็นกึ่ง monologue กึ่ง dialogue (มันเป็น
dialogue ที่ตัดบทของคู่สนทนาออกไป) ซึ่งในการดูรอบแรกนั้น
สิ่งที่นางเอกพูดแทบไม่เข้าหัวเราเลย
เพราะฉะนั้นเราก็เลยมองว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเป็นอันดับแรก
แต่พอได้ดูรอบสองทางยูทูบ เราถึงจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ
และก็ต้องใช้จินตนาการของตัวเองในการเชื่อมโยงเนื้อเรื่องเข้าด้วยกันด้วย
เราเข้าใจว่า นางเอกคงเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในชิลีกับ grandmother เธอเคยเป็นโรคนอนไม่หลับอยู่พักนึงตอนอายุ
16 จนกระทั่งได้ดอกไม้จาก grandmother มาทำให้ช่วยนอนหลับ
นอกจากนี้ เธอกับคนที่ชื่อเรย์และ grandmother ยังชอบไปเดินเล่นด้วยกัน
แต่พอเรย์ตาย เธอก็เลยใช้เวลาว่างด้วยการไปเข้าโรงเรียนการแสดง
ปัจจุบันนี้เราเข้าใจว่านางเอกมาเปิดการแสดงเต้นรำที่ต่างประเทศ เธอพบรักกับฟรานซิสโกซึ่งเป็นนักแปลที่อยากเป็นนักเขียน
แต่ดูเหมือนเธอจะรักเขามากกว่าที่เขารักเธอ
เพราะเธอบอกว่าเธอคาดไว้แล้วว่าเขาคงไม่ไปดูการแสดงของเธอหรืออะไรทำนองนี้
และในตอนท้ายของเรื่อง ฟรานซิสโกก็เริ่มประสบความสำเร็จจากการเขียนหนังสือ
ในขณะที่นางเอกกำลังจะเดินทางกลับชิลีและอยากพบฟรานซิสโกเป็นครั้งสุดท้าย
5.วิธีการที่ให้นางเอกพูดคนเดียวแบบข้างต้น เราว่ามันเป็นวิธีการที่แปลกดี
และแทบไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นๆ และตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้รอบแรกเราก็สงสัยว่า
5.1นางเอกเธอเป็นบ้าหรือเปล่า ถึงได้พูดคนเดียว
5.2 หรือนางเอกซ้อมบทละคร
5.3 หรือจริงๆแล้วหนังเรื่องใช้วิธีการแบบนี้แหละในการเล่าเรื่อง
โดยไม่ต้องยึดโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใด
6.ชอบการล้อกันระหว่างฉากแรกกับฉากจบของหนังเรื่องนี้ เพราะฉากแรกของหนังเรื่องนี้
นางเอกเล่าว่าเธอเป็นโรคนอนไม่หลับจนกระทั่งได้รับการเยียวยาจากดอกไม้
ส่วนฉากจบของหนังเรื่องนี้เป็นฉากนางเอกนอนหลับท่ามกลางมวลบุปผชาติ
7.เราว่าหนังเหมือนมีการหมกมุ่นบางอย่างกับการใช้ปากของนางเอก
ผ่านทางการเล่าเรื่อง, การดูดบุหรี่, การทาลิปสติก และการกินอาหาร
8.คือโดยรวมๆแล้ว หนังเรื่องนี้กับหนังเรื่อง LIFE ON MARS (2013,
Natchanon Vana, A+10) มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เรานึกถึงละครเวทีบางเรื่องที่เขียนบทโดยคุณอรดา
ลีลานุช เพราะมันมีจุดที่เราชอบและเราไม่ชอบเป็นการส่วนตัวที่คล้ายๆกัน
โดยจุดที่เราชอบก็คือว่า หนังสองเรื่องนี้กับละครเวทีของคุณอรดา มันมี “ความงดงามแบบกวี”
และมันแสดงให้เห็นว่า ผู้สร้างผลงานเหล่านี้มีความเป็นตัวของตัวเอง
และไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่สาเหตุที่หนังสองเรื่องนี้กับละครเวทีบางเรื่องของคุณอรดาไม่ได้ทำให้เราชอบสุดๆในระดับ
A+30 เป็นเพราะว่า มันมี “อารมณ์ล่องลอย”
บางอย่าง ที่มันดูสวยงามก็จริง แต่มันไม่ตรงกับรสนิยมส่วนตัวของเราน่ะ
เพราะเราเป็นคนที่ชอบ “อารมณ์เจ็บปวด” น่ะ หนังที่ให้อารมณ์นี้กับเราได้
เราก็จะชอบในระดับ A+30 แต่หนังที่ให้อารมณ์ล่องลอยแบบสวยๆกับเรา
เราจะไม่อินกับมันเป็นการส่วนตัว แต่แน่นอนว่าหนังกลุ่มนี้ย่อมมี target
group เป็นของตัวเอง และมีผู้ชมคนอื่นๆอีกหลายคนที่จะชอบหนังกลุ่มนี้อย่างมากๆ
9.มีผู้ชมบางคนเปรียบเทียบหนังเรื่องนี้กับหนังของมาร์เกอริต ดูราส์ด้วย
และเราก็เห็นด้วยว่ามันน่าเปรียบเทียบกันอย่างมากๆ เพราะหนังของดูราส์หลายๆเรื่อง เล่าเรื่องผ่านทาง
“เสียงพูด” ของตัวละครเป็นหลัก ในขณะที่ภาพในหนังจะแทบไม่ได้ทำหน้าที่ “เล่าเรื่อง”
เลย อย่างเช่นเรื่อง INDIA SONG, HER VENETIAN NAME IN CALCUTTA DESERT, THE LORRY, BAXTER
VERA BAXTER, LE NAVIRE NIGHT และ AGATHA AND THE UNLIMITED
READINGS นอกจากนี้ วิธีการถ่ายนางเอกในหนังเรื่องนี้บวกกับประสบการณ์เรื่องความรักของหญิงสาวอายุน้อยในหนังเรื่องนี้
ยังทำให้นึกถึง THE LOVER (1992, Jean-Jacques Annaud) ที่สร้างจากนิยายของดูราส์ด้วย
อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ทำให้เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากเท่ากับหนังของดูราส์
มันเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้ยังขาดความเฮี้ยนบางอย่างที่พบได้ในหนังของดูราส์จ้ะ
No comments:
Post a Comment