Sunday, May 10, 2015

FILMS SEEN IN MOVIE SEASON 2

FILMS SEEN IN MOVIE SEASON 2

1.MY GRANDFATHER’S PHOTOBOOK ส่วนที่หายไป (2015, Nutthapon Rakkhatham + Phatthana Paiboon, documentary, 30min, A+30)

สุดฤทธิ์มากๆ ชอบทั้งเนื้อเรื่องและวิธีการนำเสนอ คือเนื้อเรื่องที่พูดถึงการที่คุณตาเก็บศพน้าชายไว้ 27 ปีโดยไม่ยอมเผานี่มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจสุดๆในตัวมันเองอยู่แล้ว หนังยังมีวิธีการนำเสนอที่สุดยอดมากๆอีกด้วย

เราชอบตั้งแต่ฉากแรกเลยแหละ ที่เป็นฉากบรรยากาศบ้านเรือนอะไรตอนมืดๆ แล้วเหมือนมีเสียงป้าสองคนคุยกันเรื่องอะไรสักอย่าง คือฉากเปิดแบบนี้มันไม่พยายามจะเรียกร้องความสนใจคนดูน่ะ และเราพบว่าหนังอะไรก็ตามที่ใช้ฉากเปิดแบบนี้ มันมีแนวโน้มสูงมากที่จะเข้าทางเรา นอกจากนี้ ฉากเปิดแบบนี้ยังทำให้เรานึกถึงบรรยากาศในหนังของ Apichatpong Weerasethakul และ Chaloemkiat Saeyong ด้วย

หลังจากนั้นหนังก็นำเสนอการสัมภาษณ์สมาชิกครอบครัวในแบบที่ทำให้เรางงๆเล็กน้อย ว่าแต่ละคนมันเป็นใคร มันเกี่ยวข้องกันยังไง และมันมีสถานะความสัมพันธ์อะไรกับผู้กำกับ จนกระทั่งไปถึงกลางเรื่อง เราถึงค่อยเข้าใจว่าใครเป็นใคร จากฉากที่คุณยายให้สัมภาษณ์

เราว่ากลวิธีแบบนี้มันถูกโฉลกกับเราด้วยแหละ เราชอบความงงๆของเราในช่วงต้นเรื่อง มันทำให้หนังดูน่าติดตามและน่าสนใจดี คือมันทำให้เราอยากดูต่อไปเรื่อยๆเพื่อเราจะได้หายงง 555

ช่วงต้นเรื่องที่หนังให้ “ลูกพี่ลูกน้อง” ถ่ายแม่ของตัวเองนี่ work มากๆเลยนะ เราว่าการให้เด็กเล็กๆจับกล้องนี่มันถูกโฉลกกับเรามากๆ เพราะเด็กมันจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนคนที่มีความรู้เรื่องหนังไง เพราะฉะนั้นภาพที่เด็กถ่ายมันจะมีความแปลกประหลาด และสดใหม่อะไรบางอย่าง อย่างเช่นฉากซูมปากคุณแม่ในหนังเรื่องนี้

พอหนังเข้ามาช่วงกลางเรื่อง และเราเริ่มเข้าใจว่าประเด็นหลักของหนังคือเรื่องน้าชายที่ตายไปเมื่อราว 27 ปีก่อน หนังก็ยังคงน่าสนใจอยู่ดี เราว่าหนังมีวิธีการเลือกใช้ภาพบางอย่างที่มัน work น่ะ แต่เราอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง แต่เรารู้สึกว่านอกจากตัวเนื้อเรื่องของหนังมันจะโอเคมากๆแล้ว หนังยังเลือกใช้ภาพแต่ละภาพเพื่อนำมาประกอบกับเสียงสัมภาษณ์ได้อย่างโอเคมากๆด้วย

คือเราดูแล้วเศร้าจนเกือบร้องไห้เลยนะ ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นสมาชิกครอบครัวนี้ และสมาชิกครอบครัวนี้ก็ไม่ได้ฟูมฟายต่อหน้ากล้องน่ะ แต่หนังมันสามารถทำให้เรารู้สึกเศร้ากับชีวิตมนุษย์และรู้สึก sympathize กับตัวคุณตาในหนังได้

จริงๆแล้วหนังสั้นไทยที่เป็นสารคดีเกี่ยวกับชีวิตผู้กำกับนี่มีออกมาเยอะมาก แต่โชคดีที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาแล้ว work สุดๆ ทั้งๆที่โดยตัว genre แล้วมันเป็นหนังที่มีคู่แข่งเยอะมาก

2.GIFT (2015, Aekungkan Srikasem, 32min, A+20)

คือช่วงหนึ่งนาทีแรกนี่เรารู้สึกว่าหนังโสมาก หนังต้องไม่เข้าทางเราแน่ๆ เพราะเราเกลียดหนังโรแมนติก โดยเฉพาะหนังโรแมนติกที่นางเอกหน้าตาสวยน่ารักน่ะ

แต่พอเห็นฉากพระเอกเล่นกีตาร์ปุ๊บ เราก็โอเคขึ้นมาทันที คือหนังโรแมนติกนี่ ถ้าหากพระเอกมันดู desirable ในสายตาของเรา หนังก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว 555 และเราว่าหนังเรื่องนี้เก่งในแง่ที่ว่า เรารู้สึกว่าพระเอกหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่คนที่หล่อมาก แต่หนังมันดึงเสน่ห์ของพระเอกออกมาได้มากๆเลยน่ะ คือเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับฝีมือผู้กำกับด้วยแหละ (สิ่งที่ตรงข้ามก็คือหนังของพจน์ อานนท์ เพราะหนังของพจน์ อานนท์ใช้ดาราหล่อๆมากมาย แต่ผู้กำกับแทบไม่สามารถดึงเสน่ห์ของดาราเหล่านี้ออกมาได้เลย)

ส่วนตัวนางเอกนั้น แว่บแรกเรารู้สึกไม่ถูกโฉลกเพราะเรามักจะอิจฉาผู้หญิงแบบนี้ แต่ไปๆมาๆเรารู้สึกว่าตัวนักแสดงนั้นแสดงได้ดีมาก และตัวละครนางเอกก็ไม่น่าหมั่นไส้ในสายตาของเราด้วย เพราะเธอไม่ใช่สาวสวยใสงุ้งงิ้งน่ะ แต่เธอเป็น single mom ที่ตั้งใจทำงานเลี้ยงลูกจริงๆ และเราก็ชอบที่หนังไม่ทำให้ชีวิตตัวละครตัวนี้ดูลอยๆน่ะ เราชอบที่หนังแสดงให้เห็นถึงปัญหาการเลี้ยงลูกคนเดียวของเธออย่างจริงจัง มันทำให้ตัวละครตัวนี้ดูเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้มากๆ

แต่เราว่าตัวพระเอกเล่นไม่ค่อยดีนะ บทพูดของพระเอกก็ยังไม่ค่อยดีด้วย

3.MR.PERFECT SCHOOL โรงเรียนของผู้พร้อมและสมบูรณ์ (2015, Natthapat Kraitrujpol, 40min, A+10)

จริงๆแล้วเราว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้มีแววว่าจะไปได้ไกลมากๆนะ เพียงแต่ว่าเขามักจะ “เล่นท่ายาก” หรือทะเยอทะยานสูงน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าอารมณ์ในหนังของเขามันยังเกลี่ยไม่ค่อยลงตัว จังหวะมันยังไม่ค่อยลงตัว แต่เราชอบความทะเยอทะยานของเขามากๆ เราว่าเขามีเทคนิคแพรวพราวเยอะมาก แต่การจะเล่นท่ายากแล้วออกมาให้ดีได้นั้น มันอาจจะต้องอาศัยการฝึกฝน ลองผิดลองถูกต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเก่งขึ้น จับจังหวะได้ถูกต้อง แล้วมันจะออกมาลงตัวน่ะ

คือเราว่าในแง่นึงมันมีอะไรบางอย่างตรงข้ามกับ GIFT คือ GIFT เหมือนเป็นหนังที่ไม่ทะเยอทะยานสูงน่ะ แบบว่า “ฉันจะสร้างหนังโรแมนติกธรรมดาๆเรื่องนึง” คือมันไม่ได้ตั้งเป้าสูง แล้วมันก็เลยคุมอารมณ์ทุกอย่างในหนังให้ออกมาราบรื่นลงตัวได้ แต่ MR. PERFECT SCHOOL ตั้งเป้าสูงกว่า GIFT มาก หนังเต็มไปด้วยไอเดียกิ๊บเก๋เยอะแยะมากมาย มันก็เลยยากจะที่เอาไอเดียเก๋ๆมากมายเหล่านี้มาร้อยเรียงเข้าด้วยกันแล้วเกลี่ยอารมณ์ให้ลงตัว

เราว่าจังหวะในหนังเรื่องนี้ที่ออกมาลงตัวที่สุด คือฉากที่ “เต็งหนึ่ง” เรียนพิเศษ แล้วได้เห็นภาพพระเอกกับนางเอกถูกส่งเข้าทางโทรศัพท์มือถือน่ะ เราว่าการตัดต่อในฉากนี้ออกมาลงตัวมากๆ จังหวะถูกต้องได้อารมณ์มากๆ

สรุปว่าเราว่าผู้กำกับคนนี้มีแววน่าสนใจสุดๆ คือถึงแม้หนังของเขาอาจจะไม่ได้เข้าทางเรามากนักในตอนนี้ แต่เราว่าความทะเยอทะยานของเขาอาจจะพาเขาไปได้ไกลมากๆในอนาคต

4.YOU KNOW I’M BAD คนไม่ดีก็มีหัวใจ (2015, Prairung Bhandngam, 30min, A)

ชอบไอเดียมากๆที่หนังนำเสนอนางเอกที่มีภาพลักษณ์แบบนางอิจฉา แต่เราว่าช่วงท้ายเรื่องมันไม่ลงตัวมากๆน่ะ เพราะมันต้องแก้สองปมให้ได้ในบทสนทนาครั้งเดียว ปมนึงคือเรื่องที่ว่าพระเอกอยากให้นางเอกทำตัวแบบไหนกันแน่ และปมที่สองคือนางเอกยอมรับพระเอกที่ทำอาชีพแบบนี้ได้มั้ย แล้วเรารู้สึกว่าบทสนทนาในฉากนี้มันออกมางงๆยังไงไม่รู้น่ะ คือถ้าจะแก้สองปมให้ได้ในฉากเดียว บทสนทนาในฉากนี้น่าจะยาวกว่านี้หน่อย คุยกันให้เคลียร์กว่านี้หน่อย แล้วอารมณ์ในหนังจะราบรื่นขึ้น

5.THE HUNT IS UP คนจับโกง (2015, Phakdee Suriyamatr, 32min, A)
ชอบมากที่หนังพยายามเอาจริงเอาจังเรื่องการตรวจสอบบัญชี และการจัดซื้อจัดจ้าง เหมือนว่าหนังลงลึกประเด็นพวกนี้มากกว่าหนังสืบสวนสอบสวนทั่วไป แต่เราว่า mood&tone หรือบรรยากาศในหนังมันไม่เข้ากับ genre หนังน่ะ คือมันถ่ายภาพออกมาดูแบนๆ หรือดูแล้วแทบเป็นหนังโรแมนติก เวลาดูเราก็มัวแต่ลุ้นว่าอยากให้พระเอกกับผู้ช่วยเป็นคู่เกย์กัน 555 แทนที่จะดูแล้วรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของโลกอาชญากรรม โลกทุจริต ผู้คนไม่น่าไว้วางใจ อะไรแบบนี้

6.30 DAYS LOVE LAST CHANCE (2015, Mujalin Pornchaitaweesuk, 36min, A-)
อันนี้ก็ชอบ idea มากๆ ที่เป็นเรื่องคุณป้าอารมณ์เปลี่ยว แต่เราว่าหนังจืดไปทั้งในด้านบทสนทนา, การสร้างบุคลิกตัวละครประกอบ และวิธีการถ่ายน่ะ คือเราว่าหนังมันจะเข้าทางเรามากกว่านี้ถ้าหากมันทำเป็นแบบ SEX AND THE CITY ไปเลย คือสร้างบุคลิกตัวละครประกอบป้าๆทั้ง 5 คนให้ฉูดฉาดกว่านี้ ชัดเจนกว่านี้ไปเลย, สร้างบทสนทนาให้เผ็ดร้อนกว่านี้ และก็ถ่ายตัวละครให้ใกล้กว่านี้น่ะ


ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราว่าหนังมันถ่าย medium shot มากเกินไปน่ะ มันทำให้เรารู้สึกเหินห่างจากตัวละคร ซึ่งมันจะโอเคถ้าหากมันเป็นหนังอาร์ตหรือหนังชีวิต แต่พอมันเป็นหนังโรแมนติกแบบนี้ เราว่าถ้ากล้องมัน close up ตัวละครได้มากขึ้น อารมณ์มันจะส่งมาถึงผู้ชมได้มากกว่านี้น่ะ 

No comments: