Sunday, May 17, 2015

LOST RIVER (2014, Ryan Gosling, A+20)

LOST RIVER (2014, Ryan Gosling, A+20)

ชอบ “บรรยากาศ” ของหนังอย่างสุดๆเลยนะ คือบรรยากาศของหนังมันเข้าทางเรามากๆ แต่ “เนื้อเรื่อง” และ “ตัวละคร” มันไม่เข้าทางเราน่ะ และ “ความโรแมนติกของหนัง” (การที่พระเอกบุกไป “ฆ่ามังกร” เพื่อช่วยแม่ผู้แสนดีและนางเอกผู้แสนดี) ก็ไม่เข้าทางเราอย่างมากๆเลยด้วย เพราะฉะนั้น wavelength ของหนังมันเลยไม่ตรงกับเรา มันเหมือน wavelength ของเราอยู่ที่ 88FM แต่หนังเรื่องนี้อยู่ที่ 88.5 FM ในขณะที่หนังของ David Lynch จะอยู่ที่ 88FM ตรงกับเรา เพราะทั้ง “บรรยากาศ”, “เนื้อเรื่อง” และ “ตัวละคร” ในหนัง David Lynch มันเข้าทางเรามากกว่า และหนัง David Lynch มันไม่ค่อยมี “ความโรแมนติก” แบบที่เป็นปฏิปักษ์กับเราเหมือนในหนังเรื่องนี้

สิ่งที่เราเขียนไม่ใช่การบอกว่าหนังของ David Lynch ดีกว่าหนังเรื่องนี้นะ เราแค่จะบอกว่าเพราะเหตุใดหนังเรื่องนี้ถึงไม่ได้เข้าทางเรา หรือไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเรา ในขณะที่หนังของ David Lynch ดูเหมือนจะเข้าทางเรามากกว่า

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--

1.ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้จงใจเล่นกับคำว่า underwater หรือเปล่า เพราะคำว่า underwater มีความหมายในทางการเงินเกี่ยวกับการจำนองบ้าน และเราว่าสถานะของ Billy (Christina Hendricks) ก็คือสถานะของผู้ที่ตกอยู่ใน underwater mortgage เพราะฉะนั้นมันก็เลยล้อกันดีระหว่าง “เมืองที่จมน้ำ” กับ ครอบครัวของพระเอกที่ตกอยู่ใน underwater mortgage

อันนี้คือความหมายของ underwater mortgage

“A home purchase loan with a higher balance than the free-market value of the home. This situation prevents the homeowner from selling the home unless s/he has cash to pay the loss out of pocket. It also prevents the homeowner from refinancing in most cases. Thus, if the homeowner wants to sell the home because s/he can't afford the mortgage payments anymore, perhaps because of a job loss, the home will fall into foreclosure unless the borrower is able to renegotiate the loan.”


2.ขอเขียนถึงสิ่งที่ชอบก่อนก็แล้วกัน เราชอบบรรยากาศของหนังอย่างสุดๆมาก และรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้าง visual อะไรที่น่าหลงใหลแบบนี้ขึ้นมาได้ตลอดทั้งเรื่อง ชอบสีสันต่างๆในหนังเรื่องนี้มากๆด้วย

ฉากที่ชอบสุดๆคือฉากที่ Rat กับ Bones ดูทีวีด้วยกัน คือการจัดแสงและการถ่ายในฉากนั้นมันหลอนมากๆ ทั้งๆที่มันเป็นสถานการณ์ปกติในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป คือมันคือการนั่งดูหนังในบ้านของตัวเองน่ะ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดในเมืองร้างหรือ club bizarre หรืออะไร มันคือการนั่งดูหนังในห้องนั่งเล่นของตัวเองที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน แต่หนังเรื่องนี้สามารถถ่าย “กิจวัตรประจำวันที่ประชาชนทั่วไปก็สามารถทำได้” ให้ออกมาดูหลอนอย่างสุดๆได้ และเราก็ชอบอะไรแบบนี้มากๆ

3.คือเราดูหนังเรื่องนี้เสร็จตอนประมาณเกือบสี่ทุ่ม แล้วเราพบว่าเรามองสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปเลยนะ คือปกติเราจะมองโถงโรงหนังโล่งๆ, แสงไฟตามท้องถนน และอาคารบ้านเรือนตอนสี่ทุ่ม ด้วยความรู้สึกเฉยๆไง แต่พอเราดูหนังเรื่องนี้เสร็จปุ๊บ แล้วเราออกมาเจอโถงโรงหนังโล่งๆตอนสี่ทุ่ม เจอแสงไฟตามท้องถนนตอนสี่ทุ่ม เรารู้สึกได้ทันทีว่ามันมี “เสน่ห์ลึกลับ” บางอย่างอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ และเราก็ชอบหนังที่ทำให้เรามองเห็นความงามในสิ่งธรรมดาต่างๆแบบนี้น่ะ ซึ่งจริงๆแล้วหนังหลายเรื่องของ Teeranit Siangsanoh ก็มีผลแบบนี้กับเราเหมือนกัน หนังกลุ่มนี้มันดึง “เสน่ห์ลึกลับ” ของสิ่งธรรมดาๆในชีวิตประจำวันออกมาได้

4.แต่นอกจาก “บรรยากาศ” แล้ว องค์ประกอบอื่นๆของหนังกลับไม่ได้เข้าทางเรามากนัก โดยเฉพาะถ้าหากไปเทียบกับหนังของ David Lynch ที่มีบรรยากาศหลอกหลอนคล้ายๆกัน อย่างแรกเลยที่เรารู้สึกขณะดูหนังเรื่องนี้ก็คือว่า เราสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่อยาก pose ท่าเลียนแบบตัวละครตัวไหนในหนังเรื่องนี้เลย ในขณะที่หนังของ David Lynch กลับเต็มไปด้วยตัวละครที่เราอยากจะโพสท่าเลียนแบบในชีวิตจริง

คือเราก็ตอบคำถามข้างต้นไม่ได้นะ แต่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าสนใจของตัวละครหญิงบางตัว โดยเฉพาะตัวละครของ Eva Mendes และ Barbara Steele แต่มันกลับไม่ทำให้เราเกิดอาการอยากเลียนแบบหรือโดนใจเราจริงๆเหมือนตัวละครหญิงในหนังของ David Lynch น่ะ คือเวลาที่เราดูหนังของเดวิด ลินช์ เราพบว่าเราอยากทำท่าทาลิปสติกเลียนแบบ Joan Chen ใน TWIN PEAKS, เราอยากคลานลงกระไดเลียนแบบแม่ของ Laura Palmer ใน TWIN PEAKS, เราอยากแต่งหน้าเลียนแบบ Diane Ladd ใน WILD AT HEART และเราอยากแต่งหน้าเลียนแบบ Rebekah Del Rio ใน MULHOLLAND DRIVE แต่เรากลับไม่อยากทำท่าทางเลียนแบบใครเลยใน LOST RIVER ทั้งๆที่หากดูโดยผิวเผินแล้ว หนังเรื่องนี้มีการสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครหญิงที่น่าสนใจในระดับนึง

5.และจริงๆแล้วเราก็มีปัญหากับตัวละครแม่และ Rat ในหนังเรื่องนี้มากพอสมควร คือไม่ใช่ตัวละครสองตัวนี้ไม่ดีนะ มันแค่ไม่เข้าทางเราเท่านั้นน่ะ

คือการตัดสินใจของตัวละครแม่ในช่วงท้ายเรื่องนี่มันไม่เข้าทางเรามากๆ คือการที่เธอใช้มีดแทงนายธนาคารมันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลก็จริง แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็น “แม่ผู้แสนดีที่จริงๆแล้วไม่ชอบการทำงานแบบนี้หรอก เธอจำใจต้องทำงานแบบนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกเท่านั้นเอง” และมันทำให้ตัวละครตัวนี้ขาด “ซอกหลืบวิปริตเร้นลับในจิตใจ” แบบที่เราต้องการน่ะ

คือถ้าหากตัวละครแม่มันจะเข้าทางเรา เธอก็คงจะตัดสินใจใช้มีดจี้บังคับนายธนาคารให้มีเซ็กส์กับเธอ แบบที่นางเอก BLUE VELVET ทำ เธอจะไม่ใช่ตัวละครแม่ผู้ตัดสินใจปฏิเสธความวิปริตในท้ายที่สุด แต่จะเป็นแม่ผู้ในที่สุดแล้วก็ยอมรับว่า ฉันเองก็มีความวิปริตบางอย่างซ่อนอยู่ในตัว และในที่สุดฉันก็ยอมรับมันได้ และจะเริงร่าหรรษาไปกับมันอย่างถึงที่สุด

6.การที่ตัวละคร Billy ทิ้งคลับพิสดารออกมาในช่วงท้ายนั้น มันทำให้ตัวละครฝ่ายดีอย่าง Rat, Bones และ Billy ในหนังเรื่องนี้ ดูเหมือนจะยืนอยู่ตรงข้ามกับคลับพิสดารน่ะ และมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มัน treat กิจกรรมต่างๆในคลับพิสดารให้เป็นเหมือน “สิ่งผิด” เป็น “กิจกรรมที่ไม่ดี” เป็น “กิจกรรมของตัวละครฝ่ายคนร้าย” หรือเป็น “กิจกรรมของฝ่ายนายทุนที่ชั่วร้าย” น่ะ และการที่มันผลักกิจกรรมพิสดารเหล่านี้ให้ไปอยู่ในฝั่งของคนร้าย มันเป็นสิ่งที่มีปัญหาสำหรับเรา

คือขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราจะนึกถึงหนัง Harmony Korine สองเรื่องน่ะ นั่นก็คือ GUMMO (1997) กับ SPRING BREAKERS (2012) ในแง่ที่ว่า LOST RIVER มันถ่ายทอดกิจวัตรประจำวันของผู้คนในเมืองเหี้ยๆเหมือนอย่าง GUMMO และมีสีสันเถิดเทิงเหมือนกับ SPRING BREAKERS แต่เราว่าหนังของ Harmony Korine มันมีท่าทีที่ก้ำกึ่งทางศีลธรรมที่น่าสนใจมากกว่า LOST RIVER น่ะ คือ LOST RIVER มันมีอะไรแรงๆก็จริงๆ แต่อะไรแรงๆพวกนี้มันกลับกลายเป็นพฤติกรรมของ “ฝ่ายผู้ร้าย” หมดเลย ในขณะที่ตัวละครอย่าง Billy ที่น่าจะช่วยสร้างความกำกวมทางศีลธรรมให้กับหนังเรื่องนี้ได้ ก็กลับทำให้เราผิดหวังนิดหน่อยในตอนท้ายเรื่อง

7.อีกจุดที่เรามีปัญหาโดยเฉพาะถ้าหากเทียบกับหนังของ David Lynch ก็คือเรื่อง “ภัยจากภายนอกครอบครัวที่พยายามจะมาทำลายครอบครัว” แทนที่จะเป็น “ภัยร้ายจากภายในครอบครัวเอง”

คือใน LOST RIVER นั้นตัวละครดูเหมือนจะประสบภัยจากภายนอกครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากระบบทุนนิยมที่พยายามจะมายึดบ้าน และอันธพาล (ซึ่งจริงๆแล้วก็ทำตัวคล้ายๆระบบทุนนิยมในแง่การผูกขาดทรัพยากร) และตัวละครแม่กับลูกชายก็ต้องช่วยเหลือกันฟันฝ่าอุปสรรคนี้ให้ได้ในที่สุด

แต่ในหนังของ David Lynch บางเรื่องนั้น ภัยร้ายคือภัยที่เกิดจากสมาชิกครอบครัวเดียวกันเอง โดยเฉพาะใน WILD AT HEART และ TWIN PEAKS และมันก็เป็นสิ่งที่เข้าทางเรามากกว่า คือหนังของ David Lynch หลายๆเรื่องมันเต็มไปด้วย “ความเกลียดชังคนในครอบครัวเดียวกัน” (อาจจะรวมไปถึง ERASERHEAD) หรือ “ความไม่ไว้วางใจคนในครอบครัวเดียวกัน” แต่ใน LOST RIVER นั้น “ครอบครัว” กลายเป็นสิ่งที่ต้องปกปักรักษาและประคับประคองให้อยู่รอดไว้ แทนที่จะเป็นสิ่งที่สมควรถูกทำลาย เพราะฉะนั้น LOST RIVER ก็เลยไม่ค่อยเข้าทางเรามากนัก

หรือสรุปง่ายๆก็คือว่า มันมีความ disturbing บางอย่างที่เราชอบสุดๆใน “จักรวาล” ในหนังของ Harmony Korine และ David Lynch แต่ LOST RIVER ขาดความ disturbing ในแบบที่เราชอบไป

8.ส่วนตัวละคร Rat นั้นไม่ได้มีปัญหามากนักในตัวมันเอง แต่มีปัญหาตรงที่พระเอกเลือกที่จะรักเธอ แทนที่จะรัก grandmother ของเธอ 555 คือหนังเรื่องนี้มันมีองค์ประกอบบางอย่างที่คล้ายๆหนังญี่ปุ่นเรื่อง CAPE NOSTALGIA (2014, Izuru Narushima, A+30) ที่เราเพิ่งดูมาน่ะ เพราะในหนังสองเรื่องนี้ จะมีตัวละครหญิงสูงวัยที่หมกมุ่นกับผัวที่ตายไปแล้วเหมือนกัน และในเวลาต่อมา หญิงสูงวัยในหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็ประสบปัญหาบ้านไฟไหม้เหมือนกัน และตัดสินใจไม่หนีออกจากบ้านไฟไหม้เหมือนๆกันเลย

แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราชอบ CAPE NOSTALGIA ในระดับ A+30 แต่ชอบ LOST RIVER ในระดับ A+20 ก็คือว่า ใน CAPE NOSTALGIA นั้น หญิงสูงวัยคือนางเอกของเรื่อง ส่วนพระเอกคือหลานชายของเธอที่แอบหลงรักเธอ แต่ใน LOST RIVER นั้น พระเอกดันไปชอบหลานสาวของหญิงสูงวัยแทน เพราะฉะนั้น CAPE NOSTALGIA ก็เลยเข้าทางเรามากกว่า LOST RIVER อย่างเห็นได้ชัด

9.แต่ชอบ architecture ใน LOST RIVER มากๆนะ ทั้งซากปรักหักพังของบ้าน, ทางเข้าคลับ, ทางเดินในชั้นใต้ดินของคลับ, โรงระบำร้าง, ห้องเรียนร้าง

คือพอเห็น architecture ที่มันหลอนแบบทรงพลังแบบนี้แล้ว ก็เลยอยากให้มีคนสร้างสวนสนุกที่เต็มไปด้วยการจำลองสถานที่ในหนังเรื่องนี้, ในหนังของ David Lynch และในนิยายของ Stephen King ออกมาน่ะ เพราะเวลาดูหนังพวกนี้แล้ว มันทำให้เราอยากเข้าไปอยู่หรือเข้าไปสัมผัสสถานที่และอาคารในหนัง

10.สรุปได้ว่าเวลาดูหนังของ David Lynch เราจะนึกถึงเพลงของ Julee Cruise แต่เวลาดูหนัง LOST RIVER เราจะนึกถึงเพลงของ Mazzy Star คือเพลงของสองศิลปินนี้ “หลอน” เหมือนกันทั้งคู่ แต่เราว่าเพลงของ Mazzy Star มัน “โรแมนติก” มากกว่า เราก็เลยชอบมันน้อยกว่า

No comments: