Monday, May 18, 2015

THAI GAY FILMS SEEN ON FRIDAY, MAY 15, 2015

THAI GAY FILMS SEEN ON FRIDAY, MAY 15, 2015

1.ห้องน้ำสำหรับคนหลากหลายทางเพศ (2015, Kasem Bundit University students, documentary, A+)

ชอบที่สารคดีเรื่องนี้ทำให้เราได้รู้ว่า มีโรงเรียนมัธยมในศรีสะเกษและมีร้านอาหารในขอนแก่น ที่มีห้องน้ำสำหรับเพศที่สามด้วย รู้สึกว่าคนทำสารคดีช่างค้นหาดี เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

แต่จุดที่ชอบมากก็คือ ฉากที่นักเรียนกะเทยกลุ่มนึงให้สัมภาษณ์ เรารู้สึกว่าฉากนี้พีคมากๆ ทั้งๆที่เราแทบไม่เห็นหน้าคนพูด เพราะหนังเบลอหน้าคนพูดเอาไว้ แต่ทั้งๆที่หนังเบลอหน้าคนพูดไว้แล้ว เราก็ยังรู้สึกว่าคนพูดดูมีหัวหูการแต่งกายที่อิทธิฤทธิ์สูงมากอยู่ดี คือดูแล้วนึกไปถึงตัวละครในละครทีวีชุด LADY BOYFRIENDS เพื่อนกันมันส์ดีเลยน่ะ คือมันเหมือนกับได้เห็นตัวละครที่ดูแรงมากๆในโลก fiction กระโดดเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

แต่ถึงแม้น้องกะเทยที่ให้สัมภาษณ์จะดูแต่งกายแรงๆ แต่คำให้สัมภาษณ์ของเธอดูเรียบร้อยมากๆ มันก็เลยทำให้เราชอบมากๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉากนี้มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าหนังยอมรับตัวตนของกะเทยคนนี้มากๆน่ะ คือไม่ว่ากะเทยคนนี้จะแต่งตัวยังไง หรือพูดจายังไง หนังก็นำเสนอออกมาตามความเป็นจริงอย่างนั้นว่านี่คือตัวตนของเธอ (เราเข้าใจว่าที่หนังเบลอหน้าผู้ให้สัมภาษณ์เพราะ “ความจำเป็น” น่ะ ก็เลยไม่ติดใจกับจุดนี้)

2.การเมืองเรื่องเพศหลากหลายในโรงเรียนมัธยมชายล้วน (2015, Kasem Bundit University students, documentary, A+)

ชอบน้อยกว่าเรื่องข้างบนนิดนึง แต่จุดที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือบทสรุปช่วงท้ายเรื่อง ที่โยงความไม่เป็นธรรมในการเลือกตั้งในโรงเรียนมัธยม ไปยังปัญหาเรื่องการไม่มีสิทธิเลือกตั้งของคนไทยในวงกว้างในตอนนี้ด้วย

3.BEING (2015, Aroonakorn Pick, A)

ชอบช่วงแรกๆของหนังมากในระดับประมาณ A+15 ถึง A+30 คือเรารู้สึกชอบวิธีการถ่ายทำแบบนี้มากๆ มันดูเป็นหนังดราม่าชีวิตที่คุมโทนอารมณ์ได้ดี และตัวละครคู่รักเกย์สองคนก็ดูน่ารักดี

แต่ความชอบของเรามาหล่นวูบในฉากไคลแมกซ์ ที่ตัวละครด่าทอกับพ่ออย่างรุนแรง เราว่าฉากนั้นอารมณ์มันกระฉอกหรือล้นเกินมากๆ คือเราว่าฉากนั้นนักแสดงก็เล่นไม่ดี, บทสนทนาก็ไม่ทรงพลัง และหนังยังพยายามเร้าอารมณ์ให้หนักขึ้นไปอีกผ่านทางการถ่ายและการตัดต่อ ฉากนั้นก็เลยทำลายหนังมากๆในความเห็นของเรา

แต่สาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะมันเป็น “หนังโครงการ” ด้วยหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คือพอมันเป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์อะไรบางอย่างที่ทางโครงการตั้งไว้ หนังก็เลยพยายามจะตอบโจทย์นั้นผ่านทางบทสนทนาในฉากนั้น และการพยายามจะยัดเยียดสาระสำคัญลงไปในหนังให้ได้ในฉากนั้น มันก็เลยทำให้ฉากนั้นเสียสมดุลไป

คือถ้ามันไม่ใช่หนังโครงการ แต่เป็นหนังที่สร้างขึ้นโดยไม่ต้องสนว่าจะตอบโจทย์โครงการได้หรือเปล่า เราก็คิดว่าฉากนั้นสามารถแก้ใหม่ได้หมดเลยนะ คือเราคิดว่าหนังมันจะเข้าทางเรามากกว่า ถ้าหากในฉากนั้นตัวเอกของเรื่อง ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อ แต่กลายเป็นว่าเขามองพ่อด้วยความน้อยใจเป็นเวลานิ่งนานประมาณ 1 นาที แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธ, น้อยใจ, เสียใจ, เศร้าใจ และต่อมาแววตาก็ค่อยๆสงบนิ่งขึ้น เขาตัดสินใจได้แล้ว แล้วเขาก็พูดว่า “พอกันที” แล้วเขาก็ขึ้นห้องไป เก็บข้าวของ แล้วก็พาคนรักออกจากบ้านไป โดยบอกกับคนรักว่า “เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะไม่กลับมาที่นี่อีก ไปกันเถอะ”

คือเราว่าถ้าหากฉากนั้นไม่มีการระเบิดอารมณ์ แต่ทำออกมาแบบข้างต้น มันจะเข้าทางเรามากกว่าน่ะ แต่ถ้าหากอยากทำฉากระเบิดอารมณ์ มันก็ยากพอสมควรนะ เพราะมันต้องคิดบทสนทนาที่ดีมากๆ สำหรับฉากนั้น และนักแสดงก็ต้องเล่นดีมากๆด้วย มันถึงจะทำให้ฉากระเบิดอารมณ์ออกมาดี

ฉากระเบิดอารมณ์ในหนังเกย์ที่เราว่าดีที่สุดคือฉากที่ Anne Bancroft ปะทะกับ Harvey Fierstein ใน TORCH SONG TRILOGY (1988, Paul Bogart) น่ะ ถ้าหากใครอยากทำฉากระเบิดอารมณ์ในหนังที่แสดงถึงความคับแค้นใจในความเป็นเกย์ ก็อาจจะลองดูจาก TORCH SONG TRILOGY ได้ในฐานะตัวอย่างที่ดีและทรงพลังมากๆ

4.แด่ความสวยงามของทุกเพศสภาพบนโลกใบนี้ (2015, อนุพร พานแก้ว, A-)

เหมือนเป็นสปอตโฆษณามากกว่าหนังนะ เราชอบช่วงแรกๆ แต่เราว่าบทสรุปช่วงท้ายที่บอกว่า ดอกไม้บนโลกนี้ควรมีมากกว่าสองสี มันฟังดูกึ๋ยๆยังไงไม่รู้ คือคำพูดพวกนี้มันเป็นไอเดียที่ดีเวลาสอนเด็กอนุบาลหรือเด็กประถมให้ยอมรับความหลากหลายทางเพศ แต่พอมันมาอยู่ในสปอตโฆษณาสำหรับคนทั่วไป เราว่ามันดูแปลกๆ

5.แอ๊บสเตชั่น (2015, ปฏิภาณ สุรภิญโญ, B+)
ชอบ mood&tone มากๆ 555 ในแง่ที่ว่า มันดูเป็น romantic comedy แบบสุดๆมากๆ และจริงๆแล้วเราว่าหนังสั้นไทยหลายๆเรื่องก็คุมโทนอารมณ์แบบ romantic comedy ได้ออกมาไม่สุดตีนเท่าเรื่องนี้


แต่เราว่าช่วงท้ายเรื่องมันดูรวบรัดเกินไป คือดูแล้วงงว่าทำไมตัวละครตัวนั้นต้องแอ๊บขนาดนั้นตั้งแต่ต้นเรื่องด้วย คือดูแล้วมันงงๆในตรรกะในช่วงท้ายเรื่องน่ะ คือตัวละครอาจจะมีเหตุผลในการทำเช่นนั้นก็ได้นะ แต่ถ้าหากหนังรวบรัดเกินไปจนตัวละครไม่ได้ชี้แจงเหตุผลออกมา เราก็จะรู้สึกงงๆและทำให้ไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วตรรกะของหนังมันล่ม หรือหนังมันมีตรรกะ แต่เราคิดตามมันไม่ทันเอง

No comments: