จุดตัด/กับดักนักท่องเที่ยว (2017, Qenji Yoshida + Wantanee
Siripattananuntakul, video installation, A+25)
เสียดายที่ฟังไม่ออกว่าศิลปินสองคนในวิดีโอคุยกันว่าอะไรบ้าง
แต่ชอบการบันทึกภาพ urban landscape ในญี่ปุ่นกับในกรุงเทพมากๆ
246247596248914102516...AND THEN THERE WERE NONE (2017, Arin Rungjang,
video installation, A+30)
ถ้าหาก NEVER CONGREGATE, NEVER DISREGARD (2007, Arin Rungjang) ทำให้เราประทับใจกับประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล และ GOLDEN TEARDROP
(2013, Arin Rungjang) ทำให้เราประทับใจกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
งานชิ้นล่าสุดของ Arin ก็ทำให้เราประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะมันเหมือนเป็นการนำเอาพลังของทั้งประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล
และบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มารวมเข้าไว้ด้วยกัน
ช่วงที่เป็นการแสดงของดุจดาวกับนักแสดงชายอีกคนมันน่าสนใจดีในแง่ที่ว่า มันทำให้หัวสมองของเราต้องทำงานหนักกว่าปกติ
555 เพราะหัวของเราต้องจินตนาการภาพตามเสียง voiceover ไปด้วย
และต้องพยายามตีความว่าท่าทางของนักแสดงกำลังสื่อถึงอะไรไปด้วย และแน่นอนว่า
เราตีความไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้นพอดูไปเรื่อยๆ
เราก็เลยเลิกตีความไปเองว่าท่าทางของนักแสดงเป็นการสื่อถึงอะไร
คือจริงๆแล้วมันมีหนังหลายๆเรื่องที่กระตุ้นให้ผู้ชม “ดูภาพบนจอ” และ “จินตนาการอีกภาพหนึ่งในหัว”
ไปพร้อมๆกันน่ะ อย่างเช่นหนังอย่าง A.K.A. SERIAL KILLER (1969, Masao Adachi), THEODOR
HIERNEIS OR HOW TO BECOME A FORMER COURT COOK (1972, Hans-Jürgen Syberberg) THE TRUCK (1977, Marguerite Duras), DECODINGS (1988, Michael
Wallin) คือหนังกลุ่มนี้จะเล่าเรื่องผ่านเสียงบรรยาย
และนำเสนอภาพที่ไม่ตรงกับเสียงบรรยายซะทีเดียว
คือผู้ชมจะต้องจินตนาการภาพในหัวของตัวเองไปด้วย
และต้องใช้ตาของตัวเองดูภาพบนจอไปด้วย
ซึ่งในบางส่วนของ 246247596248914102516...AND THEN THERE WERE NONE ก็คล้ายๆหนังกลุ่มข้างต้นนะ
อย่างเช่นในฉากที่เสียงบรรยายเล่าเรื่องของทูตไทยในนาซีเยอรมนี
และเราเห็นภาพของการหล่อประติมากรรมปูนปั้น คือในฉากเหล่านี้ หัวสมองของเราต้อง “จินตนาการภาพในหัวจากเสียงบรรยาย”
และ “หาทางเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับเสียง” ด้วย
แต่พอเป็นฉากที่เสียงบรรยายเล่าเรื่องของทูตไทยในนาซีเยอรมนี
และเราเห็นภาพการแสดงของดุจดาว มันเหมือนกับว่าหัวสมองของเราต้องทำงานหนักขึ้นน่ะ
เพราะภาพที่เห็นมันก็เป็นภาพที่ “กระตุ้นจินตนาการ” ในตัวของมันเอง
มันเหมือนกับว่าลีลาการเคลื่อนไหวของดุจดาวกับนักแสดงชายอีกคนมันกระตุ้นให้เราตีความ
หรือจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในภาพนั้นๆด้วย มันก็เลยเหมือนกับว่า ทั้ง “เสียง voiceover” ก็กระตุ้นให้เราจินตนาการภาพนึง
(อย่างเช่นภาพทหารรัสเซียจำนวนมาก) และ “ลีลาของดุจดาว”
ก็กระตุ้นให้เราจินตนาการถึงอะไรอย่างอื่นอีก และเราก็ต้องหาทางเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันอีก
มันก็เลยเป็นอะไรที่น่าสนใจดี
No comments:
Post a Comment