Wednesday, July 23, 2025

A CONVERSATION WITH A FRIEND IN 2016 ABOUT WHY I LIKE FILMS THAT MAKE ME FEEL

 

A CONVERSATION WITH A FRIEND IN 2016 ABOUT WHY I LIKE FILMS THAT MAKE ME FEEL “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป”

 

OR WHY I LIKE หอแต๋วแตก AND JEAN-LUC GODARD’S FILMS

 

จริง ๆ แล้วเราไม่มีความเห็นแต่อย่างใดทั้งสิ้นเกี่ยวกับประเด็นที่เพื่อน ๆ บางคนถกกันในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เราก็เลยอ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ เขียนที่มันเด้งขึ้นมาใน feed ของเรา แต่เราไม่มีความเห็นแต่อย่างใดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านั้น เราก็เลยเน้นอ่านเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่ขอแสดงความเห็นใด ๆ

 

แต่พอประเด็นมันแตกแขนงไปไกลจากเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราได้อ่านความเห็นของเพื่อนบางคน มันก็เลยไปกระตุ้นความทรงจำของเราเกี่ยวกับสิ่งที่เราเคยเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านหนึ่งในปี 2016 เกี่ยวกับหนังเรื่อง  BY THE TIME IT GETS DARK (2016, Anocha Suwichakornpong, A+30) และประเด็นที่ว่า ทำไมเราถึงมักจะชอบหนังที่เราดูแล้วไม่เข้าใจ (หรือหนังที่ทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป”)

 

เราก็เลย copy สิ่งที่เราเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านนั้น มาแปะไว้ในนี้ด้วยเลยดีกว่า (เฉพาะส่วนที่เราเขียน) ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเด็นที่เพื่อน ๆ หลายคนถกกันในช่วงนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่เพื่อนบางคนเขียนในช่วงนี้ แล้วมันทำให้เรานึกถึงบทสนทนานี้ในปี 2016 โดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ

 

สิ่งที่เราเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านหนึ่งในปี 2016

 

---1.ถ้าดาวคะนอง กำกับโดยผู้กำกับที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ผมก็คงชอบหนังเรื่องนี้มากเท่าเดิมครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวงการหนังจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คือผมคงไม่สามารถให้คำตอบในฐานะตัวแทนของ “วงการหนัง” ได้ครับ แต่ผมสามารถตอบได้ว่าตัวผมเองนั้นคิดและรู้สึกอย่างไรบ้างครับ

 

2.ผมไม่ได้มองหนังทุกเรื่องเป็น “การสื่อสาร” ครับ คือมันมีหนังหลายเรื่องที่ผู้กำกับต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดู แต่มันก็มีหนังหลายเรื่องที่ผู้กำกับไม่ได้ต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดูครับ ด้วยรสนิยมส่วนตัวของตัวผมเองแล้ว ผมมักจะชอบหนังที่ไม่ได้ต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดูครับ และผมมักจะ approach หนังโดยใช้ “ความสุข” ของตัวเองเป็นเกณฑ์ และหนังหลายเรื่องก็ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขได้โดยที่ผมไม่เข้าใจตัวหนังเลย หรือเข้าใจมันแค่ 10% เท่านั้น คือความสุขของผมมักจะไม่เกี่ยวข้องกับ “ความเข้าใจ” น่ะครับ

 

คือด้วยรสนิยมส่วนตัวของตัวผมเองนั้น เวลาดูหนังที่ต้องการ “ส่งสาร” ผมมักจะรู้สึกอึดอัดน่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่พอดูหนังที่ไม่ต้องการ “ส่งสาร” ผมกลับรู้สึกว่ามันอิสระดี ผมสามารถคิดและรู้สึกอะไรได้มากมาย โดยใช้ “ภาพ”, “เสียง”, “องค์ประกอบต่างๆทางภาพยนตร์” ที่อยู่ในหนังเรื่องนั้น มาคิดต่อเติมอะไรต่างๆในหัวตัวเองได้อย่างสนุกสนานน่ะครับ เพราะฉะนั้น หนังหลายเรื่องที่ผมชอบ จึงเป็นหนังที่ “สื่อสารล้มเหลว” ครับ แต่เพราะมันสื่อสารล้มเหลว มันจึงเป็นหนังที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขกับมัน เพราะผมสามารถใช้หลายๆอย่างในหนังเรื่องนั้น มารองรับจินตนาการ, ความคิด, ความรู้สึกของตนเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ถูกขัดขวางด้วย “สาร” ของหนังเรื่องนั้น

 

 แต่ไม่ใช่ว่าหนังที่ “ไม่สื่อสาร” ทุกเรื่อง จะเป็นหนังที่ผมชอบนะครับ คือสำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ คือหนังทดลองบางเรื่อง หรือหนังงงๆบางเรื่อง ผมดูแล้วรู้สึกจูนไม่ติดกับมัน มันไม่ได้กระตุ้นให้ผมรู้สึก ecstasy หรืออะไร ผมก็ไม่ได้ชอบหนังเรื่องนั้นครับ

 

ผมอาจจะตอบไม่ตรงคำถามของคุณ เพราะผมไม่อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ “ดีงาม” หรือ “มีคุณค่า” แต่ผมเพียงแค่อยากจะอธิบายว่า โดยรสนิยมส่วนตัวของผมนั้น ผมชอบหนังแนวที่ “ดูไม่รู้เรื่อง” และ “สื่อสารล้มเหลว” เท่านั้นครับ เพราะผมดูแล้วรู้สึกว่ามันอิสระดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าหนังแนวนี้ทุกเรื่องจะทำให้ผมรู้สึกดีหรือมีความสุขขณะที่ดูมันครับ มันต้องแยกเป็นเรื่องๆไป

 

3.ผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆครับ และที่เขียนไปก็เป็นลักษณะการเขียนเฉพาะตัวของผมครับ คือผมมักจะเขียนเปรียบเทียบหนังเรื่องนึงกับหนังอีกหลายๆเรื่องอยู่แล้วเป็นปกติครับ

 

4.โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบหนังที่ผู้กำกับใส่ฉากต่างๆเข้ามาโดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจครับ 555 โดยเฉพาะผู้กำกับอย่าง Luis Bunuel คือผู้กำกับกลุ่มนี้มักจะทำงานตาม “จิตใต้สำนึก” ครับ คือทำงานตาม “อารมณ์ความรู้สึก” หรือ “สัญชาตญาณ” ที่อยู่นอกเหนือเหตุผลครับ

 

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็คือว่า มันจะมีผู้กำกับสองคนที่ผมชอบครับ คนนึงคือ Alexander Kluge ส่วนอีกคนคือ Dusan Makavejev หนังบางเรื่องของสองคนนี้จะมีบางอย่างคล้ายกัน คือประกอบด้วยส่วนต่างๆมากมาย ไม่ได้เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง หนังอาจจะเล่าเรื่องของ A อยู่ดีๆ แล้วฉากต่อมาก็เล่าเรื่องของ b แล้วฉากต่อมาก็เล่าเรื่องของ c แต่ในหนังของ Dusan Makavejev นั้น ผมมักจะหาเหตุผลเชื่อมโยง a-b-c ได้โดยง่าย ในขณะที่หนังของ Alexander Kluge นั้น ผมมักจะหาเหตุผลเชื่อมโยง a-b-c แทบไม่ได้เลย แต่ผมกลับรู้สึก “มีความสุขสุดๆ” ขณะที่ได้ดูมัน มันกระตุ้นความคิดของผม มันมีความคล้องจองบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจมัน มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนั้นกระทบจิตใต้สำนึกของผม หรือกระทบสัญชาตญาณของผม หรือกระทบอะไรบางอย่างในตัวผมที่อยู่นอกเหนือจาก “เหตุผล” เพราะฉะนั้นผมก็เลยชื่นชอบหนังของ Alexander Kluge อย่างสุดๆครับ ทั้งๆที่ผมเข้าใจหนังของเขาแต่ละเรื่องแค่ 10% เท่านั้น เพราะ wavelength ของผู้กำกับคนนี้มันตรงกับผม, หนังของเขากระตุ้นความคิดของผม, หนังของเขาทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ และมัน touch ผมอย่างรุนแรง โดยที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ผมก็เลยมักจะมีความสุขกับการดูหนังที่ยึด “สัญชาตญาณ” มากกว่า “เหตุผล” น่ะครับ หนังที่ใส่ฉาก a-b-c เข้ามา โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง ผมหาเหตุผลเชื่อมโยงฉากเหล่านั้นเข้าด้วยกันไม่ได้ ผมรู้แต่ว่า ผมมีความสุขที่ได้ดูมันแค่นั้นเองน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะตอบไม่ตรงคำถามของคุณ ผมเพียงแค่อยากจะเล่าถึงรสนิยมของการดูหนังของตัวเองมากกว่าน่ะครับ 555

 

--ผมคิดว่าไม่ได้แกล้งชมครับ เขาชอบกันจริงๆ แต่ก็มีคนในวงการศิลปะบางคนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้นะครับ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่หนังทุกเรื่องต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ในบรรดาแวดวงเพื่อนๆนักดูหนังของผมนั้น ผมก็เป็นคนเดียวที่ไม่ชอบหนังของ Yasujiro Ozu, ไม่ชอบ FROM BANGKOK TO MANDALAY และก็เป็นคนเดียวที่ชอบหนังเรื่อง “มหาลัยเที่ยงคืน” กับ “กระสือครึ่งคน” ครับ ในขณะที่เพื่อนๆทุกคนของผมเกลียดหนังสองเรื่องนี้กันหมดเลย เพราะฉะนั้นการที่เรามีความเห็นแตกต่างจากคนอื่น ๆ หรือมีความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่นๆ ถือเป็นเรื่องปกติในวงการหนังครับ 555

 

--หนังกลุ่มนี้หลายๆเรื่องมี “การอ่านผิด” “อ่านไม่ถูกต้อง” และ “ดูไม่รู้เรื่อง” ได้ครับ เพียงแต่ว่า การอ่านผิดในการดูหนังประเภทนี้ถือเป็น “เรื่องปกติ” ครับ และนักดูหนังทุกคนก็จะ “อ่านผิด” กับหนังแต่ละเรื่องแตกต่างกันไปครับ ผมเองก็เคยอ่านผิดหนังหลายๆเรื่องเช่นกันครับ และในส่วนของดาวคะนองนั้น ผมก็มั่นใจว่า ผมเองก็อ่านหนังเรื่องนี้อย่างผิดๆถูกๆ และเพื่อนผมหลายๆคนก็อ่านหนังเรื่องนี้อย่างผิดๆถูกๆเหมือนกัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่า การอ่านหนังประเภทนี้อย่างผิดๆถูกๆเป็นเรื่องที่สนุกมากครับ

 

 ก่อนอื่นอาจจะต้องอธิบายก่อนว่า หนังแต่ละเรื่องก็มีสัดส่วนของการใช้ความรู้สึกและการใช้เหตุผลแตกต่างกันไปครับ หนังฮอลลีวู้ดบางเรื่องอาจจะใช้เหตุผล 70% ใช้ความรู้สึก 30% และส่งสารอย่างตรงไปตรงมาทั้งหมด, หนังของ Teeranit Siangsanoh อาจจะมีฉากที่เน้นความรู้สึกถึง 90% ของเรื่อง และมีฉากที่ “ซ่อนสาร” แฝงไว้เพียงแค่ 10% ของหนัง ในขณะที่หนังของ Alexander Kluge อาจจะมีสารซ่อนอยู่ในทุกฉาก แต่การเชื่อมโยงฉากเหล่านี้เข้าด้วยกันอาจจะต้องใช้ความรู้สึกเป็นหลัก

 

เพราะฉะนั้นหนังที่ “เปิดอิสระในการตีความ” จึงอาจจะมีการตีความผิดได้ครับ เพราะถึงแม้หนังเรื่องนั้นเน้นความรู้สึกเป็นหลัก แต่หนังเรื่องนั้นจริงๆแล้วก็อาจจะมีสารแฝงไว้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าจุดประสงค์หลักของผู้สร้างหนังไม่ได้ต้องการให้ผู้ชมทุกคนได้รับสารที่เหมือนกันอย่างตรงไปตรงมาแบบ “นิทานอีสป” หรือนิทานที่บอกคติสอนใจตอนท้ายเรื่อง จุดประสงค์ของผู้สร้างหนังบางคนในกลุ่มนี้อาจจะเป็นการกระตุ้นความคิดผู้ชม และเปิดโอกาสให้ผู้ชมตีความได้อย่างเป็นอิสระ และผู้ชมแต่ละคนก็จะตีความฉากและองค์ประกอบต่างๆในหนังถูกบ้างผิดบ้าง ตรงกับความตั้งใจของผู้กำกับบ้าง หรือไม่ตรงกับความตั้งใจของผู้กำกับบ้าง “เป็นเรื่องปกติธรรมดา” ครับ

 

ผมขอเล่าประสบการณ์การดูหนังของตัวเองประกอบด้วยแล้วกันนะครับ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การอ่านผิดในการดูหนังประเภทนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม และผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนานดีมากสำหรับผมครับ

 

1.ในหนังโปแลนด์เรื่อง A SHORT FILM ABOUT LOVE มีฉากนางเอกทำนมหกบนโต๊ะ และผู้ชมหลายคนก็ตีความสิ่งนี้แตกต่างกันไป แต่ผู้กำกับบอกว่า ฉากนี้ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไรเลย เขาใส่ฉากนี้เข้ามาเพราะมันสอดคล้องกับความรู้สึกของเขาแค่นั้นเอง

 

2.หนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิตคือเรื่อง LA CHINOISE (1967, Jean-Luc Godard) ซึ่งเป็นหนังที่ผู้ชมหลายคนเกลียดมากๆ แต่ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรกนั้น ผมรู้สึกจูนติดกับหนังอย่างรุนแรงมากๆ และสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องทำให้ผมนึกถึงเพื่อนๆตัวเอง

 

เพราะฉะนั้นในการดูหนังเรื่อง LA CHINOISE รอบแรกนั้น ผมก็ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะ “ความรู้สึก” และ “ประสบการณ์ชีวิต” ของตัวเองครับ แต่ในการดูรอบแรกนั้น ผมตีความหนังเรื่องนี้ว่าเป็นการสะท้อน “ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 1960” แต่พอผมได้ดูหนังเรื่องนี้รอบสองในอีก 3 ปีต่อมา ผมก็เริ่มตามทัน dialogues ของตัวละครได้มากขึ้น เริ่มหาเหตุผลเชื่อมโยงสิ่งต่างๆในหนังเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น และความรู้รอบตัวของผมก็เพิ่มมากขึ้นด้วยในการดูรอบสอง (เมื่อเทียบกับการดูรอบแรก) และผมก็พบว่า จริงๆแล้วหนังเรื่อง LA CHINOISE มันพูดถึง “ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต กับกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์แบบจีน” ต่างหาก ตัวละครที่ด่าทอกันอย่างรุนแรงในหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ มันสะท้อนความขัดแย้งระหว่างโซเวียตกับจีน มันไม่ได้สะท้อนความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ในการดูรอบแรก

 

เพราะฉะนั้นผมก็เลยพบว่า ผม “อ่านผิด”, “อ่านไม่ถูกต้อง” เพราะผม “ไม่มีความรู้” ในการดู LA CHINOISE รอบแรกครับ แต่ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราจะเข้าใจผิดอะไรแบบนี้ และสาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะว่า LA CHINOISE เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมได้ดูในชีวิตนี้ที่พูดถึงความขัดแย้งระหว่างโซเวียตกับจีน ในขณะที่หนังที่ผมเคยดูมาตั้งแต่เด็กจนโตในยุคสงครามเย็น มันพูดถึงความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมกับโซเวียตทั้งนั้นเลย พอดู LA CHINOISE รอบสอง ผมก็ยิ่งชอบหนังมากขึ้นไปอีกครับ คือการดู LA CHINOISE รอบแรกมันตอบสนองผมในด้านอารมณ์ความรู้สึก แต่การดู LA CHINOISE รอบสอง มันให้ “ความรู้” กับผมด้วย

 

 LA CHINOISE และหนังหลายๆเรื่องของ Jean-Luc Godard อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของหนังที่ผู้ชมแต่ละคนสามารถ approach หนังได้แตกต่างกันไปครับ ใครจะ approach หนังด้วยความรู้สึกก็ได้ หรือใครจะพยายามตีความหนังเพื่อหาสารที่ซ่อนแฝงอยู่ในหนังก็ได้ครับ และในหนังของ Jean-Luc Godard นั้น จริงๆแล้วหนังอาจจะพูดถึงประเด็น ABCDEFGHIJ แต่ตอนที่ผมดูหนังของ Godard นั้น ผมจะคิดถึงประเด็น AB LMNOP อิสริยาอาจจะคิดถึงประเด็น CD OPQRS นางสาวมารติสอาจจะคิดถึงประเด็น FG TUVWX อะไรแบบนี้ครับ คือเวลาที่ดูหนังประเภทนี้ คนดูส่วนใหญ่จะตีความผิดๆถูกๆทั้งนั้นแหละครับ ผมอาจจะเข้าใจช่วงแรกของหนังได้อย่างถูกต้อง แต่ตีความช่วงกลางกับช่วงท้ายของหนังผิด อิสริยาอาจจะตีความช่วงท้ายของหนังถูก แต่ตีความช่วงแรกของหนังผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ

 

แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือว่า ขณะที่ดูนั้น ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขมากๆ กับการได้ใช้ความคิด+ตีความมันอย่างผิดๆถูกๆ เสร็จแล้วก็มาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆที่ตีความไม่เหมือนกับเรา หรือตามอ่านบทวิจารณ์ของคนที่ตีความไม่เหมือนกับเราครับ มันสนุกดี คือในการดูหนังปกตินั้น หนังที่สื่อสาร ABCDEFGHIJ อย่างตรงไปตรงมา พอเราดูจบ เราก็ได้รับสาร ABCDEFGHIJ เท่านั้นครับ แต่ในการดูหนังของ Jean-Luc Godard นั้น เมื่อเราดูจบ แล้วเราได้พูดคุยกับเพื่อนๆแล้ว เราอาจจะได้รับรู้อะไรต่างๆมากมายมากกว่าที่หนังบอกไว้ครับ เราอาจจะได้รับรู้ประเด็น ABCDFG LMNOPQRSTUVW ก็ได้ครับ เพราะหนังที่เปิดกว้างแบบนี้ มันไปกระตุ้นความรู้+ความทรงจำ+ประสบการณ์ชีวิตในตัวผู้ชมแต่ละคนด้วย และในเมื่อมนุษย์ทุกคนแตกต่างกัน ผู้ชมแต่ละคนก็ย่อมมีประสบการณ์ชีวิต+ความรู้+ความทรงจำ+รสนิยม+อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน หนังที่เปิดกว้างแบบนี้ จึงไปกระตุ้นความทรงจำ S ในผู้ชมคนที่หนึ่ง และไปกระตุ้นความทรงจำ Y ในผู้ชมคนที่สอง และพอแต่ละคนแสดงความเห็นที่ไม่เหมือนกันออกมา คนที่อ่านก็จะได้รับรู้ S และ Y ไปด้วย โดยที่ผู้สร้างหนังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้แต่อย่างใด ว่าหนังของตนเองจะไปกระทบอะไรในตัวผู้ชมคนใดบ้าง เพราะผู้ชมทุกคนย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา

 

 และจริงๆแล้ว เวลาดูหนังของ Godard ผมเองก็ไม่ได้ดูพร้อมกับตั้งใจว่า “ฉันจะต้องตีความฉากนี้ให้ได้” ด้วยครับ ผมดูพร้อมกับตั้งใจว่า “ฉันจะพยายามจูน wavelength” ของตัวเองให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ เพื่อจะได้ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกให้ไหลไปกับมัน และในระหว่างที่ดู ถ้าหากมันมีสารใดในหนังที่มากระทบเรา เราก็จะรับสารนั้นไว้ แต่ถ้าหากเราหาสารในหนังไม่เจอ เราก็ไม่แคร์ 555

 

สมมุติผมดูหนังเรื่องนึงของ Godard แล้วผมเขียนว่า หนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงประเด็น AB LMNOP ไม่ว่าหนังจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แล้วมีคนฝรั่งเศสมา comment ว่า ไม่ใช่ คุณอ่านผิด, คุณอ่านไม่ถูกต้อง หรือคุณไม่มีความรู้ดีพอ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้พูดถึงประเด็น ABCDEFGHIJ ต่างหาก ผมก็จะมองว่า มันเป็น “เรื่องปกติธรรมดา” ครับ และการที่ผมอ่านหนังของ Godard ผิดในบางส่วน ไม่ได้ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนั้นน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมมีความสุขมากพอแล้วจากอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับจากหนังเรื่องนั้น และจากความสนุกในการพยายามได้ตีความหนังเรื่องนั้นอย่างผิดๆถูกๆครับ

 

3.ตัวอย่างหนึ่งของหนังทำนองนี้คือหนังเรื่อง EUROPA 2005 – 27 OCTOBER (2006, Jean-Marie Straub+ Daniele Huillet, 10min) ครับ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหนังสั้นที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต ในหนังเรื่องนี้ กล้องจะถ่ายตรอกเล็กๆตรอกหนึ่งในกรุงปารีสประมาณ 5 เที่ยว และผมก็ดูแล้วรู้สึกว่ามันทรงพลังมาก ประทับใจอย่างรุนแรงมากๆ คือตรอกเล็กๆนี้เป็นตรอกที่เด็กหนุ่มต่างชาติสองคนถูกตำรวจยิงตาย แล้วเหตุการณ์นี้ก็ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์จลาจลอย่างรุนแรงในกรุงปารีสตามมา แต่หนังไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เหล่านี้เลย และมันก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะเราหาข้อมูลเหล่านี้จากข่าวหรือ Wikipedia ได้อยู่แล้ว หนังแค่ถ่ายตรอกเล็กๆนี้ 5 รอบเท่านั้น

 

ถ้าถามผมว่า ทำไมผมถึงรู้สึกรุนแรงกับหนังเรื่องนี้มากๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเดาว่าหนังมันคงมี wavelength ที่ตรงกับผม, มัน touch จิตใต้สำนึกและสัญชาตญาณของผม และมันมีลักษณะ minimal ซึ่งสอดคล้องกับรสนิยมส่วนตัวของผม นอกจากนี้ การดูหนังเรื่องนี้ยังทำให้ผมคิดไปถึงว่า วิญญาณของเด็กสองคนนี้อาจจะยังคงวนเวียนอยู่ในตรอกนี้ ไปไหนไม่ได้ และการวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหนังเรื่องนี้ ยังทำให้ผมคิดถึงประเด็นเรื่อง racism ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี แล้วยังแก้ไขไม่ได้ด้วย

 

 และพอผมได้พูดคุยกับเพื่อนๆถึงหนังเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกสนุกกับหนังมากขึ้นไปอีก เพราะเพื่อนผมบางคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในการวน loop 5 รอบในหนังเรื่องนี้นั้น ถ้าสังเกตให้ดี loop แต่ละรอบจะมีอะไรแตกต่างกัน บาง loop ไม่มีเสียงหมาเห่า บาง loop มีเสียงหมาเห่าที่มาในจังหวะเวลาไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ถ้าสังเกตเงาต้นไม้ เราอาจจะพบอีกด้วยว่า แต่ละ loop ถ่ายทำในเวลาที่แตกต่างกันไปของวัน แต่ผมสามารถตีความเสียงหมาเห่า, เงาต้นไม้ที่แตกต่างกันในหนังเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผมก็ไม่สามารถตีความได้ และผมก็ไม่แคร์มันแต่อย่างใด เพราะหนังเรื่องนี้มันสะเทือนความรู้สึกผมอย่างรุนแรงไปแล้ว โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าใจเสียงหมาเห่าที่มาในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละ loop ในหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด และถ้าหากมีใครบอกว่า การวน loop ในหนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนวิญญาณที่ไปไหนไม่ได้แต่อย่างใด ผมก็มองว่าเป็นเรื่องปกติครับ คือผมสนใจแค่ว่าหนังเรื่องนี้ “ทำให้ผมคิดถึงอะไรบ้าง ไม่ว่าผู้กำกับจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม” มากกว่าที่จะสนใจว่า “ผมตีความแต่ละอย่างในหนังถูกต้องตรงตามที่ผู้กำกับตั้งใจหรือเปล่า” ครับ

 

--คือถ้าหากผมเจองานเขียนที่ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ผมก็จะมองมันแบบนี้ครับ

 

1.งานเขียนชิ้นนั้นทำให้ผม “รู้สึก” อะไรบ้าง ถ้าหากมันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขได้ ทั้งๆที่ผมไม่เข้าใจมันทั้งหมด หรือเข้าใจมันแค่ 10% ผมก็จะชอบมันอย่างสุดๆครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บทกวีของ Emily Dickinson จะทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ และหนังทดลองบางเรื่อง ก็ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ครับ

 

 2.งานเขียนชิ้นนั้นกระตุ้นความคิดอะไรผมบ้าง ถ้าหากมันกระตุ้นความคิดผมได้อย่างสนุกสนาน ผมก็อาจจะชอบมันอย่างสุดๆก็ได้ครับ ถึงแม้ผมอาจจะเข้าใจมันเพียงแค่ 0-15% ก็ตาม

 

3.แต่ถ้าหากผมอ่านงานเขียนชิ้นนั้นแล้วไม่เข้าใจ, พบว่ามันไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผม, มันไม่ได้กระตุ้นความคิดของผมได้อย่างสนุกสนาน , มันไม่ได้กระตุ้นให้ผมไปถกกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน, ไม่ได้กระตุ้นให้ผมไปขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ฯลฯ ผมก็อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ผมไม่ชอบงานเขียนชิ้นนั้น” “งานเขียนชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าสำหรับผม” แต่มันอาจจะเป็นงานเขียนที่ “ดีมากๆ” สำหรับคนอื่นๆก็ได้ หรืออาจจะเป็นงานเขียนที่สร้างความรู้สึกงดงามมากๆให้กับผู้อ่านบางคนก็ได้ ผมเพียงแค่ไม่ใช่ผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายของงานเขียนชิ้นนั้นเท่านั้นเอง งานเขียนชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าสำหรับผม แต่อาจจะมีคุณค่าสำหรับผู้อ่านอีก 1-2 ล้านคนบนโลกนี้ก็ได้ครับ

 

 เพราะฉะนั้นการประเมินคุณค่าสิ่งใดก็ตามทุกครั้งของผม จึงเป็นการประเมินคุณค่าสำหรับตัวผมเองเป็นหลักเท่านั้นครับ หนังที่ผมชอบในระดับ A+30 จึงหมายถึงหนังที่ผมชอบสุดๆ และมันอาจจะเหมาะกับเพื่อนๆบางคนของผมที่มีรสนิยมสอดคล้องกับผม แต่แน่นอนว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับคนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ ผมมองว่าคนทุกคนแตกต่างกันครับ สิ่งที่เหมาะกับคนคนนึงอาจจะไม่เหมาะกับคนคนนึงก็ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา และผมมองว่าไม่มีหนังเรื่องใดในโลกที่สร้างขึ้นมาเพื่อ “ผู้ชมทุกคนบนโลกนี้” หนังแต่ละเรื่องต่างก็สร้างขึ้นเพื่อผู้ชมเฉพาะกลุ่มทั้งนั้นครับ

 

ผมมักจะเปรียบเทียบเรื่องนี้กับการแพ้ยาของตัวเองครับ คือผมแพ้ยา amoxil แต่ไม่แพ้ยา ciprofloxacin และการที่ผมแพ้ยา amoxil นั้น ผมมองว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม และไม่ใช่ความผิดของยา amoxil และไม่ใช่ความผิดของคนที่ผลิตยา amoxil และไม่ใช่ความผิดของคนที่ไม่แพ้ยา amoxil ด้วย เพราะฉะนั้น ผมจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ยา amoxil ไม่มีคุณค่าสำหรับผม” “ผมไม่ชอบยา amoxil” แต่ผมจะไม่พูดว่า “ยา amoxil ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่นๆ” ครับ

 

 ฉันใดก็ฉันนั้น ผมดูหนังที่ “สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา” บางเรื่อง แล้วรู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าตัวสารมันไปบีบรัดหนังเรื่องนั้นจนผมไม่มีความสุขในขณะที่ได้ดู ผมก็จะรู้สึกเหมือนกับยา amoxil ครับ คือผมไม่ชอบหนังเรื่องนั้น, หนังเรื่องนั้นไม่ทำให้ผมมีความสุข แต่ผมรู้สึกว่าตัวผมไม่ผิดที่ไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนั้น และผู้สร้างหนังเรื่องนั้นก็ไม่ผิดที่ไม่ได้สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมาเพื่อผม เขาแค่สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมกลุ่มอื่นๆแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงมองว่า ผู้กำกับ “ดาวคะนอง” เขาอาจจะสร้างหนังที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาอาจจะมีรสนิยมคล้ายผมกับเพื่อนๆบางคนของผมก็ได้ นั่นก็คือมีความสุขกับการดูหนังแบบนี้, ดูหนังแนวนี้แล้วรู้สึกเป็นอิสระดี ฯลฯ

 

---มันเหมือนกับว่า ถ้าหากเขาสร้างหนังแบบ “ดาวคะนอง” มันก็คือการสร้างหนังเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม B+C แต่ไม่ได้ตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A แต่ถ้าหากเขาเลือกสร้างหนังที่เน้นการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา มันก็คือการสร้างหนังเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A+B แต่ไม่ได้ตอบสนองผู้ชมกลุ่ม C และพอดีผมกับเพื่อนๆของผมอยู่ในกลุ่ม C น่ะครับ เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยเชียร์หนังเรื่องนี้อย่างมากๆ เพราะมันตรงกับรสนิยมของเรา และอาจจะตรงกับรสนิยมของผู้กำกับเองด้วย และนี่อาจจะเป็นการตอบคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงสร้างหนังที่อาจจะ “ดูยาก” ในสายตาของผู้ชมบางกลุ่มครับ เพราะหนังที่ “ดูยาก” ในสายตาของผู้ชมกลุ่ม A อาจจะเป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขในสายตาของผู้ชมกลุ่ม C ก็ได้

 

แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ยกตัวอย่างเช่น FROM BANGKOK TO MANDALAY เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองเพื่อน ๆ หลายคนของผม แต่ไม่ได้ตอบสนองผม กระสือครึ่งคน เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองผม แต่ไม่ได้ตอบสนองเพื่อน ๆ บางคนของผมรุ่นพี่” ของวิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง เป็นหนังที่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับผม แต่ผมจูนไม่ติดกับหนังเรื่องนี้เลย โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตอบสนองผม แต่สามารถตอบสนองเพื่อนๆเสื้อแดงหลายๆคนของผม เพราะฉะนั้นผมก็เลยพบว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติที่สุดครับ ที่หนังหลายๆเรื่องที่ผมชอบในระดับ A+30 เป็นหนังที่ได้เกรด F จากเพื่อน ๆ ของผม เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกแตกต่างกัน ผมกับเพื่อน ๆ ไม่ใช่คนคนเดียวกัน และหนังทุกเรื่องบนโลกนี้ต่างก็สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนอง “ผู้ชมเฉพาะกลุ่ม หรือผู้ชมบางคน” ทั้งนั้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อ “ผู้ชมทุกคนบนโลก” เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่า “ดาวคะนอง” สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม C (ซึ่งมีผมกับเพื่อนๆบางคนเป็นส่วนหนึ่งในนั้น) แต่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A แค่นั้นเองครับ

 

---ผมเองนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “ความตั้งใจ” ของผู้ประพันธ์มากเท่ากับ “อารมณ์ความรู้สึก” ของตัวเองครับ เพราะจุดประสงค์หลักที่ผมดูหนัง ไม่ใช่เพื่อดู “หนังดี” หรือ “หนังที่มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆ แต่เพื่อหาความสุขจากการดูหนังครับ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องการดูหนังอย่างดาวคะนอง, หอแต๋วแตก, มหาลัยเที่ยงคืน, กระสือครึ่งคน เพราะหนังพวกนี้ตอบสนองผมด้านอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ผมมีความสุขขณะที่ได้ดูด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ดาวคะนองกระตุ้นความคิดผม และทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระขณะที่ได้ดู, มหาลัยเที่ยงคืนทำให้ผมรู้สึกซึ้งกับพระเอก+นางเอก, หอแต๋วแตกตอบสนองความเป็นกะเทยในตัวผม, กระสือครึ่งคนทำให้ผมรู้สึกแปลกใหม่ ฯลฯ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ค่อยแคร์ว่า ผู้สร้างหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ มีจุดประสงค์อะไร, ต้องการสื่อสารอะไร (คือแคร์บ้าง แต่ไม่ได้แคร์มากนัก) , หนังเหล่านี้ได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นๆหรือไม่ หรือได้รับคำก่นด่าจากคนอื่นๆหรือไม่ หนังเรื่องนี้ “ดี” หรือ “มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆหรือไม่ เพราะคนอื่นๆ ไม่ใช่ตัวผม เขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า ผมจะคิดและรู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องอะไร เพราะขนาดตัวผมเองนั้น เป็นเพื่อนกับ filmsick และ chayanin มาสิบปีแล้ว ยังเดาไม่ถูกเลยว่า เขาจะรู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องไหน เขาจะเห็นด้วยกับเราหรือเห็นตรงข้ามกับเราในหนังเรื่องไหน

 

เพราะฉะนั้นในเมื่อจุดประสงค์ในการดูหนังของผม คือเพื่อหาความสุขจากการดูหนัง ไม่ใช่เพื่อดูหนังที่ “ดี” หรือ “มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นผมจึงให้ความสำคัญมากที่สุดกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นสำคัญครับ ในขณะที่ “ความตั้งใจของผู้สร้างหนัง” เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญบ้างในระดับที่แตกต่างกันไปในหนังแต่ละเรื่องครับ บางเรื่องผมก็อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย แต่บางเรื่อง “เจตนา” ของผู้สร้างหนัง ก็อาจจะมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมในขณะที่ได้ดูครับ

 

 ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง YOU HAVE TO WAIT ANYWAY ของนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์นั้น หนังเป็นการถ่ายสนามหญ้า+อัฒจันทร์เล็กๆ เป็นเวลาประมาณ 22 นาที ผมดูแล้วก็เพลินดี รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งเบาสบายขณะที่ได้ดู ผมชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 แต่ก็ไม่ได้ชอบถึงขั้นที่จะติดอันดับประจำปี เพราะผมเดาเอาเองว่า ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะต้องการ “แกล้ง” คนดู เขาอาจจะถ่ายสนามหญ้าโล่งๆเพื่อแกล้งคนดูให้ดูอะไรแบบนี้ เขาไม่ได้ถ่ายมัน เพราะตัวเขาเอง “มีความสุข” ที่ได้จ้องมองอะไรแบบนี้เป็นเวลานานๆ การที่ผมเดาเจตนาของตัวผู้กำกับไปในทางลบแบบนี้ มีส่วนในการทำให้ผมไม่ได้ “มีความสุขอย่างรุนแรง” เมื่อย้อนรำลึกถึงหนังเรื่องนี้

 

แต่หนังอย่าง RUHR (2009, James Benning, 120min) นั้น มีฉากถ่ายปล่องไฟเป็นเวลา 60 นาที ซึ่งผมไม่รู้เจตนาของผู้กำกับ และเพื่อนผมแต่ละคนก็อาจจะตีความเจตนาของผู้กำกับแตกต่างกันไป หรือ “รู้สึก” กับภาพที่ได้เห็นในแบบที่แตกต่างกันไป แต่ในกรณีของ RUHR นั้น มันถือเป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุดเท่าที่ได้ดูมาในชีวิตนี้ เพราะผมรู้สึกตราตรึงมากๆกับการนั่งจ้องปล่องไฟในโรงหนังเป็นเวลา 60 นาที และมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงประสบการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะมีเจตนาเป็นเช่นใดก็ตาม เพราะฉะนั้น RUHR กับ YOU HAVE TO WAIT ANYWAY จึงเป็นหนังที่มีอะไรคล้ายๆกันครับ มันปล่อยให้คนดูจ้องมองอะไรนิ่งๆนานๆเหมือนกัน แต่ “การที่ผมคาดเดาเจตนาของผู้กำกับในทางลบ” ทำให้ความสุขที่ผมได้รับจาก YOU HAVE TO WAIT ANYWAY ลดลงนิดนึง ในขณะที่ RUHR นั้น ความสุขที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจตนาของผู้กำกับแต่อย่างใดครับ

 

 

No comments: