COMING OF AGING (2025, Eyedropper Fill, exhibition at River City)
ในนิทรรศการมีห้องหลัก ๆ อยู่ 3 ห้อง ห้องนึงเป็นบ่อน้ำ
ซึ่งคนแน่นมาก เราก็เลยรีบออกจากห้องนั้น ไม่ได้เดินสำรวจอะไร ห้องที่สองเป็นต้นไม้ใหญ่
และมีการเปิดเสียงสัมภาษณ์คน 3 คน ความยาวของบทสัมภาษณ์น่าจะราว ๆ 45 นาที
คนนึงเล่าเรื่องพ่อแม่ตาย, อีกคนเป็นสตรีอายุราว ๆ 70
กว่าปีเล่าเรื่องการพบรักใหม่ในวัยชรา (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)
ส่วนอีกคนเป็นบุรุษอายุราว ๆ 70 ปีเล่าเรื่องสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อแก่ตัวลง
เราก็เลยยืนฟัง +
นั่งฟังบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับดูแสงสีตระการตา
ตัวบทสัมภาษณ์ก็น่าประทับใจมากๆ
เหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราเองก็ไม่อยากนึกถึง เราเองก็ไม่อยากแก่
สิ่งที่เราปรารถนาที่สุดในชีวิตก็คือนอนหลับแล้วตายไปเลย จะได้ไม่ต้องแก่
ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน คือเราไม่กลัวตาย แต่กลัว “เจ็บ” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราปรารถนาก็คือ
ถ้าหากเมื่อถึงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องตาย เราก็ขอตายด้วยการนอนกอดลูกหมี หลับ
แล้วตายไปเลยไม่เจ็บไม่ปวด นั่นน่าจะเป็นสุดยอดปรารถนาของเรา
ผู้คนที่มาชมห้องนี้อาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกหลัก
ๆ จำพวกแรกก็คือกลุ่มที่นั่งฟังบทสัมภาษณ์เป็นเวลานาน ส่วนจำพวกที่สองก็คือกลุ่มที่เน้นถ่ายรูปตัวเองตลอดเวลา
ซึ่งเรารู้สึกว่ามันก็เชื่อมโยงกับบทสัมภาษณ์โดยไม่ได้ตั้งใจมาก ๆ เพราะบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ทำให้เรานึกถึง
“ความโหดร้ายของกาลเวลาที่ไม่มีใครต้านทานได้” กาลเวลาทำให้คนเรา “แก่ เจ็บ ตาย”
โดยไม่มีใครเอาชนะมันได้ กาลเวลาทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป
ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างคงอยู่ได้เพียง “ชั่วครู่ชั่วยาม” เท่านั้น
และเราก็รู้สึกว่า ตัวเราเองที่พยายามถ่ายรูปแสงสีในนิทรรศการนี้
หรือผู้ชมคนอื่น ๆ ที่ถ่ายรูปตัวเองหรือเพื่อนของตัวเองตลอดเวลา มันก็เหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่พยายาม
“ต้านทานความโหดร้ายของกาลเวลา” เพราะภาพถ่ายเป็นสิ่งที่ช่วยเก็บรักษา “เสี้ยววินาทีนั้น
ๆ” เอาไว้ เสี้ยววินาทีที่แสงสีสวย ๆ ปรากฏ ก่อนที่นิทรรศการนี้จะจบสิ้นลง หรือเสี้ยววินาทีที่คนคนนั้นยังสาวยังสวย
ยังไม่มีตีนกาขึ้นบนใบหน้า หรือเสี้ยววินาทีที่โลกยังคงมีนิทรรศการศิลปะดีๆ
ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม, etc.
เราก็เลยรู้สึกว่า ถึงแม้เราหรือคนอื่น ๆ บางคน
พยายามที่จะหลีกเลี่ยงนึกถึง “ความแก่ เจ็บ ตาย” ในชีวิตประจำวัน แต่กิจกรรมบางอย่างที่เราทำ
อย่างเช่น “การถ่ายรูป” ตลอดเวลา เพื่อเก็บรักษาเสี้ยววินาทีนั้น ๆ
เอาไว้ในรูปของภาพถ่าย บางทีมันก็เหมือนเป็นความพยายามที่จะรับมือกับ “สิ่งที่เราไม่อยากจะนึกถึง”
โดยไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนห้องที่สามในนิทรรศการ เป็นการให้ผู้ชมเขียนคำคมหรืออะไรทำนองนี้
ซึ่งห้องนี้ผู้ชมก็แน่นขนัดมาก เราก็เลยใช้เวลาอยู่ในห้องนี้แค่แป๊บเดียว
+++++
วันอาทิตย์นี้ได้กิน “ข้าวมธุปายาส”
เป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงค่ะ กินที่ GROOVE MARKET ตรงศาลายา
หลังจากดูเทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT เสร็จที่หอภาพยนตร์
ในรูปมีขนมสองถ้วย ถ้วยทางซ้ายคือ RAS MALAI
ส่วนทางขวาคือข้าวมธุปายาส ซึ่งอร่อยดี
No comments:
Post a Comment