Wednesday, July 16, 2025

COMING OF AGING (2025, Eyedropper Fill, exhibition at River City)

 

COMING OF AGING (2025, Eyedropper Fill, exhibition at River City)

 

ในนิทรรศการมีห้องหลัก ๆ อยู่ 3 ห้อง ห้องนึงเป็นบ่อน้ำ ซึ่งคนแน่นมาก เราก็เลยรีบออกจากห้องนั้น ไม่ได้เดินสำรวจอะไร ห้องที่สองเป็นต้นไม้ใหญ่ และมีการเปิดเสียงสัมภาษณ์คน 3 คน ความยาวของบทสัมภาษณ์น่าจะราว ๆ 45 นาที คนนึงเล่าเรื่องพ่อแม่ตาย, อีกคนเป็นสตรีอายุราว ๆ 70 กว่าปีเล่าเรื่องการพบรักใหม่ในวัยชรา (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) ส่วนอีกคนเป็นบุรุษอายุราว ๆ 70 ปีเล่าเรื่องสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อแก่ตัวลง

 

เราก็เลยยืนฟัง + นั่งฟังบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับดูแสงสีตระการตา

 

ตัวบทสัมภาษณ์ก็น่าประทับใจมากๆ เหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราเองก็ไม่อยากนึกถึง เราเองก็ไม่อยากแก่ สิ่งที่เราปรารถนาที่สุดในชีวิตก็คือนอนหลับแล้วตายไปเลย จะได้ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน คือเราไม่กลัวตาย แต่กลัว “เจ็บ” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราปรารถนาก็คือ ถ้าหากเมื่อถึงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องตาย เราก็ขอตายด้วยการนอนกอดลูกหมี หลับ แล้วตายไปเลยไม่เจ็บไม่ปวด นั่นน่าจะเป็นสุดยอดปรารถนาของเรา

 

ผู้คนที่มาชมห้องนี้อาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกหลัก ๆ จำพวกแรกก็คือกลุ่มที่นั่งฟังบทสัมภาษณ์เป็นเวลานาน ส่วนจำพวกที่สองก็คือกลุ่มที่เน้นถ่ายรูปตัวเองตลอดเวลา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันก็เชื่อมโยงกับบทสัมภาษณ์โดยไม่ได้ตั้งใจมาก ๆ เพราะบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ทำให้เรานึกถึง “ความโหดร้ายของกาลเวลาที่ไม่มีใครต้านทานได้” กาลเวลาทำให้คนเรา “แก่ เจ็บ ตาย” โดยไม่มีใครเอาชนะมันได้ กาลเวลาทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างคงอยู่ได้เพียง “ชั่วครู่ชั่วยาม” เท่านั้น

 

และเราก็รู้สึกว่า ตัวเราเองที่พยายามถ่ายรูปแสงสีในนิทรรศการนี้ หรือผู้ชมคนอื่น ๆ ที่ถ่ายรูปตัวเองหรือเพื่อนของตัวเองตลอดเวลา มันก็เหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่พยายาม “ต้านทานความโหดร้ายของกาลเวลา” เพราะภาพถ่ายเป็นสิ่งที่ช่วยเก็บรักษา “เสี้ยววินาทีนั้น ๆ” เอาไว้ เสี้ยววินาทีที่แสงสีสวย ๆ ปรากฏ ก่อนที่นิทรรศการนี้จะจบสิ้นลง หรือเสี้ยววินาทีที่คนคนนั้นยังสาวยังสวย ยังไม่มีตีนกาขึ้นบนใบหน้า หรือเสี้ยววินาทีที่โลกยังคงมีนิทรรศการศิลปะดีๆ ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม, etc.

 

เราก็เลยรู้สึกว่า ถึงแม้เราหรือคนอื่น ๆ บางคน พยายามที่จะหลีกเลี่ยงนึกถึง “ความแก่ เจ็บ ตาย” ในชีวิตประจำวัน แต่กิจกรรมบางอย่างที่เราทำ อย่างเช่น “การถ่ายรูป” ตลอดเวลา เพื่อเก็บรักษาเสี้ยววินาทีนั้น ๆ เอาไว้ในรูปของภาพถ่าย บางทีมันก็เหมือนเป็นความพยายามที่จะรับมือกับ “สิ่งที่เราไม่อยากจะนึกถึง” โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ส่วนห้องที่สามในนิทรรศการ เป็นการให้ผู้ชมเขียนคำคมหรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งห้องนี้ผู้ชมก็แน่นขนัดมาก เราก็เลยใช้เวลาอยู่ในห้องนี้แค่แป๊บเดียว

+++++

วันอาทิตย์นี้ได้กิน “ข้าวมธุปายาส” เป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงค่ะ กินที่ GROOVE MARKET ตรงศาลายา หลังจากดูเทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT เสร็จที่หอภาพยนตร์

 

ในรูปมีขนมสองถ้วย ถ้วยทางซ้ายคือ RAS MALAI ส่วนทางขวาคือข้าวมธุปายาส ซึ่งอร่อยดี

No comments: